สวัสดีครับเพื่อนสมาชิกทุกคน วันนี้ผมจะมาชวนทุกคนเขียน Bucket list กันครับ
บางท่านอาจสงสัยว่าเจ้า Bucket List นี้คืออะไร ???
ผมขออนุญาตอธิบายสั้นๆแบบนี้ครับ เจ้าสิ่งนี้คือ “สิ่งต่างๆที่เราอยากทำสักครั้งก่อนที่จะเสียชีวิตครับ”
โดยบางคนที่เคยดูหนังเรื่องนี้ น่าจะเข้าใจคำว่า Bucket List เป็นอย่างดี
สำหรับคนที่ยังไม่เคยดู
คลิปตัวอย่างหนังสั้นๆ ครับ
http://www.youtube.com/watch?v=vc3mkG21ob4
หนังเรื่องนี้เนื้อเรื่องย่อๆ เกี่ยวกับที่ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายสองคนที่มีชีวิตต่างกันคนละรูปแบบ
คนหนึ่งเป็นเศรษฐีเจ้าของโรงพยาบาล ที่มีชีวิตอยู่กับเพียงตัวเลขในบัญชี ใช้ชีวิตโดยไม่มองหาความสุขรอบตัวอื่นใด
ส่วนอีกคน เป็นช่างซ่อมรถ ที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย แต่ใช้ชีวิต บนพื้นฐานแห่งการเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว รักการอ่าน มองหาความสุขของชีวิต
สุดท้ายโชคชะตาที่หักเหทำให้ทั้งสองคนต้องมาทำบางอย่างรวมกัน บางอย่างที่เขาทั้งสองจะทำมันร่วมกันเป็นสิ่งสุดท้ายของชีวิต...บางอย่างที่ทั้งสองคน
ได้เรียนรู้จากชีวิต และจากกันและกัน
โดยในหนังมีหลายครั้งที่ มอร์แกน ฟรีแมน ได้เล่าเรื่องต่างๆที่เรียนรู้มาให้ แจ็ค นิโคลสัน ฟัง
ซึ่งผมขอยกตัวอย่างอันหนึ่งมาให้ลองตอบกันครับ
มันเป็นเรื่องของชีวิตหลังความตายของคนอียิปต์โบราณ โดยคนอียิปต์ มีความเชื่อว่า หลังจากความตายดวงวิญญาณจะถูกถามด้วย คำถาม 2 คำถาม
ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปต่อ (เรื่องคำถามนี้ยังไม่มีหลักฐานในชีวิตจริงที่ยืนยันได้) แต่สองคำถามนี้คุ้มค่าที่จะพิจารณาถึงมันแน่นอนครับ
คำถามอันแรกคือ
(1) Have you found joy in your life? .....คุณค้นพบเจอความสุขในชีวิตหรือยัง ?
ส่วนอันที่สองนี้อัดแน่นไปด้วยความกดดันจริงๆครับ
(2) How’s your life brought joy to others? ....แล้วการมีชีวิตของคุณนำความสุขมาสู่คนอื่นอย่างไร ?
ลองตอบกันเล่นๆดูก็ดีนะครับ
ในส่วนเรื่องของหนังขอจบเพียงเท่านี้ ณ ครับ
อยากให้ลองไปดูกันเองครับ...เล่าต่อเดี๋ยวจะสปอยเยอะไป ถึงเวลาดูกันเองแล้วจะไม่สนุก

(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
และสำหรับผมเหตุผลที่ต้องเริ่มเขียนมันอย่างจริงจัง ก็คล้ายๆกับในหนังคือ โรคท๊อปฮิตย่างมะเร็ง ได้เข้ามาในชีวิต ทำให้เงื่อนไขเรื่องสุขภาพเปลี่ยนไป
จากอดีตก่อนหน้านี้ ทัศนะคติในการดำเนินชีวิตก็ค่อยๆเปลี่ยนตามไปด้วย
แต่หลังจากเริ่มทำมันผมพบว่าคนที่สุขภาพแข็งแรงปกติยิ่งควรทำมันนะครับ เพราะทุกคนคงมีสิ่งที่อยากทำให้ได้ซักครั้งในชีวิตก่อนตาย บางคนมีเยอะ
บางคนมีน้อย แต่ผมเชื่อว่าทุกคนมี ดังนั้นเรามาเขียนมันกันดีกว่าครับ เพราะการที่เราเขียนมันลงมา จะทำให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น มีเป้าหมายชัดขึ้น
สามารถวางแผนจัดการเรื่องราวต่างๆได้ง่ายขึ้น
โดยก่อนที่จะไปถึงขั้นตอนการเขียน bucket list ผมมีคำถาม 3 ข้อที่อยากให้ทุกคนลองตอบกันครับ
มันเป็นคำถามที่ผมคิดว่ามันจะช่วยให้ bucket list ของเราไม่กลายเป็นเครื่องมือที่ย้อนกลับมาจำกัดความสุขของเราเอง
มาเริ่มคำถามแรกกันที่
1.What are you living for ? คุณมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ?
