13 มิถุนายน 2557
พอดีว่าผมมีโอกาสได้ไปชมภาพยนตร์เรื่อง มาเลฟเซนต์ (MALEFICENT) มาครับ ผมเลยอยากจะลองเขียนเรื่องราวที่ได้รับจากการดูหนังเรื่องนี้ เนื่องจากในช่วงหลังมานี้เวลาที่ผมไปชมภาพยนตร์เรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วก็มักจะต้องมองหาหมายความที่ซ่อนเร้นหรือแก่นของเรื่อง (Theme) ที่แฝงอยู่ในบทประพันธ์เสมอ เพื่อที่จะดึงประเด็นดังกล่าวออกมาฝึกเขียน คงเหมือนเป็นการลองเลาะตะเข็บเพื่อดึงกระตุกหนามเตยของแผ่นฟิล์มออกมาแผ่ชมในมุมมองของตัวผมเองครับ

เรื่องราวของภาพยนตร์มาเลฟิเซนต์ (MALEFICENT) นี้ ก่อนที่ผมจะไปเข้าชมก็คิดว่าคงจะเป็นเรื่องราวของตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับเจ้าหญิงนิทราตามที่เคยได้ทราบมาก่อนแล้ว ที่เล่าว่าในวันประสูติของเจ้าหญิงองค์หนึ่งมีเหล่านางฟ้ามากมายต่างก็มาอวยพรให้ แต่แล้วก็มีนางฟ้าใจร้ายตนหนึ่งโกรธและเคียดแค้นที่นางไม่ได้ถูกรับเชิญ นางฟ้าใจร้ายตนนี้จึงมาทำการสาปแช่งแก่เจ้าหญิง โดยให้เจ้าหญิงถูกเข็มอันแหลมคมของเครื่องปั่นด้ายแทงตายในวันเกิดอายุครบ 16 ปี แต่แล้วก็มีนางฟ้าใจดีตนสุดท้ายมาอวยพรเพื่อแก้คำสาบให้ว่า เจ้าหญิงจะไม่ตายแต่จะนอนหลับนิทราไปเป็นเวลา 100 ปีจนกว่าจะมีเจ้าชายมาจุมพิตเพื่อปลุกให้ตื่นขึ้น
แต่ว่าพอได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วผมจึงรู้ว่าประเด็นหลักที่เอามานำเสนอในเรื่องนี้ไม่ได้เป็นไปตามเรื่องราวในตำนานดังกล่าวทั้งหมด แต่กลับเป็นการอิงตำนานโดยพูดถึงประเด็นของตัวนางฟ้าใจร้ายเป็นหลัก โดยเนื้อเรื่องในภาพยนตร์เล่าย้อนไปให้ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้นางฟ้าผู้ใจดีต้องกลับกลายเป็นนางฟ้าที่ใจร้าย ตามชื่อเรื่องภาษาไทยที่ตั้งว่า “มาเลฟิเซนต์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจ” ดังนั้นเรื่องราวของนางฟ้ามาเลฟิเซนต์ผู้ใจร้ายนี้กลับกลายเป็นเรื่องราวที่ผู้ชมสนใจอยากรู้และอยากจะเฝ้าติดตามมากกว่า เพราะเป็นการเล่าโดยการสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่ในส่วนที่คนทั่วไปอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน จึงถือว่าเป็นจุดเด่นในการเขียนบทของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้
(หลังจากนี้ต้องขออภัยด้วยหากว่าจะมีบางส่วนในข้อเขียนนี้เป็นการสปอยล์เนื้อเรื่องไปบ้าง)
เรื่องราวคร่าว ๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีประมาณว่า กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ มีเมืองอยู่สองเมืองซึ่งเมืองหนึ่งเป็นเมืองของมนุษย์ธรรมดาที่มีพระราชาปกครอง และอีกหนึ่งเมืองที่ชื่อว่าเมืองมัวส์ (สะกดตามบทบรรยายภาษาไทย) ที่เป็นเมืองในเทพนิยายซึ่งนางฟ้าและสัตว์ในเทพนิยายอาศัยอยู่ ทั้งสองเมืองนี้มักจะมีความขัดแย้งกันอยู่เสมอ แล้วก็พูดถึงตัวละครเอกของเรื่องซึ่งก็คือนางฟ้าตัวน้อยที่มีปีกแสนสวยที่ชื่อ “มาเลฟิเซนต์” ที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสบายอยู่ในเมืองมัวส์แห่งนี้ จนกระทั่งในวันหนึ่งมีมนุษย์ที่เป็นหนุ่มน้อยลูกชาวนาคนหนึ่งพลัดหลงเข้าไปในเมืองมัวส์ โดยมนุษย์คนนี้ได้รับการช่วยเหลือจากนางฟ้ามาเลฟิเซนต์จนพากลับออกไปได้ หลังจากนั้นเป็นต้นมาเป็นนางฟ้าตัวเล็กและหนุ่มน้อยผู้มีความทะเยอทะยานก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทและผูกพันกันเรื่อยมา จนกระทั่งพัฒนาต่อไปเป็นความรักแบบหนุ่มสาว แล้วเรื่องราวก็ดำเนินไปถึงจุดเปลี่ยนที่เป็นคลายแม็กซ์แรกของเรื่อง เมื่อนางฟ้ามาเลฟิเซนต์ถูกลอบทำร้ายด้วยความรักอันเกิดมาจากจิตใจซึ่งละโมบและหลอกลวงของมนุษย์ จึงทำให้นางฟ้ามาเลฟิเซนต์ผู้ใจดีต้องเปลี่ยนกลับกลายเป็นนางฟ้าผู้ใจร้ายไปตลอดกาล หลังจากนั้นเนื้อเรื่องก็โยงเข้าสู่ตำนานของเจ้าหญิงนิทราไปจนกระทั่งถึงตอนจบของเรื่อง ที่สามารถมีบทสรุปที่ทำให้เรื่องจบลงได้อย่างสวยงาม (เนื้อเรื่องโดยละเอียดทั้งหมดผมเล่าให้ฟังไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นการสปอยล์ครับ)
ถ้าท่านได้เข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วท่านจะเห็นได้ว่า เรื่องราวนั้นถูกเล่าขึ้นแบบการเล่านิทานด้วยการขึ้นต้นเรื่องในประโยคว่า “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว” โดยในสมัยก่อนนั้นผู้ใหญ่มักจะใช้วิธีการเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟัง เพื่อให้นิทานช่วยสอนเด็กในเรื่องและประเด็นต่าง ๆ เสมอ เนื่องจากว่าในตอนจบของเรื่องมักจะมีบทสรุปที่บอกว่า “นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า” โดยตลอด แต่ในปัจจุบันนี้คุณพ่อและคุณแม่สมัยใหม่นั้นได้หายเหินจากการเล่านิทานให้ลูกฟังแล้ว ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและความเจริญทางด้านวัตถุที่พัฒนาต่อเนื่องไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ดูเหมือนว่าการเล่านิทานแบบเก่านั้นแทบจะถูกลืมเลือนไปแล้ว แต่ในทางกลับกันผมเชื่อว่าผู้สร้างหนังการ์ตูนและภาพยนตร์สำหรับเด็กทั้งหลายต่างก็ตั้งใจที่จะให้หนังหรือภาพยนตร์ที่สร้างนั้นช่วยเล่าเรื่องราวของนิทานแทนผู้เป็นพ่อแม่ เพียงแต่ว่าในตอนจบของเรื่องอาจจะไม่มีการสรุปลงท้ายให้เด็กได้รับทราบเหมือนเช่นการเล่านิทาน ดังนั้นเมื่อคุณพ่อคุณแม่พาเด็ก ๆ ไปชมหนังการ์ตูนสักเรื่องแล้วก็ควรกลับมาอธิบายบทสรุปที่ได้รับจากหนังการ์ตูนเรื่องนั้นให้ลูก ๆ ของท่านได้ทราบ เพื่อที่จะทำให้เด็กเกิดจินตนาการที่จะคิดเรื่องราวต่อไปได้
