สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
ตอบคุณ Terawat
ปกติ กรรมฐานที่ผมปฏิบัติมาเป็นส่วนมาก คือ
การเจริญสติปัฏฐาน ๔ โดยใช้อารมณ์พองยุบเป็นอารมณ์หลัก
ตามแนวทางของท่านมหาสีสยาดอร์(ประเทศพม่า)
หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า สายพองหนอยุบหนอ น่ะครับ
ถ้าเทียบเคียง กับมหาสติปัฏฐานสูตรนั้น
การกำหนดรู้พองยุบ ก็เทียบได้กับ กายานุสติปัฏฐาน หมวด ธาตุ ๔ โดยตรง
หรือ เทียบได้กับ อานาปาณสติ โดยอ้อม
ในขณะที่กำหนดรู้พองยุบนั้น อารมณ์หลักได้แก่ วาโยธาตุ หรือ วาโยโผฏฐัพพธาตุ
คือ ธาตุลมโดยปรมัตถ์ อันได้แก่ ความเคร่งตึงไหวหย่อน ที่กระทบปสาทสัมผัสที่หน้าท้อง
คำบริกรรมที่กำหนดในใจว่า พองหนอ ยุบหนอ เป็น ตัชชาบัญญัติ ที่ช่วยเป็นปัจจัย
ให้จิตและสติแนบแน่นกับอารมณ์ที่กำหนดรู้ในขณะนั้น
กรรมฐานพองหนอยุบหนอ ถือว่าเป็นการเจริญวิปัสสนากรรมฐานที่เป็นสายวิปัสสนายานิกะ
ไม่ได้มุ่งให้ถึงปฐมฌานก่อนยกขึ้นสู่วิปัสสนา ดังนั้นบางท่านที่มีอัธยาสัยในทางสมถยานิกะ
คือต้องให้ถึงฌานก่อนจึงจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา (หรือที่เรียกว่า ต้องจิตรวมก่อนจึงจะเดินปัญญา)
จึงอาจจะไม่ถูกจริตกับการปฏิบัติเช่นนี้
แต่อย่างไรก็ตามการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น ก็ต้องอาศัยกำลังสมาธิในระดับหนึ่ง
และเพราะไม่ใช่ของง่ายๆที่จะยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ ดังนั้นท่านจึงต้องให้มีคำบริกรรม
ในการกำหนดรู้แต่ละอารมณ์ เพื่อให้จิตมีสมาธินทรีย์ที่เข้มแข็งขึ้นในขณิกสมาธิแต่ละขณะ
และเมื่อขณิกสมาธิเจริญต่อเนื่องกันไปไม่ขาดสาย ในแต่ละอารมณ์รูปนามขันธ์ ๕ ที่กำหนดรู้
ความต่อเนื่องเช่นนี้ จัดว่าเป็น อุปจารสมาธิโดยอนุโลม
และเป็นจิตตวิสุทธิ ของวิปัสสนายานิกะ
กรรมฐานที่เรียกว่า แนวพองยุบนั้น
นอกจากการนั่งขัดสมาธิคู้บัลลังก์กำหนดรู้ในพองยุบแล้ว
ยังมีการเดินจงกรม และการกำหนดรู้อิริยาบทย่อยต่างๆตลอดทั้งวัน
ทั้งการกินดื่ม ลุกนั่ง เหยียดคู้ ตลอดจนถึง การขับถ่าย จะต้องมี
การกำหนดรู้ไปตลอดทั้งวัน
ซึ่งกรรมฐานนี้ ปกติจะถือว่าหนักมาก และต้องหาเวลาว่าง
เช่น ๗ วัน ๑๔ วัน ไปอยู่ในสถานที่สัปปายะ มีครูบาอาจารย์ดูแล
จึงจะทำได้ต่อเนื่องตลอด ๒๔ ชั่วโมง หักเวลาที่หลับออกไป
ที่เหลือคือต้องกำหนดรู้ตลอดเวลา ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงหลับ
ปกติ กรรมฐานที่ผมปฏิบัติมาเป็นส่วนมาก คือ
การเจริญสติปัฏฐาน ๔ โดยใช้อารมณ์พองยุบเป็นอารมณ์หลัก
ตามแนวทางของท่านมหาสีสยาดอร์(ประเทศพม่า)
หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า สายพองหนอยุบหนอ น่ะครับ
ถ้าเทียบเคียง กับมหาสติปัฏฐานสูตรนั้น
