นมัสการถามท่านว่า สิ่งที่เป็นนิจจัง (เที่ยง) สุขัง (ไม่ทุกข์) อัตตา (ตัวตนที่แท้จริง)
ที่ท่านว่ามา มันมีอยู่มั้ยครับ ?
อิ อิ อิ
ตอบกลับ
สมาชิกหมายเลข 2171013
http://pantip.com/topic/34383503
************************************
การศึกษาพุทธศาสนามีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ ดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน และการศึกษาก็ศึกษาจากตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจของเรานี่เอง โดยสรุปแล้วก็คือศึกษาจากขันธ์ ๕ หรือร่างกายกับจิตใจของเราเองในปัจจุบันนี่เอง
และเมื่อศึกษาขันธ์ ๕ แล้วก็พบว่า ไม่มีขันธ์ใดเที่ยง (นิจจัง) ไม่มีสภาวะที่ต้องทน (สุขัง) และเป็นตัวตนของตนเอง (อัตตา) เลย ซึ่งนี่ก็ทำให้เกิดความเห็นแจ้งว่า มันไม่มีตัวเราอยู่ในจริงเลยในขันธ์ ๕ นี้ (เห็นสุญญตา) แล้วก็ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่า มันไม่มีตัวเรา (อัตตา) มาเกิด ไม่มีตัวเราที่กำลังเป็นอยู่ และไม่มีเราตาย มีแต่สิ่งปรุงแต่ง (สังขารธรรม) ที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆมากมายมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเพี่ยงชั่วคราวเท่านั้น
ดังนั้นเรื่องการที่จะมีอะไรจากขันธ์ ๕ ที่จะออกไปเกิดใหม่หลังร่างกายตายได้ หรือมีอะไรที่จะเป็นเหตุส่งออกไปให้เกิดตัวเราขึ้นมาใหม่ได้ นี่เองที่ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่า เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทางร่างกาย และเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า รวมทั้งเรื่องกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติเป็นต้นนั้น ไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นไปได้เลย หรือไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
และเมื่อเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธฑเจ้า แต่กลับมีอยู่ในตำราของพุทธศาสนา ก็เท่ากับว่าคำสอนนี้เป็นคำสอนที่ปลอมปนเข้ามาในภายหลัง และมันก็คล้ายกับคำสอนของศาสนาพราหมณ์ จึงสรุปได้ว่าเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทางร่างกาย และเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า รวมทั้งเรื่องกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติเป็นต้นที่มีอยู่ในพุทธศาสนานั้น เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ที่ปลอมปนเข้ามาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว
นมัสการถามท่านว่า สิ่งที่เป็นนิจจัง (เที่ยง) สุขัง (ไม่ทุกข์) อัตตา (ตัวตนที่แท้จริง) ที่ท่านว่ามา มันมีอยู่มั้ยครับ ?
ที่ท่านว่ามา มันมีอยู่มั้ยครับ ?
อิ อิ อิ
ตอบกลับ
สมาชิกหมายเลข 2171013
http://pantip.com/topic/34383503
************************************
การศึกษาพุทธศาสนามีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ ดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน และการศึกษาก็ศึกษาจากตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจของเรานี่เอง โดยสรุปแล้วก็คือศึกษาจากขันธ์ ๕ หรือร่างกายกับจิตใจของเราเองในปัจจุบันนี่เอง
และเมื่อศึกษาขันธ์ ๕ แล้วก็พบว่า ไม่มีขันธ์ใดเที่ยง (นิจจัง) ไม่มีสภาวะที่ต้องทน (สุขัง) และเป็นตัวตนของตนเอง (อัตตา) เลย ซึ่งนี่ก็ทำให้เกิดความเห็นแจ้งว่า มันไม่มีตัวเราอยู่ในจริงเลยในขันธ์ ๕ นี้ (เห็นสุญญตา) แล้วก็ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่า มันไม่มีตัวเรา (อัตตา) มาเกิด ไม่มีตัวเราที่กำลังเป็นอยู่ และไม่มีเราตาย มีแต่สิ่งปรุงแต่ง (สังขารธรรม) ที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆมากมายมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเพี่ยงชั่วคราวเท่านั้น
ดังนั้นเรื่องการที่จะมีอะไรจากขันธ์ ๕ ที่จะออกไปเกิดใหม่หลังร่างกายตายได้ หรือมีอะไรที่จะเป็นเหตุส่งออกไปให้เกิดตัวเราขึ้นมาใหม่ได้ นี่เองที่ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่า เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทางร่างกาย และเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า รวมทั้งเรื่องกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติเป็นต้นนั้น ไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นไปได้เลย หรือไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
และเมื่อเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธฑเจ้า แต่กลับมีอยู่ในตำราของพุทธศาสนา ก็เท่ากับว่าคำสอนนี้เป็นคำสอนที่ปลอมปนเข้ามาในภายหลัง และมันก็คล้ายกับคำสอนของศาสนาพราหมณ์ จึงสรุปได้ว่าเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทางร่างกาย และเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า รวมทั้งเรื่องกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติเป็นต้นที่มีอยู่ในพุทธศาสนานั้น เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ที่ปลอมปนเข้ามาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว