อริยสัจ 4 เป็นคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมคนเราถึงต้องเกิดแก่เจ็บตาย และทำอย่างไรถึงจะพ้นจากวงจรอันน่าสงสารนี้ได้
คนเราเมื่อเกิดมาแล้วจะพบปัญหาสารพัด เมื่อเกิดมาแล้วไม่พ้นจะต้องพบปัญหา
การแก้ปัญหาถาวรก็คือ การหลุดออกจากวงจรเกิดแก่เจ็บตาย นอกจากนั้นเป็นการแก้ไขปัญหาขั่วคราวเท่านั้น
ในอริยสัจ 4 เฉลยว่า เพราะทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาเองทำให้เราต้องเกิดแก่เจ็บตาย ดับทุกข์ได้ก็ดับวงจรเกิดแก่เจ็บตายของเราเองได้
ทุกข์เกิดจากการที่เราหลงไปเพลิดเพลินปรุงแต่งในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความคิด (ตัณหา)
เราเราเท่าทันรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความคิด ที่เกิดขึ้นตรงตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วยปัญญาอันชอบหรือการรู้ตามความเป็นจริง
ตัณหาหรือทุกข์ก็ไม่เกิด ทุกข์เกิดที่ใหนทรงสอนให้ดับที่นั่น ทุกข์เกิดที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ
เราก็ต้องดับที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ เพราะนอกจาก 6 ทางนี้แล้ว ไม่มีทุกข์เกิดกับเรา
ถ้าปฏิบัติได้เป็นประจำ หรือใช้รู้จักใช้สติปัญญาในชีวิตประจำวัน เราก็จะถึงความดับทุกข์แบบถาวรได้ในที่สุด
ในชีวิตประจำวันของเรานั้น ปัญหาที่จะเกิดกับเรา เริ่มจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
และการปรุงแต่งของเรานี่เอง เช่น เสียงด่าเข้าหู จิตปรุงแต่งมีผลออกมาเป็นความโกรธ
หน้าดำหน้าแดงก็จะไปทำร้ายคนด่าเอาได้ ปัญหาในชีวิตก็เกิด หรือเราเจอคนไม่ชอบหน้า ไปว่าไปด่าเขา เขาผูกแค้น
สักวันก็หาทางเล่นงานเรา เป็นต้น
เรื่องใหญ่ๆ ที่เหลือมันก็จะตามมมาจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดกับเรา 6 ทางนี่แหละ
เหตุไม่เกิด ผลก็ไม่ตามมา การแก้ปัญหาในลักษณะนี้ แก้ปัญหาได้ทั้งเหตุการณ์เฉพาะหน้า
ไปถึงการแก้ปัญหาอย่างถาวร การยึดหลักของทางสายกลาง ตือ การยึดครรลองคลองธรรม
โดยธรรมชาติมีครรลองว่า ธรรมชาติทุกอย่างเกิดด้วยเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว ไม่มีการบังเอิญ
ไม่มีใครเนรมิต เหตุตรงผล พระพุทธองค์ตรัสว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ ปกติทรงแสดงเหตุการเกิดและการดับของธรรมนั้นๆ
การยึดทางสายกลาง ก็คือยึดหลักความเป็นจริงของธรรมชาติ อยากได้ผลอะไรก้ไปทำเหตุที่ถูกต้องตามความเป็นจริง
