Life is …………. ผมเชื่อว่าคำตอบของคำถามนี้แต่คนคงไม่เหมือนกัน แต่สำหรับผม คำตอบ ณ วันนี้มันชัดเจน และ เต็มไปด้วย ความรู้สึกดีใจที่หาคำตอบของคำถามนี้ได้ แม้ว่าต้นทุนในการตอบคำถามมันจะสูงมากก็ตาม
“ Life is Miracle “
นั้นคือคำตอบของผม
ผมได้ยินคำนี้ครั้งแรกมาจากพี่ท่านหนึ่ง พร้อมกับคำพูดปลอบใจจากเพื่อนๆ พี่ๆ ท่านอื่นๆ
ต่างๆมากมายแต่สิ่งที่ทำให้ผมเลือกคำนี้ขึ้นมา lส่วนหนึ่งคงมาจากสิ่งที่ผมจะเล่าให้ฟังข้างล่างนี้
โดยเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดเลย เพียงแต่เป็นเรื่องง่ายๆที่ผมเชื่อว่า
ส่วนมากของผู้ที่กำลังอ่านอยู่เข้าใจแต่ทำไม่ได้ซักที
ดังนั้นลองมาอ่านมันผ่านประสบการณ์ของคนที่ขาข้างหนึ่งอยู่บนความตายตลอดเวลาอย่างผมกันครับ
ผมเชื่อว่ามันจะทำให้คุณนำไปปฏิบัติมันได้เร็วขึ้น ที่สำคัญเรื่องนี้ฟรีครับ ไม่ต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงเอง ใช้เวลาไม่นาน
ผ่านประสบการณ์ที่ผมใช้เวลา ปีครึ่งแลกมา ลองเอาไปปรับใช้กันนะครับ แต่ละคนก็มีปัญหา
รูปแบบของชีวิตต่างกันไป เรื่องราวของผมคงเป็นได้เพียงไกด์ลาย บางคนทำให้มันเป็นความเคยชินได้เร็ว บางคนอาจจะช้าหน่อย
แต่ผมเชื่อว่าทุกคนทำให้เคยชินได้นะครับ และสำหรับผมใช้เวลาประมาณปีครึ่ง
คุณอาจจะเร็วกว่าผมก็ได้ครับ
ซึ่งในแต่ละข้อผมจะแทรกมุมมองของผู้ป่วยที่ต้องเจอในเหตุการณ์ต่างๆลงไปนะครับ
ส่วนใครมีมุมมองเพิ่มเติม ลองแชร์กันออกมาครับ หลายๆความคิดย่อมดีกว่าความคิดเดียว
ขอย้อนกลับไปที่ ข้อมูลพื้นฐานคร่าวๆเกี่ยวกับตัวผมสักนิดนะครับ เพื่อให้เข้าใจทัศนะคติของผมที่
มองชีวิต ทั้งก่อนเป็น กับ หลังเป็นมะเร็ง ว่าเปลี่ยนไปอย่างไร
ส่วนเรื่องเกี่ยวกับขั้นตอนการรักษาผมจะเขียนแชร์แยกต่างหากนะครับ (คือเรื่องของขั้นตอนการรักษามันเยอะมากตามแบบของมะเร็งผมยากเขียนให้ละเอียดๆจะได้มีประโยชน์แก่คนที่เป็นท่านอื่น )
รับรองว่ามีครบทุกรสเลยครับตอนรักษา ระยะสี่นี้รักษากันสนุกมากครับ
โดยมะเร็งชนิดที่ผมเป็นเรียกว่า มะเร็งหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal carcinoma) โดยอยู่ระดับ stage 4b ( T1N3M0 ) (การจัด stage ของ มะเร็งหลังโพรงจมูกต่างกับมะเร็งชนิดอื่นหน่อยตรงที่ 4 ของชนิดที่ผมเป็นยังไม่แพร่กระจายไปอวัยวะอื่น )
ซึ่งปัจจุบันนี้ผมอายุ ประมาณ 30 ปีนิดๆ เป็นช่วงชีวิตที่โบราณบอกว่าเป็นหนึ่งในช่วงรอยต่อในชีวิตที่สำคัญ (ซึ่งผมคิดว่ามันก็จริงนะ)
ชีวิตผมตั้งแต่เด็กจนถึงมหาลัยก็ถูกสั่งสอนเหมือนเด็กทั่วๆไป คือพยายามเรียนให้เก่ง พยายามสอบให้ได้ที่ดีๆ เข้ามหาลัยดีๆให้ได้