มันเป็นคำถามสั้นๆที่ผมเชื่อว่าหลายคนคงตอบมันยากมาก.......ดังนั้นวันนี้ผมมีบางสิ่งมาเสนอ เผื่อมันจะทำให้เราสามารถเริ่มเรื่องนี้ได้อย่างง่ายขึ้น
โดยผมมีคลิปความยาวประมาณ 20 นาที ของ Life Coach ชื่อดัง อย่าง Tony Robbins มาให้ทุกคนได้ชมกัน ซึ่งคลิปนี้เป็นการเริ่มต้นตอบคำถามข้างบน
ได้เป็นอย่างดี.....ถ้าใครไม่สะดวกคลิกเข้าไปชม ผมตัดบางส่วนมาให้อ่านกันคร่าวๆดังนี้ครับ
http://www.ted.com/talks/tony_robbins_asks_why_we_do_what_we_do
โทนี่เริ่มต้นด้วยคำถามง่ายๆว่า ………..Why we do what we do ( ทำไมเราถึงทำสิ่งที่ทำอยู่ )
อะไรจูงใจให้ทำอย่างนั้น อะไรขับเคลื่อนชีวิตพวกคุณทุกวันนี้ คุณย่ำอยู่กับรอยเดิมๆหรือเปล่า เพราะ เราทุกคนรู้จักการคิด และด้วยสมองของเรา เราคิดชั่ง
ใจได้ทุกเรื่อง เราสร้างสรรค์อะไรก็ได้ ..จริงหรือไม่??
โดยชีวิตนี้มีบทเรียนสำคัญอยู่สองเรื่อง
เรื่องแรก : การประสบความสำเร็จเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง ซึ่งเกือบทุกเรื่องสามารถทำให้ดีขึ้นได้ นั่นคือ
"การทำสิ่งที่มองไม่เห็นให้เห็นได้"
ทำอย่างไรให้ฝันเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ งานสังคม เงินทอง หรืออะไรสำคัญ ร่างกายคุณ ครอบครัวคุณ
แต่อีกบทเรียนชีวิตซึ่งยากจะชำนาญได้คือ การเติมเต็มชีวิต วิทยาศาสตร์นั้นมันง่าย เรารู้กติกา เรารู้กฎ เราทำตามมัน เราก็จะได้ผลลัพธ์ ...
เมื่อเรารู้วิธีเล่น เพียงคุณรู้ คุณก็ทำตามได้ แต่ถ้าพูดถึงการเติมเต็มชีวิต มันคือศิลป์ เพราะมันเกี่ยวกับการมองเห็นคุณค่า และการให้ สิ่งที่คุณต้องรู้สึกเอา
ด้วยตัวเอง
โดยโทนี่ได้ทำการวิจัยเพื่อตอบคำถามนี้ ว่าชีวิตคนหนึ่ง จะแตกต่างอย่างไร ถ้าคุณมองว่าเขาเป็นคนที่คุณ
ให้ทุกอย่างได้กับเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการ
ถ้าไม่ให้คอมพิวเตอร์ราคา 100 เหรียญ แต่ให้คอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุด คุณให้ความรัก ให้ความสุข คุณอยู่เมื่อต้องปลอบเขา และบ่อยครั้งที่คนเหล่านั้น
ซึ่งคุณต้องรู้จักบ้างแน่ๆ มีชีวิตที่พร้อมสรรพ ทั้งความรัก การศึกษา เงินทอง และพื้นเพที่ดี ต้องใช้ชีวิตหมดไปกับการเข้าออกโรงพยาบาลบ้า
แล้วคุณก็พบเจอคนที่ผ่านทุกข์แสนสาหัส ทั้งทางจิต ทางเพศ ทางจิตวิญญาณ ทางอารมณ์ที่บอบช้ำ แม้ไม่เสมอไป แต่ก็บ่อยครั้ง
ที่เขาเหล่านั้น กลายเป็นผู้ที่ให้มากที่สุดกับสังคม
ดังนั้น คำถามที่เราควรถามตนเองจริงๆ ก็คือ อะไรที่ทำให้เราเป็นเรา และเราล้วนอยู่ในสังคมที่มอมเมาเรา พวกเราส่วนใหญ่อาจไม่ใช่ แต่สังคมนั้นมอม
เมา ทัศนคติที่จมปลักกับอดีต สังคมส่วนใหญ่คิดว่า อดีตลิขิตชะตา อดีตคืออนาคต และมันคงใช่ถ้าคุณยึดติดกับมัน เราต้องคอยเตือนตนเอง
เพราะคุณเป็นคนมีความคิด คุณรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร
หลังจากนั้นพูดเรื่อง The Six Human Needs