ไม่เป็นการฝืนธรรมชาติ
ในมรรคมีองค์ 8 ทรงแสดงไว้ว่า เพราะความไม่รู้จักธรรมชาติตามความเป็นจริง
ประกอบกับความไม่ละอายเกรงกลัวต่อบาป ทำให้ความเห็นผิดเกิดขึ้นในบุคคลนั้นๆ
(หรือความเห็นผิดของคนเกิดมาจากการได้เรียนรู้ในสิ่งที่ผิดไปจากความเป็นจริง)
เมื่อบุคคลเกิดความเห็นผิด ความคิดผิดก็จะตามมมา เพราะความเห็นนั้นเป็นเหตุปัจจัยของความคิด
เมื่อคิดผิดก็จะพูดผิด เมื่อพูดผิดก็จะทำผิด หรือพฤติกรรมของคนเราเกิดมาจากความคิด มีความคิดเป็นเหตุปัจจัย
เมื่อเกิดพฤติกรรมผิด การดำเนินชีวิตหรือการดิ้นรนเพื่ออยู่รอดก็จะไปในทางที่ผิด ความพยายามที่เกิดก็จะผิดตามมา
การระลึกและความตั้งใจทำอะไรก็จะผิด
ทั้งนี้จะเป็นว่า เพราะความไม่รู้เป็นต้นตอในทางตรงกันข้าม ถ้าบุคคลได้เรียนรู้จักธรรมชาติตามความเป็นจริง หรือรู้กฏธรรมชาติ 2 กฏ ความละอายเกรงกลัวต่อบาปก็จะเกิดตามมา ความเห็นที่เกิดกับบุคคลนั้นก็จะกลายเป็นความเห็นชอบ หรือเห็นถูกตามความเป็นจริง
เช่นเห็นว่าธรรมชาติประกอบด้วยเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว มีลักษณะเกื้อกูลกันให้เกิด
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆ ไม่มีคำว่าบังเอิญในธรรมชาติ อะไรเกิดขึ้นมาก็ต้องดับ ไม่มีอะไรอยู่ได้อย่างถาวร
ยกเว้นสภาวะนิพพาน ฯ เมื่อเห็นอย่างนี้ ความคิดที่เกิดขึ้นกับบุคคลก็จะเป็นความคิดที่ถูก
ไม่ไปทำเหตุที่จะเกิดความเสียหายในภาคหน้า ทำแต่เหตุที่จะเกิดสิ่งที่ดีตามมมา หรือกลายเป็นคนรู้เหตุรู้ผล
เมื่อคิดดี ก็จะพูดดี เมื่อพูดดีก็จะทำดี เมื่อทำดีก็จะดำเนินชีวิตในทางที่ดี เมื่อใช้ชีวิตดี ก็จะพยายามทำในสิ่งที่ดี ระลึกในสิ่งที่ดี
ความตั้งใจมั่นที่เกิดก็จะเป็นเรื่องที่ดี ในมรรค 8 จึงทรงแสดงว่า มีความเห็นป็นประธาน เมื่อความเห็นชี้ไปทางใดทางหนึ่ง
องค์มรรคที่เหลือก็จะไปตามทิศทางนั้น หรือกล่าวกลับกันว่า ในมรรค 8 สมาธิมีองคฺมรรคที่เหลือเป็นบริขารหรือบริวาร
แปลว่า สมาธิหรือความตั้งใจมั่นของบุคคลมีองค์มรรที่เหลือเป็นเหตุที่มาประชุมกัน (ซึ่งหลายคนไปแปลผิดว่า
ทำสมาธิแล้วมรรที่เหลือจะเกิด ซึ่งไม่ถูกตามกฏธรรมชาติ บางคนบอกให้ไปทำมรรคที่ละองค์แล้วเอามาประกอบกันได้ได้เป็นสัมมาสมาธิ)
มรรค 8 ก็คือ ครรลองของพฤติกรรมมนุษย์นี่เอง หรือเฉลยเบื้องหลังพฤติกรรมของมนุษย์ เพราะฉะนั้น
การที่เราจะฝึกคนให้เป็นคนดี เราต้องไปทำที่เหตุของการทำให้คนเป็นคนดี เพราะการที่บุคคลจะเป็นคนดี มันเป็นผล เราสั่งให้ผลเกิดไม่ได้ หรือสั่งคนให้เป็นคนดีไม่ได้ สั่งคนไปถือศีลหวังจะให้คนเป็นคนดีก็ไม่ได้ หรือแท้จริงแล้วศีลชำระคนให้บิสุทธิ์ไม่ได้
หรือคนบริสุทธิ์ไม่ได้ด้วยศีล การสั่งคนไปถือศีลแล้วหวังว่าจะให้คนเป็นคนดีจึงเป็นความเห็นผิด ถือเป็นศีลปตปรมารส
ต้องให้บุคคลนั้นๆ ไปทำที่เหตุที่ถูกต้อง เริ่มตั้งแต่ ทำให้เจ้าตัวเกิดสัมมาทิฏฐิให้ได้ก่อน ซึ่งสัมมาทิฏฐิ
หรือความเห็นชอบนั้นก็ไม่ได้เกิดมาลอยๆ เหตุของมันก็คือ การได้เรียนรู้ในสิ่งที่ถูกต้อง ถูกจริงๆ ตรงตามความเป็นจริงของธรรมชาติ
เมื่อได้เรียนถูกแล้ว ความเห็นถูกจึงจะเกิดตามมา สิ่งที่เหลือก็จะตามมาเองตามเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นศีล หรือความสงบสุขของจิตใจ
ความเห็นชอบของคนเรานั้นยังแบ่งออกได้เป็น 2 ระดับ คือ
แบบโลกียะ กับแบบโลกุตระ (หรืออนาสวะ และ สาสวะ)
แบบอนาสวะคือ เห็นว่า 1. ทานที่ให้แล้วมีผลจริง 2. ยัญที่ทำแล้วมีผลจริง 3. การเซ่นสรวงหรือการบูชามีผลจริง 4. วิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีผลจริง 5. โลกนี้มีจริง 6. โลกหน้ามีจริง 7. มารดามีคุณจริง 8. บิดามีคุณจริง 9. สัตว์ที่ผุดเกิดขึ้นมีจริง 10. พระอรหันต์ผู้ สามารถรู้แจ้งโลกนี้โลกหน้ามีอยู่จริง
แบบสาสวะ คือ เห็นว่า ธรรมชาติทั้งหมด มีลักษณะเหมือนกัน 3 ประการ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เพราะเกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว ไม่มีอะไรยั่งยืนถาวร ปกติแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาจากสิ่งใด เห็นว่าเพราะทุกข์ที่เราสร้างขี้นมาเองทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเป็นเหตุปัจจัยของทุกข์ที่เกิดตามมาทั้งหมด ดับทุกข์ที่เกิดทางตาหูจมูกลิ้นกายใจของเราเองได้ก็ดับทุกขฺที่เกิดกับเราอย่างถาวรได้ ... เป็นความรู้ที่เอาไปดับทุกข์ได้ถาวร
การฝึก ก็คือ การใช้สติปัญญาในชีวิตประจำวัน หรือระลึกถึงความเป็นจริงประกบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า (ปัจจุบันขณะ) เมื่อเราระลึกถึงความจริง ความเห็นหรือการปรุงแต่งจะไม่เกิดกับเรา เพราะมันเกิดพร้อมกันไม่ได้ การที่เราจะเกิดปัญญาได้ เราต้องเรียนมาก่อน เรียนถูก ให้ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ความรู้ที่เอามาดับความเห็นหรือดับการปรุงแต่งได้ สติถึงจะระลึกเอาความจริงมาให้เรารับรู้ได้