การกำหนดรู้พองยุบ ก็เทียบได้กับ กายานุสติปัฏฐาน หมวด ธาตุ ๔ โดยตรง
หรือ เทียบได้กับ อานาปาณสติ โดยอ้อม
ในขณะที่กำหนดรู้พองยุบนั้น อารมณ์หลักได้แก่ วาโยธาตุ หรือ วาโยโผฏฐัพพธาตุ
คือ ธาตุลมโดยปรมัตถ์ อันได้แก่ ความเคร่งตึงไหวหย่อน ที่กระทบปสาทสัมผัสที่หน้าท้อง
คำบริกรรมที่กำหนดในใจว่า พองหนอ ยุบหนอ เป็น ตัชชาบัญญัติ ที่ช่วยเป็นปัจจัย
ให้จิตและสติแนบแน่นกับอารมณ์ที่กำหนดรู้ในขณะนั้น
กรรมฐานพองหนอยุบหนอ ถือว่าเป็นการเจริญวิปัสสนากรรมฐานที่เป็นสายวิปัสสนายานิกะ
ไม่ได้มุ่งให้ถึงปฐมฌานก่อนยกขึ้นสู่วิปัสสนา ดังนั้นบางท่านที่มีอัธยาสัยในทางสมถยานิกะ
คือต้องให้ถึงฌานก่อนจึงจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา (หรือที่เรียกว่า ต้องจิตรวมก่อนจึงจะเดินปัญญา)
จึงอาจจะไม่ถูกจริตกับการปฏิบัติเช่นนี้
แต่อย่างไรก็ตามการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น ก็ต้องอาศัยกำลังสมาธิในระดับหนึ่ง
และเพราะไม่ใช่ของง่ายๆที่จะยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ ดังนั้นท่านจึงต้องให้มีคำบริกรรม
ในการกำหนดรู้แต่ละอารมณ์ เพื่อให้จิตมีสมาธินทรีย์ที่เข้มแข็งขึ้นในขณิกสมาธิแต่ละขณะ
และเมื่อขณิกสมาธิเจริญต่อเนื่องกันไปไม่ขาดสาย ในแต่ละอารมณ์รูปนามขันธ์ ๕ ที่กำหนดรู้
ความต่อเนื่องเช่นนี้ จัดว่าเป็น อุปจารสมาธิโดยอนุโลม
และเป็นจิตตวิสุทธิ ของวิปัสสนายานิกะ
กรรมฐานที่เรียกว่า แนวพองยุบนั้น
นอกจากการนั่งขัดสมาธิคู้บัลลังก์กำหนดรู้ในพองยุบแล้ว
ยังมีการเดินจงกรม และการกำหนดรู้อิริยาบทย่อยต่างๆตลอดทั้งวัน
ทั้งการกินดื่ม ลุกนั่ง เหยียดคู้ ตลอดจนถึง การขับถ่าย จะต้องมี
การกำหนดรู้ไปตลอดทั้งวัน
ซึ่งกรรมฐานนี้ ปกติจะถือว่าหนักมาก และต้องหาเวลาว่าง
เช่น ๗ วัน ๑๔ วัน ไปอยู่ในสถานที่สัปปายะ มีครูบาอาจารย์ดูแล
จึงจะทำได้ต่อเนื่องตลอด ๒๔ ชั่วโมง หักเวลาที่หลับออกไป
ที่เหลือคือต้องกำหนดรู้ตลอดเวลา ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงหลับ
ความคิดเห็นที่ 5
(เลิกใช้ชื่อ โขตาน ไปแล้ว ..มาใช้ชื่อ ศิษย์พระป่า แบบเดิมอีก)
--------------------------------------------------------------------------
- ครั้งแรก ตอนอายุ ๑๔ ไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อนเลย ทดลองฝึกแบบ กำหนดนับลมหายใจ เป็นคาบๆ (แบบคณนา) กำหนดไปเล่นๆ ไม่กี่นาที จิตรวมลงเต็มที่สว่างไสวสุดๆ เจอความปีติ สุข ที่มหัศจรรย์มากๆ หาคำบรรยายเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ ไม่รู้ว่ารวมไปนานเท่าไหร่ ..ก็คงจะหลายชั่วโมง จากหัวค่ำจนเที่ยงคืน แต่รู้สึกเหมือนรวมไปแค่ ๒-๓ นาที แค่นั้น..
