การพิสูจน์ตามหลักพุทธศาสนาต้องเห็นผลในทันที ไม่ใช่ต้องรอเห็นผลต่อเมื่อตายแล้ว

ที่บอกว่า พุทธศาสนากล้าท้าให้มาพิสูจน์ นั้น หมายความว่า ไม่กลัวการพิสูจน์ ไม่กลัวว่าจะผิด ไม่กลัวว่าจมีใครคัดค้านหรือหักล้างได้ เพราะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริงที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้จริงในปัจจุบัน

เรื่องที่กล้าท้าให้มาพิสูจน์นั้นก็คือ คำสอนเรื่องการดับทุกข์ ที่กล้าท้าให้ผู้ที่ไม่เชื่อมาพิสูจน์ (หรือทดลองปฏิบัติ) ซึ่งเมื่อพิสูจน์เมื่อใด ความทุกข์ก็จะดับลง (นิพพาน) ทันทีเมื่อนั้น (แม้เพียงชั่วคราว) ไม่ใช่พิสูจน์หรือปฏิบัติวันนี้หรือในชาตินี้ แล้วจะเห็นผลเอาในวันหน้าหรือในชาติหน้าเมื่อตายไปแล้ว ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า  

ส่วนเรื่องการพิสูจน์นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า รวมทั้งเรื่องเวรกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาตินั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่สอน (รวมทั้งเป็นเรื่องอจินไตย คือไม่ควรสนใจ) เพราะไม่ได้ช่วยให้เกิดปัญญาเพื่อนำมาใช้ดับทุกข์เลย ถ้าใครมัวมาพิสูจน์ก็จะเสียเวลาเปล่า

สรุปได้ว่า การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นก็คือ การพิสูจน์ว่า หลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้านี้ใช้ดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันได้จริงหรือไม่? ถ้าพิสูจน์ (ทดลองปฏิบัติ) แล้วความทุกข์ไม่ดับลงจริงก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าพิสูจน์แล้วความทุกข์ได้ดับลงจริง (แม้เพียงชั่วคาว) ก็ให้นำมาปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป ส่วนคำสอนที่ว่าให้พิสูจน์วันนี้แล้วไปรู้ผลเอาในวันอื่นหรือในชาติต่อๆไปนั้น ไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า และรวมทั้งคำสอนเรื่องเวรกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติ รวมทั้งความเชื่อเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เป็นต้น ซึ่งเป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ที่ปลอมปนเข้ามาในภายหลังนั้นยิ่งห่างไกลจากคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เพราะไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ในปัจจุบัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่