ถ้าเราเห็นทรัพย์ที่มีเจ้าของ อยากได้ อยากโขมย การระลึกถึงความจริงที่ยังเป็นอนาสวะอยู่ จะระงับให้เราไม่กลายเป็นโขมยได้ แต่ถ้าอยากได้มากๆ ความอยาก็เอาชนะได้ ถึงรู้ว่าผิดก็ยังทำ ที่มันเป็นเช่นนั้น ก็เพราะการปรุงแต่งมีอิทธิพลต่อจิตใจของเรามาก เราต้านทานมันไม่ได้ง่ายๆ คนธรรมดาจะต้านทานได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ การดับด้วยความรู้ระดับนี้ จึงเป็นการดับที่ปลายเหตุ ดับได้บ้างไม่ได้บ้าง หรือทำให้คนเป็นคนดีได้ชั่วคราว เพราะความอยากได้เกิดขึ้นมาแล้ว การเอาศีลไปไล่ดับ ก็เหมือนการเอาน้ำไปดับไฟที่ลุกโพรง
ถ้าจะให้ความอยากไม่เกิดจนแสดงอาการเห็นสิ่งมีค่าแล้วไม่เกิดความอยากได้เลย ต้องไปดับที่เหตุ หรือไปดับเชื้อไฟ หรือดับความอยากที่เหตุ เมื่อความอยากได้ไม่เกิด ก็ไม่มีอะไรไปสั่งให้มือไปหยิบฉวยเป็นเกิดจนเป็นโขมยขึ้นมาได้เลย
ความอยากมันก็ต้องมีเหตุปัจจัยมาประชุมกัน เหตุปัจจัยไม่ครบมันก็ไม่เกิด ที่เราอยากได้เพราะตาไปเห็น ใจคิดนึก เกิดความอยาก
ใจสั่งมือไปหยิบ
เพราะฉะนั้น ปัญหาที่เกิดจริงๆ เริ่มมาจาก ตาเห็นรูป (ผัสสะ) จิตปรุงแต่งเป็นความพอใจ
หรือเกิดโลภะ พอเราไม่ทัน ไมมีอะไรไปดับ มันก็สั่งให้เกิดพฤติกรรมในทางที่ไม่ดี การดับ เราก็ดับที่ตา คือเมื่อตาเห็นรูป
เราใช้สติปัญญหาที่เป็นสาสวะ คือ เห็นว่า สิ่งที่ตาเห็นเป็นเพียงวัตถุ เป็นธรรมชาติที่แตกสลาย ไม่มีตัวตนเป็นของคน
เป็นธรรมชาติที่ไม่เที่ยง เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวเท่านั้น ฯ หรือคิดในใจสั้นๆ แบบย่อๆ ว่า สิ่งที่เห็นเป็นสิ่งไม่เที่ยงฯ การลงความเห็นแบบนี้เมื่อตาเห็นรูป จิตมันจะไม่ปรุงแต่งออกมาเป็นความพอใจจนอยากได้ แต่จะเกิดวางเฉลยต่อสิ่งที่เห็น หรีอเราดับหรือไปขัดขวางกระบวนการเกิดความยาอกได้ทันทีที่มันเกิด หรือทุกข์เกิดที่ใหนเราดับมันที่นั่น เกิดที่ตาเราดับที่ตา
การดับแบบนี้ ดับที่เหตุ ดับที่เชื้อไฟ พฤติกรรมที่ดีจะเกิดตามมาโดยไม่ต้องไปบังคับให้เกิด หรือศีลเกิดกับบุคคลทันทีเพราะมีปัญญาเป็นเหตุปัจจัย ในทำนองเดียวกัน ทุกข์ที่เหลืออีก 5 ทาง เราก็ต้องใช้สติปัญญาไปปกระกบ ทำปัญญาให้เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หูได้ยินเสียง เสียงก็ไม่เที่ยง จมูกได้กลิ่น กลิ่นก็ไม่เที่ยง ลิ้นสัมผัสรส รสก็ไม่เที่ยง กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งตึงใหว สัมผัสก็ไม่เที่ยง ใจคิดนึก ความคิดก็ไม่เที่ยง ยังปัญญาให้เกิดขึ้นประกบกกับจิตทุกครั้งเมื่อจิตเกิดขึ้นมาเพื่อรับรูปอารมณ์ อุปมาปัญญาเหมืนรอยฝีเท้าที่เดินตามจิต พระสารีบุตรท่านได้กล่าวไว้เช่นนี้