1 Certainty… 2 Uncertainty/Variety …. 3 Significance …. 4 Connection ….. 5 Love Growth …. 6 Contribution
โดยสี่ข้อแรกนั้น ทุกๆคนหาทางบรรลุมันได้ แม้ว่าคุณอาจโกหกตัวเอง คุณต้องมีสองบุคลิก แต่สองข้อหลังนี่ซิ
สื่ข้อแรกนั้นเรียกว่า ความจำเป็นทางบุคคล สองข้อสุดท้ายคือความจำเป็นทางจิตใจ นั่นคือที่มาของการเติมเต็มชีวิต คุณไม่สามารถเติมเต็มได้ จากสี่ข้อแรก คุณอาจหาทาง สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า
หรืออะไรก็ตาม เพื่อบรรลุสี่ข้อแรก แต่สำหรับสองข้อหลัง เช่นข้อห้า คุณต้องเติบโตขึ้น เราที่นี่ต่างรู้คำตอบนี้ ถ้าไม่เติบโตจะเป็นอย่างไร หากความ
สัมพันธ์ไม่เติบโต ถ้าธุรกิจไม่เติบโต ถ้าคุณไม่เติบโต มันไม่สำคัญว่าคุณมีเงินเท่าไหร่ มีเพื่อนกี่คน มีคนรักคุณกี่คน คุณรู้สึกเหมือนตกนรก และเหตุที่ต้อง
เติบโตขึ้นคือ เรามีสิ่งที่จะให้ผู้อื่น เพราะข้อที่หกคือการช่วยผู้อื่น เพราะเราต่างก็รู้ว่า ถึงแม้จะฟังดูเชย ความลับของการใช้ชีวิตคือการให้ ชีวิดไม่ใช่มีแต่
เรื่องของตน เป็นเรื่องของเรา วัฒนธรรมนี้ก็รู้ คนที่นี่ก็รู้เช่นนั้น
ผมอยากให้เข้าไปดูกันจนจบนะครับ เพราะผมคิดว่านี้เป็นคลิปที่ดีมากๆคลิปหนึ่งเลยทีเดียว
ชมกันเสร็จแล้วมาต่อกันที่คำถามสำคัญข้อที่สองครับ
2. When the dreamer dies, what happens to the dream ?
(คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับความฝันเมื่อเจ้าของได้จากไป)

Cr.pic>>thethingwesay.com
ผมเคยได้ยินคำถามนี้มานานมากแล้วแต่ก็ไม่เคยสนมันอย่างจริงจังจนเมื่อเริ่มเขียน Bucket List นี้ล่ะที่ผมรู้สึกว่าคำถามนี้สำคัญมากเพราะ คำตอบของ
เรื่องนี้ผมคิดว่ามันค่อนข้างมีอิทธิพลกับการเขียน Bucket list เฉพาะตัวของทุกคนทีเดียว เพราะเมื่อ
แต่ละคนมีความเชื่อไม่เหมือนกัน การตอบของคำถามนี้ก็ต่างกันไป สุดท้ายเรื่องที่ทำก็ต่างกันไป
ผมขอบางยกตัวอย่างมาให้ดูกันครับ เช่น
บางคนเชื่อเรื่องนี้ว่า ความฝันจะจากไปพร้อมกับเจ้าของฝัน
บางคนเชื่อว่าความฝันจะคงอยู่เป็นนิรันดร์
บางคนเชื่อว่าความฝันจะถูกส่งต่อไปยังผู้ที่เชื่อในฝันนั้นเหมือนกัน
หรือแม้แต่บางคนเชื่อว่าเจ้าของความฝันจะคงอยู่ในความฝันของเขาหลังจากที่เขาเสียชีวิตลง ฯลฯ
ลองหาคำตอบของแต่ละคนกันดูครับ ว่าคุณมองเห็นอะไรจากคำถามนี้
เพราะอย่างผมที่เชื่อว่าความฝันมันสามารถส่งต่อได้ หลายๆ Bucket list ของผมมันก็ไม่จำเป็นต้องสำเร็จลงในช่วงชีวิตของผม ...ผมเชื่อว่าถ้ามันมีคุณค่า
มากพอมันจะมีคนมาสานต่อเอง....ผมสามารถหาความสุขได้จากการที่เห็นมันเริ่มต้น
ส่วนข้อสุดท้ายเป็นเรื่องวิธีที่คุณมองชีวิต...ลองตอบคำถามนี้กันครับ
3. ณ ตอนนี้คุณ มองความสุข อยู่ที่ได้ทำมัน หรือ การได้ทำมันให้เสร็จ
เรื่องนี้เป็นเหมือนค้อนที่จะมาทำลายกำแพงบางอย่างในการเขียนเรื่อง Bucket list เลยครับ
ความสุขในการตามล่าความฝันจะไม่ถูกจำกัดด้วยการที่ต้องมีเงินทองมากมาย หรือเวลาที่เหลือเฟือ ….