ซึ่งหลังจากที่เข้าเรียนที่จุฬาได้แล้วชีวิตผมก็ค่อยเปลี่ยนไป อิสระในชีวิตเยอะขึ้น
จนหลังจากจบมาซักพักชีวิตผมก็เริ่มหมุนไปสู่อีกด้านของเหรียญเต็มตัว ผมออกมาใช้ชีวิตแบบที่ผมอยากใช้
โดยไม่สนอย่างอื่นรอบตัวเลยจริงๆ ยิ่งช่วงสามสี่ปีหลังๆที่หันมาทำงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกลางคืน
ทำให้ชีวิตส่วนใหญ่ตื่นในเวลากลางคืน นอนกลางวัน สังคมก็เป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่ง จนอายุ 29 เกือบหนึ่งปีก่อนที่จะตรวจพบ
ผมตัดสินใจเปลี่ยนมาทำงานกลางวัน เพราะความรู้สึกช่วงที่ก่อนออกมา
มันเป็นอารมณ์รุ้สึกรับไม่ไหวกับชีวิตแบบนี้แล้ว สิ่งที่เคยสนุกมันไม่สนุกอีกต่อไป งานที่ทำก็ส่งล่าช้า
ซึ่งมันจะกลายเป็นภาระให้ตัวผมเอง ให้หัวหน้า ให้บริษัท เลยตัดสินใจลาออกมาตั้งหลักใหม่
ช่วงหลังจากออกมานั้น เป็นหนึ่งปีที่ชีวิตเต็มไปด้วยความสับสนจนถามตัวเองหลายครั้งว่าต้องการอะไรจากชีวิตจริงๆ
เพราะชีวิตสองแบบทั้งสองขั้วที่ผมเจอมามันก็ไม่ใช่ทั้งคู่ และ ก็เหมือนชีวิตจะรู้ว่าผมต้องการหาคำตอบอะไรซักอย่าง
เลยจัดการให้โจทย์ใหม่มา โจทย์ที่ให้สติมาเป็นเครื่องมือ แต่ผมต้องใช้ ปัญญา ( Wisdom ) กับความเพียร (Grit ) (ซึ่งทั้งสองอย่างผมมีน้อยมากๆๆ) หาคำตอบออกมาให้ได้ จริงๆมันมีองค์ประกอบมากกว่านี้แต่ในส่วนนี้ผมขอเน้นไปที่สองตัวนี้ก่อน
และคำตอบที่ว่านั้นคือ ความสุข (Happiness) ในแบบที่ผมกำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ครับ
1. เริ่มหันมามีความสุขกับสิ่งเล็กๆรอบตัว
ผมอยากจะบอกว่าไม่ว่าคุณจะใช้ชีวิตในรูปแบบไหน ชีวิตมีรูปแบบอื่นๆซ่อนไว้ให้คุณค้นหามันเสมอ มุมเหล่านั้นในชีวิต คุณจะไม่มีทางมองเห็นเลยถ้าคุณไม่เปิดใจกับมัน ....ผมขอยกตัวอย่างแบบนี้ล่ะกัน ......ช่วงที่รักษาตัวถ้าไม่อยู่บ้านก็โรงพยาบาลเป็นอย่างนี้อยู่นานมาก ลอกนึกตามว่าจากคนที่แทบไม่ค่อยอยู่บ้านกลับต้องมาทำอะไรแบบนี้ หนทางเดียวที่จะทำชีวิตให้มีความสุขกับมันได้คือ วิธีมองโลกใบเดิมในมุมมองที่ต่างไป ผมจำความรู้สึกของข้าวต้มหมูหยอง ชามแรกหลังจากที่ต่อมรับรสกลับมาทำงานอีกครั้งได้เลยครับ มันคือรสชาติ ที่ไม่ได้ขึ้นกับความรู้สึกที่ว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อย แต่มันเป็นการรับรู้ในรูปแบบของการได้กลับมารับรู้รสชาติอาหารอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกพิเศษที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อนในตลอดสามสิบปี ทั้งที่ข้าวต้มแบบนี้ผมเคยกินมาเป็นพันครั้ง หามันให้เจอครับ ความรู้สึก รูปแบบ ในชีวิตที่ซ่อนอยู่ อย่างละนิดละน้อย ผสมๆกันไปมันจะออกมาเป็นวันที่สุดแสนพิเศษได้เสมอ