เฉลย อริยสัจ 4 และ มรรค 8
คนเราเมื่อเกิดมาแล้วจะพบปัญหาสารพัด เมื่อเกิดมาแล้วไม่พ้นจะต้องพบปัญหา
การแก้ปัญหาถาวรก็คือ การหลุดออกจากวงจรเกิดแก่เจ็บตาย นอกจากนั้นเป็นการแก้ไขปัญหาขั่วคราวเท่านั้น
ในอริยสัจ 4 เฉลยว่า เพราะทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาเองทำให้เราต้องเกิดแก่เจ็บตาย ดับทุกข์ได้ก็ดับวงจรเกิดแก่เจ็บตายของเราเองได้
ทุกข์เกิดจากการที่เราหลงไปเพลิดเพลินปรุงแต่งในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความคิด (ตัณหา)
เราเราเท่าทันรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความคิด ที่เกิดขึ้นตรงตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วยปัญญาอันชอบหรือการรู้ตามความเป็นจริง
ตัณหาหรือทุกข์ก็ไม่เกิด ทุกข์เกิดที่ใหนทรงสอนให้ดับที่นั่น ทุกข์เกิดที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ
เราก็ต้องดับที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ เพราะนอกจาก 6 ทางนี้แล้ว ไม่มีทุกข์เกิดกับเรา
ถ้าปฏิบัติได้เป็นประจำ หรือใช้รู้จักใช้สติปัญญาในชีวิตประจำวัน เราก็จะถึงความดับทุกข์แบบถาวรได้ในที่สุด
ในชีวิตประจำวันของเรานั้น ปัญหาที่จะเกิดกับเรา เริ่มจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
และการปรุงแต่งของเรานี่เอง เช่น เสียงด่าเข้าหู จิตปรุงแต่งมีผลออกมาเป็นความโกรธ
หน้าดำหน้าแดงก็จะไปทำร้ายคนด่าเอาได้ ปัญหาในชีวิตก็เกิด หรือเราเจอคนไม่ชอบหน้า ไปว่าไปด่าเขา เขาผูกแค้น
สักวันก็หาทางเล่นงานเรา เป็นต้น
เรื่องใหญ่ๆ ที่เหลือมันก็จะตามมมาจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดกับเรา 6 ทางนี่แหละ
เหตุไม่เกิด ผลก็ไม่ตามมา การแก้ปัญหาในลักษณะนี้ แก้ปัญหาได้ทั้งเหตุการณ์เฉพาะหน้า
ไปถึงการแก้ปัญหาอย่างถาวร การยึดหลักของทางสายกลาง ตือ การยึดครรลองคลองธรรม
โดยธรรมชาติมีครรลองว่า ธรรมชาติทุกอย่างเกิดด้วยเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว ไม่มีการบังเอิญ
ไม่มีใครเนรมิต เหตุตรงผล พระพุทธองค์ตรัสว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ ปกติทรงแสดงเหตุการเกิดและการดับของธรรมนั้นๆ
การยึดทางสายกลาง ก็คือยึดหลักความเป็นจริงของธรรมชาติ อยากได้ผลอะไรก้ไปทำเหตุที่ถูกต้องตามความเป็นจริง
ไม่เป็นการฝืนธรรมชาติ