เมื่อเจอประสบการณ์ครั้งนั้น ก็เลยสงสัยว่าคืออะไร แล้วจะฝึกยังไงต่อ ....แต่ยุคนั้น เป็นปี พ.ศ. ๒๕๑๒ หนังสือธรรมะต่างๆยังแทบไม่มี (หนังสือจากสายวัดป่าของหลวงปู่มั่น ยังไม่มีออกมาสักเล่ม ในตอนนั้น) หนังสือเผยแพร่การฝึกภาวนาในยุคนั้น มีออกมาเพียงสำนักเดียว คือจากสำนักวัดมหาธาตุฯ ที่สอนวิธีกำหนดอิริยาบถ (เช่น ยุบหนอ พองหนอ อะไรต่างๆ นั่นแหละ) แค่นั้น..ส่วนของท่านพุทธทาสก็เริ่มออกหนังสือบ้าง เช่น คู่มือมนุษย์ และ ตามรอยพระอรหันต์ แค่นั้น ซึ่งไม่ได้สอนการฝึกภาวนาอย่างเป็นรูปแบบ เพียงแต่บอกว่าให้ทำใจปล่อยวาง ความรู้สึกเป็นอัตตาตัวตน ตัวกุของกุ เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้บอกว่า ต้องฝึกยังไงจึงจะปล่อยวางได้ ..
- ต่อจากนั้น ก็เลยทดลองฝึกแบบที่ท่านพุทธทาสแนะนำ ตามในหนังสือของท่าน ..แต่เพราะไม่มีวิธีฝึกที่ชัดเจน จึงพยายามทำแบบ มองอะไรทุกๆอย่างรอบตัว ว่าปราศจากตัวตนไปหมด จนจิตเบลอ รู้สึกว่าจะมีแนวคิดเพี้ยนๆ มองสังคมมนุษย์ขัดไปหมด เหมือนสิ่งหลอกลวง แต่สังเกตลึกๆว่า ยังแก้ทุกข์ในใจไม่ได้จริงๆ และไม่อาจจะทำให้จิตรวมได้เลย ... จึงเลิก ไปทดลองฝึกแบบวัดมหาธาตุ
- ก็มาทดลองฝึกแบบกำหนดอิริยาบถ ตามแนววัดมหาธาตุ คือ กำหนดรู้ทันอิริยาบถ กำหนด หนอๆๆ..ไว้ตลอด จนได้สติที่ดี ไว ตามทันอิริยาบถต่างๆได้หมดทั่วร่างกาย แม้การกระพริบตาก็รู้ทันไปหมด ... ก็ทดลองฝึกแบบวิธีนี้ไปนานพอควร แบบเอาจริงเอาจัง เต็มที่ ....ผลคือ แม้จะได้สติมาอย่าง ไว ดี ก็ตาม แต่ไม่อาจจะทำให้จิตรวมได้ เหมือนกับว่า การฝึกวิธีนี้ จะมีอะไรบางอย่างมาขวางอยู่ลึกๆ จะพยายามยังไง จิตก็รวมลงอัปปนาไม่ได้สักที (อยากให้ได้เหมือนตอนครั้งแรกเมื่ออายุ ๑๔ หรือลงลึกยิ่งกว่านั้น) ... จึงเลิกฝึกวิธีนี้