2. สุขภาพดี กับ ครอบครัว( รวมถึงทุกคนบนโลกที่คุณรักและรักคุณนะครับ) ที่อบอุ่น เป็นต้นทุนของฟรีที่บางคนไม่ค่อยจะเห็นค่ากัน
มีเรื่องจริงอย่างหนึ่งเกี่ยวกับมะเร็งที่จะเกิดขึ้นกับทุกครอบครัวเลย คือ เวลามีคนใดคนหนึ่งเป็นมะเร็ง คนทั้งครอบครัวก็เหมือนจะเป็นไปด้วย ยิ่งใกล้ชิดผูกพันกันเท่าไรยิ่งแสดงออกมามากเท่านั้น........ ในกรณีของผมช่วงวันแรกๆที่หมอบอกว่าผลออกมา สิ่งหนึ่งที่ยากสุดๆ เลยคือผมจะหาวิธีการบอกกับที่บ้านอย่างไร ความรู้สึกที่ว่าต้องเดินไปบอกกับที่บ้านว่าผมกำลังจะตาย ความรู้สึกตอนนั้นมันผสม ระหว่าง ความกังวล กับ เสียใจ อารมณ์ตอนนั้นมันออกแนวตื้อๆ ยิ่งคุณลุงของผมเคยเสียด้วยมะเร็งด้วยแล้ว การที่ผมจะบอกกับป้าที่เลี้ยงผมมาอย่างไร แกก็อายุมากแล้ว ที่บ้านเลยกลัวเรื่องสภาพจิตใจของแกจะแย่ลงไปอีก.... ดังนั้นเวลาเกิดเรื่องประเภทแบบนี้ผมแนะนำเลยว่าหาคนที่มีสติ พอจะรับมือกับปัญหาได้พูดคุยเป็นคนแรกจะง่ายและดีที่สุด รวมถึงความรู้สึกของคนอื่นๆในบ้านหลังจากที่ผมตัดสินใจบอกไป บรรยากาศผมสัมผัสได้ทันทีถึงความตึงเครียดที่เข้ามา ถึงแม้ทุกคนจะพยายามยิ้มแล้วก็ตาม
(มีต่อ)
10 สิ่งที่ผมเรียนรู้เกี่ยวกับความสุขในชีวิต จากการเป็นผู้ป่วย มะเร็ง ระยะ 4
“ Life is Miracle “
นั้นคือคำตอบของผม
ผมได้ยินคำนี้ครั้งแรกมาจากพี่ท่านหนึ่ง พร้อมกับคำพูดปลอบใจจากเพื่อนๆ พี่ๆ ท่านอื่นๆ
ต่างๆมากมายแต่สิ่งที่ทำให้ผมเลือกคำนี้ขึ้นมา lส่วนหนึ่งคงมาจากสิ่งที่ผมจะเล่าให้ฟังข้างล่างนี้
โดยเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดเลย เพียงแต่เป็นเรื่องง่ายๆที่ผมเชื่อว่า
ส่วนมากของผู้ที่กำลังอ่านอยู่เข้าใจแต่ทำไม่ได้ซักที
ดังนั้นลองมาอ่านมันผ่านประสบการณ์ของคนที่ขาข้างหนึ่งอยู่บนความตายตลอดเวลาอย่างผมกันครับ
ผมเชื่อว่ามันจะทำให้คุณนำไปปฏิบัติมันได้เร็วขึ้น ที่สำคัญเรื่องนี้ฟรีครับ ไม่ต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงเอง ใช้เวลาไม่นาน
ผ่านประสบการณ์ที่ผมใช้เวลา ปีครึ่งแลกมา ลองเอาไปปรับใช้กันนะครับ แต่ละคนก็มีปัญหา
รูปแบบของชีวิตต่างกันไป เรื่องราวของผมคงเป็นได้เพียงไกด์ลาย บางคนทำให้มันเป็นความเคยชินได้เร็ว บางคนอาจจะช้าหน่อย
แต่ผมเชื่อว่าทุกคนทำให้เคยชินได้นะครับ และสำหรับผมใช้เวลาประมาณปีครึ่ง
คุณอาจจะเร็วกว่าผมก็ได้ครับ