เพราะคุณต้องไม่ลืมอย่างหนึ่งว่าการเขียน Bucket list คุณเขียนมันเพราะอยากเติมเต็มชีวิตให้มีความสุข จริงไหม??
ดังนั้นสนุกกับมันครับ ทุกขั้นตอนของการไปสู่ความฝัน มันคือความสุขไม่ใช่หรือครับ ?? การได้ทำมันเสร็จจะกลายเป็นโบนัส แต่ความสุขเกิดทันทีที่ได้เริ่ม
ทำมันครับ....

Cr.Picture >>keepcalm-o-matic
ทีนี้มาถึง 5 คำแนะนำสั้นๆที่ผมอยากเสนอครับ
1. เริ่มต้นเขียนมันตั้งแต่ตอนนี้ .......หากระดาษซักแผ่น ปากกาซักด้าม ที่ซักแห่งบนโลกใบนี้ที่ทำให้เราพร้อมจะเริ่ม ต้นเส้นทางของเราได้......อาจจะเริ่มที่สิ่งที่คุณสามารถทำมันได้ภายในวันนี้ หรือ อาทิตย์นี้เลยยิ่งดีครับ การเริ่มต้นสำคัญเสมอ
2. ไม่สำคัญว่าสิ่งนั้นจะ เป็นเรื่องเล็ก หรือ เรื่องใหญ่ ถ้ามันตอบโจทย์ของชีวิตคุณได้เขียนมันลงไปเถอะครับ
ผสมๆกันไปจนกลายเป็นสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ
3. อย่าจำกัดแค่ความคิดที่ว่า ต้องไปไหน ต้องเจอใคร ต้องมีสิ่งใด ชีวิตมีหลายมุมมอง บางอย่างคุณค่าที่แท้จริงอาจเกิดขึ้นจากการที่คุณได้ทำมันพร้อมคนอื่น บางอย่างคุณค่าเกิดได้จากการที่คุณทำ Bucket List ของคนอื่นเป็นจริง และมุมอื่นๆอีกมากมาย ฯลฯ
4. สิ่งที่เขียนปรับเปลี่ยนได้เสมอ พยายามรีเฟรสมันบ่อยๆ แล้วแปะมันไว้ซักที่ที่เราเห็นมันทุกวัน....หรือไม่ก็แปะบางข้อไว้บนหน้าเฟซบุ๊คก็ได้ครับ (ถ้าอยากท้าทายตัวเองโดยให้คนอื่นมาช่วย)
5. บางครั้งเข้าไปดู Bucket List ของคนอื่นบ้างก็ได้ครับมีคนเขียนเรื่องที่เขาอยากทำไว้มากมายทั่วอินเตอร์เน็ต คงมีซักเรื่องแหละครับที่ตรงใจกับเรา ประเด็นคือ เรารู้ว่าเราต้องการอะไร แต่ถ้าตัวเลือกมันมีให้เยอะๆมันก็ดีกว่า เพียงแต่คุณต้องรู้ก่อนนะครับว่า >>>>>>
“ทำไมถึงต้องการทำสิ่งนั้น”
เรื่องของเกร็ดการเขียนผมขออนุญาตไม่เน้นมากนะครับ เรื่องพวกนี้หาได้จากอินเตอร์เน็ตทั่วไป โดยผมมองว่าสิ่งที่สำคัญจริงๆคือการที่เรา ต้องหาแรงบันดาลใจในการทำเจอหรือยัง
รวมถึงว่าเราตั้งคำถามกับสิ่งที่เราทำว่าตรงโจทย์กับชีวิตเราหรือเปล่า.....