ในหนังการ์ตูนนั้นมีมักจะการกำหนดเรื่องความดีและความเลวเอาไว้อย่างชัดเจน ความดีมักจะแทนด้วยสีขาวและความเลวหรือความชั่วร้ายมักจะแทนด้วยดีดำเสมอ ในเรื่องราวซึ่งเป็นความบันเทิงอันสนุกสนานที่สร้างขึ้นมาให้เด็ก ๆ สนใจและติดตามนั้น ต่างก็มีเรื่องราวที่เป็นประโยชน์สำหรับเด็กแฝงอยู่โดยตลอด ดังเช่นในภาพยนตร์เรื่องมาเลฟิเซนต์นี้มีความชัดเจนมากในเรื่องของความดีและความเลว นางฟ้ามาเลฟิเซนต์ผู้ที่เป็นตัวละครเอกมีมิติของการเป็นตัวละครอย่างชัดเจน มีสาเหตุที่ทำให้เห็นได้ชัดว่าอะไรทำให้เธอต้องเปลี่ยนจากนางฟ้าใจดีกลายเป็นนางฟ้าซึ่งใจร้าย? อะไรที่เปลี่ยนสีขาวบริสุทธ์ให้กลายเป็นสีดำอันมืดมิดได้? รวมทั้งความเคียดแค้นนั้นสามารถสร้างเรื่องราวอันเลวร้ายได้มากมายขนาดไหน? การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างความรักและความเคียดแค้น การพูดถึงบทสรุปของความรักที่นำมาใช้ขจัดความแค้นเคียดให้หมดไป รวมทั้งเรื่องราวที่แฝงอยู่ในเรื่องทั้งหมดนั้นท่านสามารถนำกลับมาประยุกต์ใช้สอนลูกหลานหรือแม้กระทั่งสอนตัวของท่านเองได้อีกด้วย
ประเด็นหลักในเรื่องนี้พูดถึงเรื่องความรัก(สีขาว) ที่นำไปสู่ความผิดหวังในความรัก(สีขาวถูกละเลงจนเปื้อน) จนนำมาซึ่งความเคียดแค้น(สีดำ) หลังจากนั้นความสวยงามบริสุทธิ์ของเด็กน้อยที่โดนสาบแช่ง(สีขาวที่โดนสีดำทาทับ) กลับทำให้นางฟ้าผู้ใจร้ายอยากจะแก้ไขความผิดพลาดในอดีต(ต้องการล้างสีดำออกให้ได้) จนสุดท้ายด้วยความรักและความห่วงใยอันแท้จริงได้มาช่วยให้พบกับบทสรุปของเรื่อง(สีดำกลับกลายมาเป็นสีขาวอีกครั้ง) เรื่องราวที่ได้รับชมทั้งหมดนี้ท่านสามารถนำไปตีความเพื่อสอนเป็นแง่คิดให้แก่ลูกหลานของท่านได้

ส่วนในอีกประเด็นที่น่าชื่นชมของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือการแสดงของตัวละครหลักในเรื่อง ซึ่งก็คือนางฟ้ามาเลฟิเซนต์ที่แสดงโดยแองเจลิน่า โจลี่ ถือว่าเธอแสดงได้สมบทบาทอย่างยอดเยี่ยมมาก เรื่องราวทั้งหมดอยู่ที่ตัวเธอเป็นหลัก เรียกได้ว่ากล้องแทบจะเดินตามตัวเธอเกือบจะทั้งเรื่อง เธอสามารถสะกดให้ผู้ชมทุกคนในโรงเห็นได้ว่า เมื่อนางฟ้าที่แสนดีตนหนึ่งโดนความผิดหวังในความรักทำลาย โดนหลวงลวงโดยชายที่รักแล้ว ผู้หญิงคนนั้นจะกลายเป็นนางปีศาจร้ายได้อย่างไร? ชายหนุ่มหลายท่านดูแล้วอาจจะต้องกลัวและไม่กล้าไปหักอกหญิงสาวคนไหนอีกเป็นแน่
ในปัจจุบันนี้การที่ท่านจะตัดสินใจว่าจะไปชมภาพยนตร์เรื่องใดสักเรื่องนั้น ท่านอาจจะมีสาเหตุอยู่หลายประการ ในยุคสมัยที่ราคาค่าบัตรเข้าชมภาพยนตร์ในบ้านเรานั้นแพงเกินกว่าความเป็นจริงอย่างมาก ท่านควรหาหนังที่มีความบันเทิงอันแฝงไปด้วยสาระจึงจะคุ้มค่ากับราคาค่าตั๋วภาพยนตร์ที่ท่านเสียไป ซึ่งผมเชื่อว่าภาพยนตร์เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีการเขียนบทที่ดี ซึ่งสามารรถทำให้ท่านฉุกคิดถึงเรื่องการกระทำความดีได้นั้น ผมคิดว่ามันคงคุ้มค่าสำหรับการซื้อบัตรเข้าไปชมในโรงภาพยนตร์เป็นอย่างแน่
หวังว่าทุกท่านคงจะได้ชมภาพยนตร์อย่างสนุกและมีความสุขที่สุดครับ
อิอิ