- ต่อมา เมื่อขึ้นมาเรียนที่กรุงเทพ อายุย่าง ๑๙ จึงได้ไปมั่วกับสำนักธรรมโกยที่คลองสาม นั่นแหละ ตอนนั้นหลวงพี่ไชยบูลย์ ธัมมชโย เพิ่งบวชได้ ๕ พรรษา หลวงพี่เผด็จ ทัตตชีโว เพิ่งได้ ๒ พรรษา ก็เลยทดลองฝึกแบบธรรมกาย ฝึกจนเห็นนิมิตลูกแก้ว เป็นนิมิตติดตา ชัดเจน ทั้งลืมตา ทั้งหลับตา แม้ขณะลืมตาก็เห็นลูกแก้วชัดแจ๋ว ยิ่งกว่าเห็นด้วยตาแบบปกติที่คนเราเห็นๆกันในชีวิตประจำวัน ....แต่เพราะว่า ในช่วงนั้น ได้อ่านหนังสือธรรมะต่างๆมามากมายพอควรแล้ว ร่วม ๕ ปี (นับตั้งแต่อายุ ๑๔ เป็นต้นมา) จึงแน่ใจว่าวิธีการของพวกธรรมกายสอนผิด นิมิตลูกแก้วหรือนิมิตองค์พระพุทธรูป ที่พวกสำนักนี้ฝึก ล้วนแต่เป็นภาพนิมิตที่จิตตนเองกำหนดปรุงแต่งสร้างขึ้นเองทั้งนั้น ไม่ใช่ธรรมะลึกซึ้งอะไรเลย และถ้าสังเกตใจตนเอง ก็เห็นชัดว่า กิเลสในใจยังอยู่ครบ โดยที่ภาพนิมิตต่างๆเหล่านั้นไม่อาจจะช่วยอะไรได้เลย .... จึงเลิกฝึกวิธีนี้
- ตอนนั้น(ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๕/๒๕๑๖) หนังสือ "ประวัติหลวงปู่มั่น" ที่เขียนโดยหลวงตามหาบัว เริ่มออกมา และหนังสือสอนหลักอุบายวิธีภาวนาของหลวงปู่เทสก์ ก็เริ่มออกมา ...เมื่อได้อ่านข้อเขียนบทความของหลวงปู่ทั้งสองท่านนี้ เกิดความอัศจรรย์ใจมากๆ เพราะข้อความของท่าน ตรงกับอาการของจิตของเรา ที่เคยเจอมาตอนได้จิตรวมครั้งแรกเมื่ออายุ ๑๔ และอาการอื่นๆที่ตามมาหลังจากนั้น... เสมือนท่านไปนั่งในจิตของเรา รู้ใจเราหมด แล้วตีแผ่ออกมาหมดเปลือก และตรวจสอบคำสอนต่างๆของพวกท่าน ก็ไม่เห็นมีอะไรขัดแย้งกับในตำรา ท่านสอนตรงกับหลักสติปัฏฐาน ๔ ในตำราตรงเป๊ะ ... จึงแน่ใจในวิธีการฝึกแบบสายวัดป่าของหลวงปู่มั่น ก็เลยเริ่มฝึกไปตามนั้น คือ ฝึกท่อง
--------------------------------------------------------------------------
- ครั้งแรก ตอนอายุ ๑๔ ไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อนเลย ทดลองฝึกแบบ กำหนดนับลมหายใจ เป็นคาบๆ (แบบคณนา) กำหนดไปเล่นๆ ไม่กี่นาที จิตรวมลงเต็มที่สว่างไสวสุดๆ เจอความปีติ สุข ที่มหัศจรรย์มากๆ หาคำบรรยายเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ ไม่รู้ว่ารวมไปนานเท่าไหร่ ..ก็คงจะหลายชั่วโมง จากหัวค่ำจนเที่ยงคืน แต่รู้สึกเหมือนรวมไปแค่ ๒-๓ นาที แค่นั้น..