ซึ่งในแต่ละข้อผมจะแทรกมุมมองของผู้ป่วยที่ต้องเจอในเหตุการณ์ต่างๆลงไปนะครับ
ส่วนใครมีมุมมองเพิ่มเติม ลองแชร์กันออกมาครับ หลายๆความคิดย่อมดีกว่าความคิดเดียว
ขอย้อนกลับไปที่ ข้อมูลพื้นฐานคร่าวๆเกี่ยวกับตัวผมสักนิดนะครับ เพื่อให้เข้าใจทัศนะคติของผมที่
มองชีวิต ทั้งก่อนเป็น กับ หลังเป็นมะเร็ง ว่าเปลี่ยนไปอย่างไร
ส่วนเรื่องเกี่ยวกับขั้นตอนการรักษาผมจะเขียนแชร์แยกต่างหากนะครับ (คือเรื่องของขั้นตอนการรักษามันเยอะมากตามแบบของมะเร็งผมยากเขียนให้ละเอียดๆจะได้มีประโยชน์แก่คนที่เป็นท่านอื่น )
รับรองว่ามีครบทุกรสเลยครับตอนรักษา ระยะสี่นี้รักษากันสนุกมากครับ
โดยมะเร็งชนิดที่ผมเป็นเรียกว่า มะเร็งหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal carcinoma) โดยอยู่ระดับ stage 4b ( T1N3M0 ) (การจัด stage ของ มะเร็งหลังโพรงจมูกต่างกับมะเร็งชนิดอื่นหน่อยตรงที่ 4 ของชนิดที่ผมเป็นยังไม่แพร่กระจายไปอวัยวะอื่น )
ซึ่งปัจจุบันนี้ผมอายุ ประมาณ 30 ปีนิดๆ เป็นช่วงชีวิตที่โบราณบอกว่าเป็นหนึ่งในช่วงรอยต่อในชีวิตที่สำคัญ (ซึ่งผมคิดว่ามันก็จริงนะ)
ชีวิตผมตั้งแต่เด็กจนถึงมหาลัยก็ถูกสั่งสอนเหมือนเด็กทั่วๆไป คือพยายามเรียนให้เก่ง พยายามสอบให้ได้ที่ดีๆ เข้ามหาลัยดีๆให้ได้
ซึ่งหลังจากที่เข้าเรียนที่จุฬาได้แล้วชีวิตผมก็ค่อยเปลี่ยนไป อิสระในชีวิตเยอะขึ้น
จนหลังจากจบมาซักพักชีวิตผมก็เริ่มหมุนไปสู่อีกด้านของเหรียญเต็มตัว ผมออกมาใช้ชีวิตแบบที่ผมอยากใช้
โดยไม่สนอย่างอื่นรอบตัวเลยจริงๆ ยิ่งช่วงสามสี่ปีหลังๆที่หันมาทำงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกลางคืน
ทำให้ชีวิตส่วนใหญ่ตื่นในเวลากลางคืน นอนกลางวัน สังคมก็เป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่ง จนอายุ 29 เกือบหนึ่งปีก่อนที่จะตรวจพบ
ผมตัดสินใจเปลี่ยนมาทำงานกลางวัน เพราะความรู้สึกช่วงที่ก่อนออกมา
มันเป็นอารมณ์รุ้สึกรับไม่ไหวกับชีวิตแบบนี้แล้ว สิ่งที่เคยสนุกมันไม่สนุกอีกต่อไป งานที่ทำก็ส่งล่าช้า
ซึ่งมันจะกลายเป็นภาระให้ตัวผมเอง ให้หัวหน้า ให้บริษัท เลยตัดสินใจลาออกมาตั้งหลักใหม่
ช่วงหลังจากออกมานั้น เป็นหนึ่งปีที่ชีวิตเต็มไปด้วยความสับสนจนถามตัวเองหลายครั้งว่าต้องการอะไรจากชีวิตจริงๆ
เพราะชีวิตสองแบบทั้งสองขั้วที่ผมเจอมามันก็ไม่ใช่ทั้งคู่ และ ก็เหมือนชีวิตจะรู้ว่าผมต้องการหาคำตอบอะไรซักอย่าง
เลยจัดการให้โจทย์ใหม่มา โจทย์ที่ให้สติมาเป็นเครื่องมือ แต่ผมต้องใช้ ปัญญา ( Wisdom ) กับความเพียร (Grit ) (ซึ่งทั้งสองอย่างผมมีน้อยมากๆๆ) หาคำตอบออกมาให้ได้ จริงๆมันมีองค์ประกอบมากกว่านี้แต่ในส่วนนี้ผมขอเน้นไปที่สองตัวนี้ก่อน