มาเลฟิเซนต์ ; ความรักและความเคียดแค้น ความขาวบริสุทธิ์เอาชนะความดำอันมืดมิดได้เสมอ
พอดีว่าผมมีโอกาสได้ไปชมภาพยนตร์เรื่อง มาเลฟเซนต์ (MALEFICENT) มาครับ ผมเลยอยากจะลองเขียนเรื่องราวที่ได้รับจากการดูหนังเรื่องนี้ เนื่องจากในช่วงหลังมานี้เวลาที่ผมไปชมภาพยนตร์เรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วก็มักจะต้องมองหาหมายความที่ซ่อนเร้นหรือแก่นของเรื่อง (Theme) ที่แฝงอยู่ในบทประพันธ์เสมอ เพื่อที่จะดึงประเด็นดังกล่าวออกมาฝึกเขียน คงเหมือนเป็นการลองเลาะตะเข็บเพื่อดึงกระตุกหนามเตยของแผ่นฟิล์มออกมาแผ่ชมในมุมมองของตัวผมเองครับ
เรื่องราวของภาพยนตร์มาเลฟิเซนต์ (MALEFICENT) นี้ ก่อนที่ผมจะไปเข้าชมก็คิดว่าคงจะเป็นเรื่องราวของตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับเจ้าหญิงนิทราตามที่เคยได้ทราบมาก่อนแล้ว ที่เล่าว่าในวันประสูติของเจ้าหญิงองค์หนึ่งมีเหล่านางฟ้ามากมายต่างก็มาอวยพรให้ แต่แล้วก็มีนางฟ้าใจร้ายตนหนึ่งโกรธและเคียดแค้นที่นางไม่ได้ถูกรับเชิญ นางฟ้าใจร้ายตนนี้จึงมาทำการสาปแช่งแก่เจ้าหญิง โดยให้เจ้าหญิงถูกเข็มอันแหลมคมของเครื่องปั่นด้ายแทงตายในวันเกิดอายุครบ 16 ปี แต่แล้วก็มีนางฟ้าใจดีตนสุดท้ายมาอวยพรเพื่อแก้คำสาบให้ว่า เจ้าหญิงจะไม่ตายแต่จะนอนหลับนิทราไปเป็นเวลา 100 ปีจนกว่าจะมีเจ้าชายมาจุมพิตเพื่อปลุกให้ตื่นขึ้น
แต่ว่าพอได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วผมจึงรู้ว่าประเด็นหลักที่เอามานำเสนอในเรื่องนี้ไม่ได้เป็นไปตามเรื่องราวในตำนานดังกล่าวทั้งหมด แต่กลับเป็นการอิงตำนานโดยพูดถึงประเด็นของตัวนางฟ้าใจร้ายเป็นหลัก โดยเนื้อเรื่องในภาพยนตร์เล่าย้อนไปให้ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้นางฟ้าผู้ใจดีต้องกลับกลายเป็นนางฟ้าที่ใจร้าย ตามชื่อเรื่องภาษาไทยที่ตั้งว่า “มาเลฟิเซนต์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจ” ดังนั้นเรื่องราวของนางฟ้ามาเลฟิเซนต์ผู้ใจร้ายนี้กลับกลายเป็นเรื่องราวที่ผู้ชมสนใจอยากรู้และอยากจะเฝ้าติดตามมากกว่า เพราะเป็นการเล่าโดยการสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่ในส่วนที่คนทั่วไปอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน จึงถือว่าเป็นจุดเด่นในการเขียนบทของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้
(หลังจากนี้ต้องขออภัยด้วยหากว่าจะมีบางส่วนในข้อเขียนนี้เป็นการสปอยล์เนื้อเรื่องไปบ้าง)