ในมรรคมีองค์ 8 ทรงแสดงไว้ว่า เพราะความไม่รู้จักธรรมชาติตามความเป็นจริง
ประกอบกับความไม่ละอายเกรงกลัวต่อบาป ทำให้ความเห็นผิดเกิดขึ้นในบุคคลนั้นๆ
(หรือความเห็นผิดของคนเกิดมาจากการได้เรียนรู้ในสิ่งที่ผิดไปจากความเป็นจริง)
เมื่อบุคคลเกิดความเห็นผิด ความคิดผิดก็จะตามมมา เพราะความเห็นนั้นเป็นเหตุปัจจัยของความคิด
เมื่อคิดผิดก็จะพูดผิด เมื่อพูดผิดก็จะทำผิด หรือพฤติกรรมของคนเราเกิดมาจากความคิด มีความคิดเป็นเหตุปัจจัย
เมื่อเกิดพฤติกรรมผิด การดำเนินชีวิตหรือการดิ้นรนเพื่ออยู่รอดก็จะไปในทางที่ผิด ความพยายามที่เกิดก็จะผิดตามมา
การระลึกและความตั้งใจทำอะไรก็จะผิด
ทั้งนี้จะเป็นว่า เพราะความไม่รู้เป็นต้นตอในทางตรงกันข้าม ถ้าบุคคลได้เรียนรู้จักธรรมชาติตามความเป็นจริง หรือรู้กฏธรรมชาติ 2 กฏ ความละอายเกรงกลัวต่อบาปก็จะเกิดตามมา ความเห็นที่เกิดกับบุคคลนั้นก็จะกลายเป็นความเห็นชอบ หรือเห็นถูกตามความเป็นจริง
เช่นเห็นว่าธรรมชาติประกอบด้วยเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว มีลักษณะเกื้อกูลกันให้เกิด
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆ ไม่มีคำว่าบังเอิญในธรรมชาติ อะไรเกิดขึ้นมาก็ต้องดับ ไม่มีอะไรอยู่ได้อย่างถาวร
ยกเว้นสภาวะนิพพาน ฯ เมื่อเห็นอย่างนี้ ความคิดที่เกิดขึ้นกับบุคคลก็จะเป็นความคิดที่ถูก
ไม่ไปทำเหตุที่จะเกิดความเสียหายในภาคหน้า ทำแต่เหตุที่จะเกิดสิ่งที่ดีตามมมา หรือกลายเป็นคนรู้เหตุรู้ผล
เมื่อคิดดี ก็จะพูดดี เมื่อพูดดีก็จะทำดี เมื่อทำดีก็จะดำเนินชีวิตในทางที่ดี เมื่อใช้ชีวิตดี ก็จะพยายามทำในสิ่งที่ดี ระลึกในสิ่งที่ดี
ความตั้งใจมั่นที่เกิดก็จะเป็นเรื่องที่ดี ในมรรค 8 จึงทรงแสดงว่า มีความเห็นป็นประธาน เมื่อความเห็นชี้ไปทางใดทางหนึ่ง
องค์มรรคที่เหลือก็จะไปตามทิศทางนั้น หรือกล่าวกลับกันว่า ในมรรค 8 สมาธิมีองคฺมรรคที่เหลือเป็นบริขารหรือบริวาร
แปลว่า สมาธิหรือความตั้งใจมั่นของบุคคลมีองค์มรรที่เหลือเป็นเหตุที่มาประชุมกัน (ซึ่งหลายคนไปแปลผิดว่า
ทำสมาธิแล้วมรรที่เหลือจะเกิด ซึ่งไม่ถูกตามกฏธรรมชาติ บางคนบอกให้ไปทำมรรคที่ละองค์แล้วเอามาประกอบกันได้ได้เป็นสัมมาสมาธิ)
มรรค 8 ก็คือ ครรลองของพฤติกรรมมนุษย์นี่เอง หรือเฉลยเบื้องหลังพฤติกรรมของมนุษย์ เพราะฉะนั้น
การที่เราจะฝึกคนให้เป็นคนดี เราต้องไปทำที่เหตุของการทำให้คนเป็นคนดี เพราะการที่บุคคลจะเป็นคนดี มันเป็นผล เราสั่งให้ผลเกิดไม่ได้ หรือสั่งคนให้เป็นคนดีไม่ได้ สั่งคนไปถือศีลหวังจะให้คนเป็นคนดีก็ไม่ได้ หรือแท้จริงแล้วศีลชำระคนให้บิสุทธิ์ไม่ได้