ซึ่งตรงนี้ผมมองว่ามันคือสิ่งที่หายไปจากอินเตอร์เน็ตในเรื่องนี้
(มีต่อ)
The Bucket List มาเขียนสิ่งอยากทำสักครั้งในชีวิตกันเถอะครับ
บางท่านอาจสงสัยว่าเจ้า Bucket List นี้คืออะไร ???
ผมขออนุญาตอธิบายสั้นๆแบบนี้ครับ เจ้าสิ่งนี้คือ “สิ่งต่างๆที่เราอยากทำสักครั้งก่อนที่จะเสียชีวิตครับ”
โดยบางคนที่เคยดูหนังเรื่องนี้ น่าจะเข้าใจคำว่า Bucket List เป็นอย่างดี
สำหรับคนที่ยังไม่เคยดู
คลิปตัวอย่างหนังสั้นๆ ครับ
http://www.youtube.com/watch?v=vc3mkG21ob4
หนังเรื่องนี้เนื้อเรื่องย่อๆ เกี่ยวกับที่ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายสองคนที่มีชีวิตต่างกันคนละรูปแบบ
คนหนึ่งเป็นเศรษฐีเจ้าของโรงพยาบาล ที่มีชีวิตอยู่กับเพียงตัวเลขในบัญชี ใช้ชีวิตโดยไม่มองหาความสุขรอบตัวอื่นใด
ส่วนอีกคน เป็นช่างซ่อมรถ ที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย แต่ใช้ชีวิต บนพื้นฐานแห่งการเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว รักการอ่าน มองหาความสุขของชีวิต
สุดท้ายโชคชะตาที่หักเหทำให้ทั้งสองคนต้องมาทำบางอย่างรวมกัน บางอย่างที่เขาทั้งสองจะทำมันร่วมกันเป็นสิ่งสุดท้ายของชีวิต...บางอย่างที่ทั้งสองคน
ได้เรียนรู้จากชีวิต และจากกันและกัน
โดยในหนังมีหลายครั้งที่ มอร์แกน ฟรีแมน ได้เล่าเรื่องต่างๆที่เรียนรู้มาให้ แจ็ค นิโคลสัน ฟัง
ซึ่งผมขอยกตัวอย่างอันหนึ่งมาให้ลองตอบกันครับ
มันเป็นเรื่องของชีวิตหลังความตายของคนอียิปต์โบราณ โดยคนอียิปต์ มีความเชื่อว่า หลังจากความตายดวงวิญญาณจะถูกถามด้วย คำถาม 2 คำถาม
ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปต่อ (เรื่องคำถามนี้ยังไม่มีหลักฐานในชีวิตจริงที่ยืนยันได้) แต่สองคำถามนี้คุ้มค่าที่จะพิจารณาถึงมันแน่นอนครับ
คำถามอันแรกคือ
(1) Have you found joy in your life? .....คุณค้นพบเจอความสุขในชีวิตหรือยัง ?
ส่วนอันที่สองนี้อัดแน่นไปด้วยความกดดันจริงๆครับ
(2) How’s your life brought joy to others? ....แล้วการมีชีวิตของคุณนำความสุขมาสู่คนอื่นอย่างไร ?
ลองตอบกันเล่นๆดูก็ดีนะครับ
ในส่วนเรื่องของหนังขอจบเพียงเท่านี้ ณ ครับ
อยากให้ลองไปดูกันเองครับ...เล่าต่อเดี๋ยวจะสปอยเยอะไป ถึงเวลาดูกันเองแล้วจะไม่สนุก
(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
และสำหรับผมเหตุผลที่ต้องเริ่มเขียนมันอย่างจริงจัง ก็คล้ายๆกับในหนังคือ โรคท๊อปฮิตย่างมะเร็ง ได้เข้ามาในชีวิต ทำให้เงื่อนไขเรื่องสุขภาพเปลี่ยนไป
จากอดีตก่อนหน้านี้ ทัศนะคติในการดำเนินชีวิตก็ค่อยๆเปลี่ยนตามไปด้วย
แต่หลังจากเริ่มทำมันผมพบว่าคนที่สุขภาพแข็งแรงปกติยิ่งควรทำมันนะครับ เพราะทุกคนคงมีสิ่งที่อยากทำให้ได้ซักครั้งในชีวิตก่อนตาย บางคนมีเยอะ
บางคนมีน้อย แต่ผมเชื่อว่าทุกคนมี ดังนั้นเรามาเขียนมันกันดีกว่าครับ เพราะการที่เราเขียนมันลงมา จะทำให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น มีเป้าหมายชัดขึ้น
สามารถวางแผนจัดการเรื่องราวต่างๆได้ง่ายขึ้น
โดยก่อนที่จะไปถึงขั้นตอนการเขียน bucket list ผมมีคำถาม 3 ข้อที่อยากให้ทุกคนลองตอบกันครับ
มันเป็นคำถามที่ผมคิดว่ามันจะช่วยให้ bucket list ของเราไม่กลายเป็นเครื่องมือที่ย้อนกลับมาจำกัดความสุขของเราเอง
มาเริ่มคำถามแรกกันที่
1.What are you living for ? คุณมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ?