เรื่องราวคร่าว ๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีประมาณว่า กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ มีเมืองอยู่สองเมืองซึ่งเมืองหนึ่งเป็นเมืองของมนุษย์ธรรมดาที่มีพระราชาปกครอง และอีกหนึ่งเมืองที่ชื่อว่าเมืองมัวส์ (สะกดตามบทบรรยายภาษาไทย) ที่เป็นเมืองในเทพนิยายซึ่งนางฟ้าและสัตว์ในเทพนิยายอาศัยอยู่ ทั้งสองเมืองนี้มักจะมีความขัดแย้งกันอยู่เสมอ แล้วก็พูดถึงตัวละครเอกของเรื่องซึ่งก็คือนางฟ้าตัวน้อยที่มีปีกแสนสวยที่ชื่อ “มาเลฟิเซนต์” ที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสบายอยู่ในเมืองมัวส์แห่งนี้ จนกระทั่งในวันหนึ่งมีมนุษย์ที่เป็นหนุ่มน้อยลูกชาวนาคนหนึ่งพลัดหลงเข้าไปในเมืองมัวส์ โดยมนุษย์คนนี้ได้รับการช่วยเหลือจากนางฟ้ามาเลฟิเซนต์จนพากลับออกไปได้ หลังจากนั้นเป็นต้นมาเป็นนางฟ้าตัวเล็กและหนุ่มน้อยผู้มีความทะเยอทะยานก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทและผูกพันกันเรื่อยมา จนกระทั่งพัฒนาต่อไปเป็นความรักแบบหนุ่มสาว แล้วเรื่องราวก็ดำเนินไปถึงจุดเปลี่ยนที่เป็นคลายแม็กซ์แรกของเรื่อง เมื่อนางฟ้ามาเลฟิเซนต์ถูกลอบทำร้ายด้วยความรักอันเกิดมาจากจิตใจซึ่งละโมบและหลอกลวงของมนุษย์ จึงทำให้นางฟ้ามาเลฟิเซนต์ผู้ใจดีต้องเปลี่ยนกลับกลายเป็นนางฟ้าผู้ใจร้ายไปตลอดกาล หลังจากนั้นเนื้อเรื่องก็โยงเข้าสู่ตำนานของเจ้าหญิงนิทราไปจนกระทั่งถึงตอนจบของเรื่อง ที่สามารถมีบทสรุปที่ทำให้เรื่องจบลงได้อย่างสวยงาม (เนื้อเรื่องโดยละเอียดทั้งหมดผมเล่าให้ฟังไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นการสปอยล์ครับ)
ถ้าท่านได้เข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วท่านจะเห็นได้ว่า เรื่องราวนั้นถูกเล่าขึ้นแบบการเล่านิทานด้วยการขึ้นต้นเรื่องในประโยคว่า “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว” โดยในสมัยก่อนนั้นผู้ใหญ่มักจะใช้วิธีการเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟัง เพื่อให้นิทานช่วยสอนเด็กในเรื่องและประเด็นต่าง ๆ เสมอ เนื่องจากว่าในตอนจบของเรื่องมักจะมีบทสรุปที่บอกว่า “นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า” โดยตลอด แต่ในปัจจุบันนี้คุณพ่อและคุณแม่สมัยใหม่นั้นได้หายเหินจากการเล่านิทานให้ลูกฟังแล้ว ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและความเจริญทางด้านวัตถุที่พัฒนาต่อเนื่องไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ดูเหมือนว่าการเล่านิทานแบบเก่านั้นแทบจะถูกลืมเลือนไปแล้ว แต่ในทางกลับกันผมเชื่อว่าผู้สร้างหนังการ์ตูนและภาพยนตร์สำหรับเด็กทั้งหลายต่างก็ตั้งใจที่จะให้หนังหรือภาพยนตร์ที่สร้างนั้นช่วยเล่าเรื่องราวของนิทานแทนผู้เป็นพ่อแม่ เพียงแต่ว่าในตอนจบของเรื่องอาจจะไม่มีการสรุปลงท้ายให้เด็กได้รับทราบเหมือนเช่นการเล่านิทาน ดังนั้นเมื่อคุณพ่อคุณแม่พาเด็ก ๆ ไปชมหนังการ์ตูนสักเรื่องแล้วก็ควรกลับมาอธิบายบทสรุปที่ได้รับจากหนังการ์ตูนเรื่องนั้นให้ลูก ๆ ของท่านได้ทราบ เพื่อที่จะทำให้เด็กเกิดจินตนาการที่จะคิดเรื่องราวต่อไปได้