หรือคนบริสุทธิ์ไม่ได้ด้วยศีล การสั่งคนไปถือศีลแล้วหวังว่าจะให้คนเป็นคนดีจึงเป็นความเห็นผิด ถือเป็นศีลปตปรมารส
ต้องให้บุคคลนั้นๆ ไปทำที่เหตุที่ถูกต้อง เริ่มตั้งแต่ ทำให้เจ้าตัวเกิดสัมมาทิฏฐิให้ได้ก่อน ซึ่งสัมมาทิฏฐิ
หรือความเห็นชอบนั้นก็ไม่ได้เกิดมาลอยๆ เหตุของมันก็คือ การได้เรียนรู้ในสิ่งที่ถูกต้อง ถูกจริงๆ ตรงตามความเป็นจริงของธรรมชาติ
เมื่อได้เรียนถูกแล้ว ความเห็นถูกจึงจะเกิดตามมา สิ่งที่เหลือก็จะตามมาเองตามเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นศีล หรือความสงบสุขของจิตใจ
ความเห็นชอบของคนเรานั้นยังแบ่งออกได้เป็น 2 ระดับ คือ
แบบโลกียะ กับแบบโลกุตระ (หรืออนาสวะ และ สาสวะ)
แบบอนาสวะคือ เห็นว่า 1. ทานที่ให้แล้วมีผลจริง 2. ยัญที่ทำแล้วมีผลจริง 3. การเซ่นสรวงหรือการบูชามีผลจริง 4. วิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีผลจริง 5. โลกนี้มีจริง 6. โลกหน้ามีจริง 7. มารดามีคุณจริง 8. บิดามีคุณจริง 9. สัตว์ที่ผุดเกิดขึ้นมีจริง 10. พระอรหันต์ผู้ สามารถรู้แจ้งโลกนี้โลกหน้ามีอยู่จริง
แบบสาสวะ คือ เห็นว่า ธรรมชาติทั้งหมด มีลักษณะเหมือนกัน 3 ประการ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เพราะเกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว ไม่มีอะไรยั่งยืนถาวร ปกติแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาจากสิ่งใด เห็นว่าเพราะทุกข์ที่เราสร้างขี้นมาเองทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเป็นเหตุปัจจัยของทุกข์ที่เกิดตามมาทั้งหมด ดับทุกข์ที่เกิดทางตาหูจมูกลิ้นกายใจของเราเองได้ก็ดับทุกขฺที่เกิดกับเราอย่างถาวรได้ ... เป็นความรู้ที่เอาไปดับทุกข์ได้ถาวร
การฝึก ก็คือ การใช้สติปัญญาในชีวิตประจำวัน หรือระลึกถึงความเป็นจริงประกบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า (ปัจจุบันขณะ) เมื่อเราระลึกถึงความจริง ความเห็นหรือการปรุงแต่งจะไม่เกิดกับเรา เพราะมันเกิดพร้อมกันไม่ได้ การที่เราจะเกิดปัญญาได้ เราต้องเรียนมาก่อน เรียนถูก ให้ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ความรู้ที่เอามาดับความเห็นหรือดับการปรุงแต่งได้ สติถึงจะระลึกเอาความจริงมาให้เรารับรู้ได้