มันเป็นคำถามสั้นๆที่ผมเชื่อว่าหลายคนคงตอบมันยากมาก.......ดังนั้นวันนี้ผมมีบางสิ่งมาเสนอ เผื่อมันจะทำให้เราสามารถเริ่มเรื่องนี้ได้อย่างง่ายขึ้น
โดยผมมีคลิปความยาวประมาณ 20 นาที ของ Life Coach ชื่อดัง อย่าง Tony Robbins มาให้ทุกคนได้ชมกัน ซึ่งคลิปนี้เป็นการเริ่มต้นตอบคำถามข้างบน
ได้เป็นอย่างดี.....ถ้าใครไม่สะดวกคลิกเข้าไปชม ผมตัดบางส่วนมาให้อ่านกันคร่าวๆดังนี้ครับ
http://www.ted.com/talks/tony_robbins_asks_why_we_do_what_we_do
โทนี่เริ่มต้นด้วยคำถามง่ายๆว่า ………..Why we do what we do ( ทำไมเราถึงทำสิ่งที่ทำอยู่ )
อะไรจูงใจให้ทำอย่างนั้น อะไรขับเคลื่อนชีวิตพวกคุณทุกวันนี้ คุณย่ำอยู่กับรอยเดิมๆหรือเปล่า เพราะ เราทุกคนรู้จักการคิด และด้วยสมองของเรา เราคิดชั่ง
ใจได้ทุกเรื่อง เราสร้างสรรค์อะไรก็ได้ ..จริงหรือไม่??
โดยชีวิตนี้มีบทเรียนสำคัญอยู่สองเรื่อง
เรื่องแรก : การประสบความสำเร็จเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง ซึ่งเกือบทุกเรื่องสามารถทำให้ดีขึ้นได้ นั่นคือ
"การทำสิ่งที่มองไม่เห็นให้เห็นได้"
ทำอย่างไรให้ฝันเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ งานสังคม เงินทอง หรืออะไรสำคัญ ร่างกายคุณ ครอบครัวคุณ
แต่อีกบทเรียนชีวิตซึ่งยากจะชำนาญได้คือ การเติมเต็มชีวิต วิทยาศาสตร์นั้นมันง่าย เรารู้กติกา เรารู้กฎ เราทำตามมัน เราก็จะได้ผลลัพธ์ ...
เมื่อเรารู้วิธีเล่น เพียงคุณรู้ คุณก็ทำตามได้ แต่ถ้าพูดถึงการเติมเต็มชีวิต มันคือศิลป์ เพราะมันเกี่ยวกับการมองเห็นคุณค่า และการให้ สิ่งที่คุณต้องรู้สึกเอา
ด้วยตัวเอง
โดยโทนี่ได้ทำการวิจัยเพื่อตอบคำถามนี้ ว่าชีวิตคนหนึ่ง จะแตกต่างอย่างไร ถ้าคุณมองว่าเขาเป็นคนที่คุณ
ให้ทุกอย่างได้กับเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการ
ถ้าไม่ให้คอมพิวเตอร์ราคา 100 เหรียญ แต่ให้คอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุด คุณให้ความรัก ให้ความสุข คุณอยู่เมื่อต้องปลอบเขา และบ่อยครั้งที่คนเหล่านั้น
ซึ่งคุณต้องรู้จักบ้างแน่ๆ มีชีวิตที่พร้อมสรรพ ทั้งความรัก การศึกษา เงินทอง และพื้นเพที่ดี ต้องใช้ชีวิตหมดไปกับการเข้าออกโรงพยาบาลบ้า
แล้วคุณก็พบเจอคนที่ผ่านทุกข์แสนสาหัส ทั้งทางจิต ทางเพศ ทางจิตวิญญาณ ทางอารมณ์ที่บอบช้ำ แม้ไม่เสมอไป แต่ก็บ่อยครั้ง
ที่เขาเหล่านั้น กลายเป็นผู้ที่ให้มากที่สุดกับสังคม
ดังนั้น คำถามที่เราควรถามตนเองจริงๆ ก็คือ อะไรที่ทำให้เราเป็นเรา และเราล้วนอยู่ในสังคมที่มอมเมาเรา พวกเราส่วนใหญ่อาจไม่ใช่ แต่สังคมนั้นมอม
เมา ทัศนคติที่จมปลักกับอดีต สังคมส่วนใหญ่คิดว่า อดีตลิขิตชะตา อดีตคืออนาคต และมันคงใช่ถ้าคุณยึดติดกับมัน เราต้องคอยเตือนตนเอง
เพราะคุณเป็นคนมีความคิด คุณรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร
หลังจากนั้นพูดเรื่อง The Six Human Needs