ในหนังการ์ตูนนั้นมีมักจะการกำหนดเรื่องความดีและความเลวเอาไว้อย่างชัดเจน ความดีมักจะแทนด้วยสีขาวและความเลวหรือความชั่วร้ายมักจะแทนด้วยดีดำเสมอ ในเรื่องราวซึ่งเป็นความบันเทิงอันสนุกสนานที่สร้างขึ้นมาให้เด็ก ๆ สนใจและติดตามนั้น ต่างก็มีเรื่องราวที่เป็นประโยชน์สำหรับเด็กแฝงอยู่โดยตลอด ดังเช่นในภาพยนตร์เรื่องมาเลฟิเซนต์นี้มีความชัดเจนมากในเรื่องของความดีและความเลว นางฟ้ามาเลฟิเซนต์ผู้ที่เป็นตัวละครเอกมีมิติของการเป็นตัวละครอย่างชัดเจน มีสาเหตุที่ทำให้เห็นได้ชัดว่าอะไรทำให้เธอต้องเปลี่ยนจากนางฟ้าใจดีกลายเป็นนางฟ้าซึ่งใจร้าย? อะไรที่เปลี่ยนสีขาวบริสุทธ์ให้กลายเป็นสีดำอันมืดมิดได้? รวมทั้งความเคียดแค้นนั้นสามารถสร้างเรื่องราวอันเลวร้ายได้มากมายขนาดไหน? การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างความรักและความเคียดแค้น การพูดถึงบทสรุปของความรักที่นำมาใช้ขจัดความแค้นเคียดให้หมดไป รวมทั้งเรื่องราวที่แฝงอยู่ในเรื่องทั้งหมดนั้นท่านสามารถนำกลับมาประยุกต์ใช้สอนลูกหลานหรือแม้กระทั่งสอนตัวของท่านเองได้อีกด้วย
ประเด็นหลักในเรื่องนี้พูดถึงเรื่องความรัก(สีขาว) ที่นำไปสู่ความผิดหวังในความรัก(สีขาวถูกละเลงจนเปื้อน) จนนำมาซึ่งความเคียดแค้น(สีดำ) หลังจากนั้นความสวยงามบริสุทธิ์ของเด็กน้อยที่โดนสาบแช่ง(สีขาวที่โดนสีดำทาทับ) กลับทำให้นางฟ้าผู้ใจร้ายอยากจะแก้ไขความผิดพลาดในอดีต(ต้องการล้างสีดำออกให้ได้) จนสุดท้ายด้วยความรักและความห่วงใยอันแท้จริงได้มาช่วยให้พบกับบทสรุปของเรื่อง(สีดำกลับกลายมาเป็นสีขาวอีกครั้ง) เรื่องราวที่ได้รับชมทั้งหมดนี้ท่านสามารถนำไปตีความเพื่อสอนเป็นแง่คิดให้แก่ลูกหลานของท่านได้
ส่วนในอีกประเด็นที่น่าชื่นชมของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือการแสดงของตัวละครหลักในเรื่อง ซึ่งก็คือนางฟ้ามาเลฟิเซนต์ที่แสดงโดยแองเจลิน่า โจลี่ ถือว่าเธอแสดงได้สมบทบาทอย่างยอดเยี่ยมมาก เรื่องราวทั้งหมดอยู่ที่ตัวเธอเป็นหลัก เรียกได้ว่ากล้องแทบจะเดินตามตัวเธอเกือบจะทั้งเรื่อง เธอสามารถสะกดให้ผู้ชมทุกคนในโรงเห็นได้ว่า เมื่อนางฟ้าที่แสนดีตนหนึ่งโดนความผิดหวังในความรักทำลาย โดนหลวงลวงโดยชายที่รักแล้ว ผู้หญิงคนนั้นจะกลายเป็นนางปีศาจร้ายได้อย่างไร? ชายหนุ่มหลายท่านดูแล้วอาจจะต้องกลัวและไม่กล้าไปหักอกหญิงสาวคนไหนอีกเป็นแน่
ในปัจจุบันนี้การที่ท่านจะตัดสินใจว่าจะไปชมภาพยนตร์เรื่องใดสักเรื่องนั้น ท่านอาจจะมีสาเหตุอยู่หลายประการ ในยุคสมัยที่ราคาค่าบัตรเข้าชมภาพยนตร์ในบ้านเรานั้นแพงเกินกว่าความเป็นจริงอย่างมาก ท่านควรหาหนังที่มีความบันเทิงอันแฝงไปด้วยสาระจึงจะคุ้มค่ากับราคาค่าตั๋วภาพยนตร์ที่ท่านเสียไป ซึ่งผมเชื่อว่าภาพยนตร์เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีการเขียนบทที่ดี ซึ่งสามารรถทำให้ท่านฉุกคิดถึงเรื่องการกระทำความดีได้นั้น ผมคิดว่ามันคงคุ้มค่าสำหรับการซื้อบัตรเข้าไปชมในโรงภาพยนตร์เป็นอย่างแน่
หวังว่าทุกท่านคงจะได้ชมภาพยนตร์อย่างสนุกและมีความสุขที่สุดครับ
อิอิ