เมื่อเจอประสบการณ์ครั้งนั้น ก็เลยสงสัยว่าคืออะไร แล้วจะฝึกยังไงต่อ ....แต่ยุคนั้น เป็นปี พ.ศ. ๒๕๑๒ หนังสือธรรมะต่างๆยังแทบไม่มี (หนังสือจากสายวัดป่าของหลวงปู่มั่น ยังไม่มีออกมาสักเล่ม ในตอนนั้น) หนังสือเผยแพร่การฝึกภาวนาในยุคนั้น มีออกมาเพียงสำนักเดียว คือจากสำนักวัดมหาธาตุฯ ที่สอนวิธีกำหนดอิริยาบถ (เช่น ยุบหนอ พองหนอ อะไรต่างๆ นั่นแหละ) แค่นั้น..ส่วนของท่านพุทธทาสก็เริ่มออกหนังสือบ้าง เช่น คู่มือมนุษย์ และ ตามรอยพระอรหันต์ แค่นั้น ซึ่งไม่ได้สอนการฝึกภาวนาอย่างเป็นรูปแบบ เพียงแต่บอกว่าให้ทำใจปล่อยวาง ความรู้สึกเป็นอัตตาตัวตน ตัวกุของกุ เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้บอกว่า ต้องฝึกยังไงจึงจะปล่อยวางได้ ..
- ต่อจากนั้น ก็เลยทดลองฝึกแบบที่ท่านพุทธทาสแนะนำ ตามในหนังสือของท่าน ..แต่เพราะไม่มีวิธีฝึกที่ชัดเจน จึงพยายามทำแบบ มองอะไรทุกๆอย่างรอบตัว ว่าปราศจากตัวตนไปหมด จนจิตเบลอ รู้สึกว่าจะมีแนวคิดเพี้ยนๆ มองสังคมมนุษย์ขัดไปหมด เหมือนสิ่งหลอกลวง แต่สังเกตลึกๆว่า ยังแก้ทุกข์ในใจไม่ได้จริงๆ และไม่อาจจะทำให้จิตรวมได้เลย ... จึงเลิก ไปทดลองฝึกแบบวัดมหาธาตุ
- ก็มาทดลองฝึกแบบกำหนดอิริยาบถ ตามแนววัดมหาธาตุ คือ กำหนดรู้ทันอิริยาบถ กำหนด หนอๆๆ..ไว้ตลอด จนได้สติที่ดี ไว ตามทันอิริยาบถต่างๆได้หมดทั่วร่างกาย แม้การกระพริบตาก็รู้ทันไปหมด ... ก็ทดลองฝึกแบบวิธีนี้ไปนานพอควร แบบเอาจริงเอาจัง เต็มที่ ....ผลคือ แม้จะได้สติมาอย่าง ไว ดี ก็ตาม แต่ไม่อาจจะทำให้จิตรวมได้ เหมือนกับว่า การฝึกวิธีนี้ จะมีอะไรบางอย่างมาขวางอยู่ลึกๆ จะพยายามยังไง จิตก็รวมลงอัปปนาไม่ได้สักที (อยากให้ได้เหมือนตอนครั้งแรกเมื่ออายุ ๑๔ หรือลงลึกยิ่งกว่านั้น) ... จึงเลิกฝึกวิธีนี้
- ต่อมา เมื่อขึ้นมาเรียนที่กรุงเทพ อายุย่าง ๑๙ จึงได้ไปมั่วกับสำนักธรรมโกยที่คลองสาม นั่นแหละ ตอนนั้นหลวงพี่ไชยบูลย์ ธัมมชโย เพิ่งบวชได้ ๕ พรรษา หลวงพี่เผด็จ ทัตตชีโว เพิ่งได้ ๒ พรรษา ก็เลยทดลองฝึกแบบธรรมกาย ฝึกจนเห็นนิมิตลูกแก้ว เป็นนิมิตติดตา ชัดเจน ทั้งลืมตา ทั้งหลับตา แม้ขณะลืมตาก็เห็นลูกแก้วชัดแจ๋ว ยิ่งกว่าเห็นด้วยตาแบบปกติที่คนเราเห็นๆกันในชีวิตประจำวัน ....