1 Certainty… 2 Uncertainty/Variety …. 3 Significance …. 4 Connection ….. 5 Love Growth …. 6 Contribution
โดยสี่ข้อแรกนั้น ทุกๆคนหาทางบรรลุมันได้ แม้ว่าคุณอาจโกหกตัวเอง คุณต้องมีสองบุคลิก แต่สองข้อหลังนี่ซิ
สื่ข้อแรกนั้นเรียกว่า ความจำเป็นทางบุคคล สองข้อสุดท้ายคือความจำเป็นทางจิตใจ นั่นคือที่มาของการเติมเต็มชีวิต คุณไม่สามารถเติมเต็มได้ จากสี่ข้อแรก คุณอาจหาทาง สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า
หรืออะไรก็ตาม เพื่อบรรลุสี่ข้อแรก แต่สำหรับสองข้อหลัง เช่นข้อห้า คุณต้องเติบโตขึ้น เราที่นี่ต่างรู้คำตอบนี้ ถ้าไม่เติบโตจะเป็นอย่างไร หากความ
สัมพันธ์ไม่เติบโต ถ้าธุรกิจไม่เติบโต ถ้าคุณไม่เติบโต มันไม่สำคัญว่าคุณมีเงินเท่าไหร่ มีเพื่อนกี่คน มีคนรักคุณกี่คน คุณรู้สึกเหมือนตกนรก และเหตุที่ต้อง
เติบโตขึ้นคือ เรามีสิ่งที่จะให้ผู้อื่น เพราะข้อที่หกคือการช่วยผู้อื่น เพราะเราต่างก็รู้ว่า ถึงแม้จะฟังดูเชย ความลับของการใช้ชีวิตคือการให้ ชีวิดไม่ใช่มีแต่
เรื่องของตน เป็นเรื่องของเรา วัฒนธรรมนี้ก็รู้ คนที่นี่ก็รู้เช่นนั้น
ผมอยากให้เข้าไปดูกันจนจบนะครับ เพราะผมคิดว่านี้เป็นคลิปที่ดีมากๆคลิปหนึ่งเลยทีเดียว
ชมกันเสร็จแล้วมาต่อกันที่คำถามสำคัญข้อที่สองครับ
2. When the dreamer dies, what happens to the dream ?
(คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับความฝันเมื่อเจ้าของได้จากไป)
Cr.pic>>thethingwesay.com
ผมเคยได้ยินคำถามนี้มานานมากแล้วแต่ก็ไม่เคยสนมันอย่างจริงจังจนเมื่อเริ่มเขียน Bucket List นี้ล่ะที่ผมรู้สึกว่าคำถามนี้สำคัญมากเพราะ คำตอบของ
เรื่องนี้ผมคิดว่ามันค่อนข้างมีอิทธิพลกับการเขียน Bucket list เฉพาะตัวของทุกคนทีเดียว เพราะเมื่อ
แต่ละคนมีความเชื่อไม่เหมือนกัน การตอบของคำถามนี้ก็ต่างกันไป สุดท้ายเรื่องที่ทำก็ต่างกันไป
ผมขอบางยกตัวอย่างมาให้ดูกันครับ เช่น
บางคนเชื่อเรื่องนี้ว่า ความฝันจะจากไปพร้อมกับเจ้าของฝัน
บางคนเชื่อว่าความฝันจะคงอยู่เป็นนิรันดร์
บางคนเชื่อว่าความฝันจะถูกส่งต่อไปยังผู้ที่เชื่อในฝันนั้นเหมือนกัน
หรือแม้แต่บางคนเชื่อว่าเจ้าของความฝันจะคงอยู่ในความฝันของเขาหลังจากที่เขาเสียชีวิตลง ฯลฯ
ลองหาคำตอบของแต่ละคนกันดูครับ ว่าคุณมองเห็นอะไรจากคำถามนี้
เพราะอย่างผมที่เชื่อว่าความฝันมันสามารถส่งต่อได้ หลายๆ Bucket list ของผมมันก็ไม่จำเป็นต้องสำเร็จลงในช่วงชีวิตของผม ...ผมเชื่อว่าถ้ามันมีคุณค่า
มากพอมันจะมีคนมาสานต่อเอง....ผมสามารถหาความสุขได้จากการที่เห็นมันเริ่มต้น
ส่วนข้อสุดท้ายเป็นเรื่องวิธีที่คุณมองชีวิต...ลองตอบคำถามนี้กันครับ
3. ณ ตอนนี้คุณ มองความสุข อยู่ที่ได้ทำมัน หรือ การได้ทำมันให้เสร็จ
เรื่องนี้เป็นเหมือนค้อนที่จะมาทำลายกำแพงบางอย่างในการเขียนเรื่อง Bucket list เลยครับ
ความสุขในการตามล่าความฝันจะไม่ถูกจำกัดด้วยการที่ต้องมีเงินทองมากมาย หรือเวลาที่เหลือเฟือ ….