และคำตอบที่ว่านั้นคือ ความสุข (Happiness) ในแบบที่ผมกำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ครับ
1. เริ่มหันมามีความสุขกับสิ่งเล็กๆรอบตัว
ผมอยากจะบอกว่าไม่ว่าคุณจะใช้ชีวิตในรูปแบบไหน ชีวิตมีรูปแบบอื่นๆซ่อนไว้ให้คุณค้นหามันเสมอ มุมเหล่านั้นในชีวิต คุณจะไม่มีทางมองเห็นเลยถ้าคุณไม่เปิดใจกับมัน ....ผมขอยกตัวอย่างแบบนี้ล่ะกัน ......ช่วงที่รักษาตัวถ้าไม่อยู่บ้านก็โรงพยาบาลเป็นอย่างนี้อยู่นานมาก ลอกนึกตามว่าจากคนที่แทบไม่ค่อยอยู่บ้านกลับต้องมาทำอะไรแบบนี้ หนทางเดียวที่จะทำชีวิตให้มีความสุขกับมันได้คือ วิธีมองโลกใบเดิมในมุมมองที่ต่างไป ผมจำความรู้สึกของข้าวต้มหมูหยอง ชามแรกหลังจากที่ต่อมรับรสกลับมาทำงานอีกครั้งได้เลยครับ มันคือรสชาติ ที่ไม่ได้ขึ้นกับความรู้สึกที่ว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อย แต่มันเป็นการรับรู้ในรูปแบบของการได้กลับมารับรู้รสชาติอาหารอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกพิเศษที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อนในตลอดสามสิบปี ทั้งที่ข้าวต้มแบบนี้ผมเคยกินมาเป็นพันครั้ง หามันให้เจอครับ ความรู้สึก รูปแบบ ในชีวิตที่ซ่อนอยู่ อย่างละนิดละน้อย ผสมๆกันไปมันจะออกมาเป็นวันที่สุดแสนพิเศษได้เสมอ
2. สุขภาพดี กับ ครอบครัว( รวมถึงทุกคนบนโลกที่คุณรักและรักคุณนะครับ) ที่อบอุ่น เป็นต้นทุนของฟรีที่บางคนไม่ค่อยจะเห็นค่ากัน
มีเรื่องจริงอย่างหนึ่งเกี่ยวกับมะเร็งที่จะเกิดขึ้นกับทุกครอบครัวเลย คือ เวลามีคนใดคนหนึ่งเป็นมะเร็ง คนทั้งครอบครัวก็เหมือนจะเป็นไปด้วย ยิ่งใกล้ชิดผูกพันกันเท่าไรยิ่งแสดงออกมามากเท่านั้น........ ในกรณีของผมช่วงวันแรกๆที่หมอบอกว่าผลออกมา สิ่งหนึ่งที่ยากสุดๆ เลยคือผมจะหาวิธีการบอกกับที่บ้านอย่างไร ความรู้สึกที่ว่าต้องเดินไปบอกกับที่บ้านว่าผมกำลังจะตาย ความรู้สึกตอนนั้นมันผสม ระหว่าง ความกังวล กับ เสียใจ อารมณ์ตอนนั้นมันออกแนวตื้อๆ ยิ่งคุณลุงของผมเคยเสียด้วยมะเร็งด้วยแล้ว การที่ผมจะบอกกับป้าที่เลี้ยงผมมาอย่างไร แกก็อายุมากแล้ว ที่บ้านเลยกลัวเรื่องสภาพจิตใจของแกจะแย่ลงไปอีก.... ดังนั้นเวลาเกิดเรื่องประเภทแบบนี้ผมแนะนำเลยว่าหาคนที่มีสติ พอจะรับมือกับปัญหาได้พูดคุยเป็นคนแรกจะง่ายและดีที่สุด รวมถึงความรู้สึกของคนอื่นๆในบ้านหลังจากที่ผมตัดสินใจบอกไป บรรยากาศผมสัมผัสได้ทันทีถึงความตึงเครียดที่เข้ามา ถึงแม้ทุกคนจะพยายามยิ้มแล้วก็ตาม
(มีต่อ)