แต่เพราะว่า ในช่วงนั้น ได้อ่านหนังสือธรรมะต่างๆมามากมายพอควรแล้ว ร่วม ๕ ปี (นับตั้งแต่อายุ ๑๔ เป็นต้นมา) จึงแน่ใจว่าวิธีการของพวกธรรมกายสอนผิด นิมิตลูกแก้วหรือนิมิตองค์พระพุทธรูป ที่พวกสำนักนี้ฝึก ล้วนแต่เป็นภาพนิมิตที่จิตตนเองกำหนดปรุงแต่งสร้างขึ้นเองทั้งนั้น ไม่ใช่ธรรมะลึกซึ้งอะไรเลย และถ้าสังเกตใจตนเอง ก็เห็นชัดว่า กิเลสในใจยังอยู่ครบ โดยที่ภาพนิมิตต่างๆเหล่านั้นไม่อาจจะช่วยอะไรได้เลย .... จึงเลิกฝึกวิธีนี้
- ตอนนั้น(ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๕/๒๕๑๖) หนังสือ "ประวัติหลวงปู่มั่น" ที่เขียนโดยหลวงตามหาบัว เริ่มออกมา และหนังสือสอนหลักอุบายวิธีภาวนาของหลวงปู่เทสก์ ก็เริ่มออกมา ...เมื่อได้อ่านข้อเขียนบทความของหลวงปู่ทั้งสองท่านนี้ เกิดความอัศจรรย์ใจมากๆ เพราะข้อความของท่าน ตรงกับอาการของจิตของเรา ที่เคยเจอมาตอนได้จิตรวมครั้งแรกเมื่ออายุ ๑๔ และอาการอื่นๆที่ตามมาหลังจากนั้น... เสมือนท่านไปนั่งในจิตของเรา รู้ใจเราหมด แล้วตีแผ่ออกมาหมดเปลือก และตรวจสอบคำสอนต่างๆของพวกท่าน ก็ไม่เห็นมีอะไรขัดแย้งกับในตำรา ท่านสอนตรงกับหลักสติปัฏฐาน ๔ ในตำราตรงเป๊ะ ... จึงแน่ใจในวิธีการฝึกแบบสายวัดป่าของหลวงปู่มั่น ก็เลยเริ่มฝึกไปตามนั้น คือ ฝึกท่อง
ความคิดเห็นที่ 6
..( ต่อ )คือ ฝึกท่องบริกรรมพุทโธๆๆ สลับกับการพิจารณากายแบบกายคตาสติ ..
- ต่อมาเมื่อเรียนจบปี ๑ ปิดเทอมใหญ่ฤดูร้อน ๒ เดือนครึ่ง ก่อนเริ่มเรียนปี ๒ .. ก็ถือโอกาสบวช เพื่อจะฝึกติดต่อได้เต็มที่ ยาวนานกว่า ๗๐ วัน ได้ไปบวชอยู่ที่ถ้ำขามกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ได้ฝึกกับหลวงปู่ฝั้นไปได้ประมาณ เกือบ ๑๐ วัน ก็ได้จิตรวมลงเต็มที่สว่างไสวอีกครั้ง แบบเดียวกับที่เคยรวมตอนอายุ ๑๔ ครั้งแรก ..แต่คราวนี้ เพราะห่างจากครั้งแรกถึง ๖ ปี ประสบการณ์เพิ่มมากกว่าเดิมเยอะ การพิจารณาจึงละเอียดกว่าเดิมมาก ...และได้ทดลองฝึกอดอาหารเต็มที่ครั้งแรก อดไปได้ทีเดียว ๑ เดือน ได้ลองเดินธุดงค์ไปหาพระอาจารย์จวน ที่ภูทอก ทั้งๆที่อดอาหารมาได้ ๒๖ วันแล้ว แต่เดินได้ตัวปลิว ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เดินไปได้เกือบ ๓๐ กม.(ลองเทียบระยะทาง จากอนุสาวรีย์ชัยฯ ไปถึงหลักสี่ ที่หน้าวัดพระศรีฯ ที่บางเขนนั่น ๑๘ กม.)..