เพราะคุณต้องไม่ลืมอย่างหนึ่งว่าการเขียน Bucket list คุณเขียนมันเพราะอยากเติมเต็มชีวิตให้มีความสุข จริงไหม??
ดังนั้นสนุกกับมันครับ ทุกขั้นตอนของการไปสู่ความฝัน มันคือความสุขไม่ใช่หรือครับ ?? การได้ทำมันเสร็จจะกลายเป็นโบนัส แต่ความสุขเกิดทันทีที่ได้เริ่ม
ทำมันครับ....
Cr.Picture >>keepcalm-o-matic
ทีนี้มาถึง 5 คำแนะนำสั้นๆที่ผมอยากเสนอครับ
1. เริ่มต้นเขียนมันตั้งแต่ตอนนี้ .......หากระดาษซักแผ่น ปากกาซักด้าม ที่ซักแห่งบนโลกใบนี้ที่ทำให้เราพร้อมจะเริ่ม ต้นเส้นทางของเราได้......อาจจะเริ่มที่สิ่งที่คุณสามารถทำมันได้ภายในวันนี้ หรือ อาทิตย์นี้เลยยิ่งดีครับ การเริ่มต้นสำคัญเสมอ
2. ไม่สำคัญว่าสิ่งนั้นจะ เป็นเรื่องเล็ก หรือ เรื่องใหญ่ ถ้ามันตอบโจทย์ของชีวิตคุณได้เขียนมันลงไปเถอะครับ
ผสมๆกันไปจนกลายเป็นสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ
3. อย่าจำกัดแค่ความคิดที่ว่า ต้องไปไหน ต้องเจอใคร ต้องมีสิ่งใด ชีวิตมีหลายมุมมอง บางอย่างคุณค่าที่แท้จริงอาจเกิดขึ้นจากการที่คุณได้ทำมันพร้อมคนอื่น บางอย่างคุณค่าเกิดได้จากการที่คุณทำ Bucket List ของคนอื่นเป็นจริง และมุมอื่นๆอีกมากมาย ฯลฯ
4. สิ่งที่เขียนปรับเปลี่ยนได้เสมอ พยายามรีเฟรสมันบ่อยๆ แล้วแปะมันไว้ซักที่ที่เราเห็นมันทุกวัน....หรือไม่ก็แปะบางข้อไว้บนหน้าเฟซบุ๊คก็ได้ครับ (ถ้าอยากท้าทายตัวเองโดยให้คนอื่นมาช่วย)
5. บางครั้งเข้าไปดู Bucket List ของคนอื่นบ้างก็ได้ครับมีคนเขียนเรื่องที่เขาอยากทำไว้มากมายทั่วอินเตอร์เน็ต คงมีซักเรื่องแหละครับที่ตรงใจกับเรา ประเด็นคือ เรารู้ว่าเราต้องการอะไร แต่ถ้าตัวเลือกมันมีให้เยอะๆมันก็ดีกว่า เพียงแต่คุณต้องรู้ก่อนนะครับว่า >>>>>>
“ทำไมถึงต้องการทำสิ่งนั้น”
เรื่องของเกร็ดการเขียนผมขออนุญาตไม่เน้นมากนะครับ เรื่องพวกนี้หาได้จากอินเตอร์เน็ตทั่วไป โดยผมมองว่าสิ่งที่สำคัญจริงๆคือการที่เรา ต้องหาแรงบันดาลใจในการทำเจอหรือยัง
รวมถึงว่าเราตั้งคำถามกับสิ่งที่เราทำว่าตรงโจทย์กับชีวิตเราหรือเปล่า.....
ซึ่งตรงนี้ผมมองว่ามันคือสิ่งที่หายไปจากอินเตอร์เน็ตในเรื่องนี้
(มีต่อ)