ถ้าเราเห็นทรัพย์ที่มีเจ้าของ อยากได้ อยากโขมย การระลึกถึงความจริงที่ยังเป็นอนาสวะอยู่ จะระงับให้เราไม่กลายเป็นโขมยได้ แต่ถ้าอยากได้มากๆ ความอยาก็เอาชนะได้ ถึงรู้ว่าผิดก็ยังทำ ที่มันเป็นเช่นนั้น ก็เพราะการปรุงแต่งมีอิทธิพลต่อจิตใจของเรามาก เราต้านทานมันไม่ได้ง่ายๆ คนธรรมดาจะต้านทานได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ การดับด้วยความรู้ระดับนี้ จึงเป็นการดับที่ปลายเหตุ ดับได้บ้างไม่ได้บ้าง หรือทำให้คนเป็นคนดีได้ชั่วคราว เพราะความอยากได้เกิดขึ้นมาแล้ว การเอาศีลไปไล่ดับ ก็เหมือนการเอาน้ำไปดับไฟที่ลุกโพรง
ถ้าจะให้ความอยากไม่เกิดจนแสดงอาการเห็นสิ่งมีค่าแล้วไม่เกิดความอยากได้เลย ต้องไปดับที่เหตุ หรือไปดับเชื้อไฟ หรือดับความอยากที่เหตุ เมื่อความอยากได้ไม่เกิด ก็ไม่มีอะไรไปสั่งให้มือไปหยิบฉวยเป็นเกิดจนเป็นโขมยขึ้นมาได้เลย
ความอยากมันก็ต้องมีเหตุปัจจัยมาประชุมกัน เหตุปัจจัยไม่ครบมันก็ไม่เกิด ที่เราอยากได้เพราะตาไปเห็น ใจคิดนึก เกิดความอยาก
ใจสั่งมือไปหยิบ
เพราะฉะนั้น ปัญหาที่เกิดจริงๆ เริ่มมาจาก ตาเห็นรูป (ผัสสะ) จิตปรุงแต่งเป็นความพอใจ
หรือเกิดโลภะ พอเราไม่ทัน ไมมีอะไรไปดับ มันก็สั่งให้เกิดพฤติกรรมในทางที่ไม่ดี การดับ เราก็ดับที่ตา คือเมื่อตาเห็นรูป
เราใช้สติปัญญหาที่เป็นสาสวะ คือ เห็นว่า สิ่งที่ตาเห็นเป็นเพียงวัตถุ เป็นธรรมชาติที่แตกสลาย ไม่มีตัวตนเป็นของคน
เป็นธรรมชาติที่ไม่เที่ยง เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวเท่านั้น ฯ หรือคิดในใจสั้นๆ แบบย่อๆ ว่า สิ่งที่เห็นเป็นสิ่งไม่เที่ยงฯ การลงความเห็นแบบนี้เมื่อตาเห็นรูป จิตมันจะไม่ปรุงแต่งออกมาเป็นความพอใจจนอยากได้ แต่จะเกิดวางเฉลยต่อสิ่งที่เห็น หรีอเราดับหรือไปขัดขวางกระบวนการเกิดความยาอกได้ทันทีที่มันเกิด หรือทุกข์เกิดที่ใหนเราดับมันที่นั่น เกิดที่ตาเราดับที่ตา
การดับแบบนี้ ดับที่เหตุ ดับที่เชื้อไฟ พฤติกรรมที่ดีจะเกิดตามมาโดยไม่ต้องไปบังคับให้เกิด หรือศีลเกิดกับบุคคลทันทีเพราะมีปัญญาเป็นเหตุปัจจัย ในทำนองเดียวกัน ทุกข์ที่เหลืออีก 5 ทาง เราก็ต้องใช้สติปัญญาไปปกระกบ ทำปัญญาให้เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หูได้ยินเสียง เสียงก็ไม่เที่ยง จมูกได้กลิ่น กลิ่นก็ไม่เที่ยง ลิ้นสัมผัสรส รสก็ไม่เที่ยง กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งตึงใหว สัมผัสก็ไม่เที่ยง ใจคิดนึก ความคิดก็ไม่เที่ยง ยังปัญญาให้เกิดขึ้นประกบกกับจิตทุกครั้งเมื่อจิตเกิดขึ้นมาเพื่อรับรูปอารมณ์ อุปมาปัญญาเหมืนรอยฝีเท้าที่เดินตามจิต พระสารีบุตรท่านได้กล่าวไว้เช่นนี้