..ต่อจากนั้น ก็รู้ชัดว่ามาถูกทางแล้ว จึงใช้วิธีการฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆๆ แต่การพิจารณาละเอียดขึ้นมาก โดยเฉพาะช่วงหลังๆ ตอนอายุใกล้ๆ ๓๐ จนถึง ๓๐ กว่าๆ ไปฝึกกับหลวงปู่เทสก์ ที่วัดหินหมากเป้ง ยิ่งได้อุบายวิธีละเอียดยิบยับมากมายนับไม่ถ้วน ...(ที่เอามาตอบในเว็บบอร์ดที่นี่ หรือที่อื่นๆ ที่ผ่านมาหลายๆปี นั้น เพียงแค่เอาบางส่วนมาตอบ นิดๆหน่อยๆ เท่านั้น ยังมีอีกมากมาย ไม่ได้ตอบ เพราะไม่มีใครถาม และไม่มีใครฝึกได้ละเอียดพอที่จะเอามาคุยกันได้เข้าใจ ..)
...สั้นๆ แค่นี้พอนะ พอหอมปากหอมคอ นิดๆหน่อย ให้เหมาะสมกับคำถามของกระทู้ตั้ง..
- ต่อมาเมื่อเรียนจบปี ๑ ปิดเทอมใหญ่ฤดูร้อน ๒ เดือนครึ่ง ก่อนเริ่มเรียนปี ๒ .. ก็ถือโอกาสบวช เพื่อจะฝึกติดต่อได้เต็มที่ ยาวนานกว่า ๗๐ วัน ได้ไปบวชอยู่ที่ถ้ำขามกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ได้ฝึกกับหลวงปู่ฝั้นไปได้ประมาณ เกือบ ๑๐ วัน ก็ได้จิตรวมลงเต็มที่สว่างไสวอีกครั้ง แบบเดียวกับที่เคยรวมตอนอายุ ๑๔ ครั้งแรก ..แต่คราวนี้ เพราะห่างจากครั้งแรกถึง ๖ ปี ประสบการณ์เพิ่มมากกว่าเดิมเยอะ การพิจารณาจึงละเอียดกว่าเดิมมาก ...และได้ทดลองฝึกอดอาหารเต็มที่ครั้งแรก อดไปได้ทีเดียว ๑ เดือน ได้ลองเดินธุดงค์ไปหาพระอาจารย์จวน ที่ภูทอก ทั้งๆที่อดอาหารมาได้ ๒๖ วันแล้ว แต่เดินได้ตัวปลิว ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เดินไปได้เกือบ ๓๐ กม.(ลองเทียบระยะทาง จากอนุสาวรีย์ชัยฯ ไปถึงหลักสี่ ที่หน้าวัดพระศรีฯ ที่บางเขนนั่น ๑๘ กม.)..
..ต่อจากนั้น ก็รู้ชัดว่ามาถูกทางแล้ว จึงใช้วิธีการฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆๆ แต่การพิจารณาละเอียดขึ้นมาก โดยเฉพาะช่วงหลังๆ ตอนอายุใกล้ๆ ๓๐ จนถึง ๓๐ กว่าๆ ไปฝึกกับหลวงปู่เทสก์ ที่วัดหินหมากเป้ง ยิ่งได้อุบายวิธีละเอียดยิบยับมากมายนับไม่ถ้วน ...(ที่เอามาตอบในเว็บบอร์ดที่นี่ หรือที่อื่นๆ ที่ผ่านมาหลายๆปี นั้น เพียงแค่เอาบางส่วนมาตอบ นิดๆหน่อยๆ เท่านั้น ยังมีอีกมากมาย ไม่ได้ตอบ เพราะไม่มีใครถาม และไม่มีใครฝึกได้ละเอียดพอที่จะเอามาคุยกันได้เข้าใจ ..)
...สั้นๆ แค่นี้พอนะ พอหอมปากหอมคอ นิดๆหน่อย ให้เหมาะสมกับคำถามของกระทู้ตั้ง..
แสดงความคิดเห็น
สอบถามคุณโขตาน คุณชาวมหาวิหาร และ ท่านอื่นๆ ว่าท่านปฏิบัติกรรมฐานอะไร