วิปัสสนากรรมฐาน ต้องทิ้งตำราวิชาการ ทิ้งทิฐิ ไม่รู้ล่วงหน้า
การปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน ตามหลักที่พระพุทธเจ้าสอนนี้ต้อง ทิ้งตำรับตำราวิชาการ โดยปฏิบัติตามหลักเหตุผลนี้ โดยละทิ้งทิฐิ ทิ้งตำรับตำราหมด กำหนดไปเรื่อยๆ เป็นการสะสมหน่วยกิต ให้เกิดปัญญา คือรอบรู้เหตุผลในอารมณ์ที่เกิดขึ้น แก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน…
ต้องพูดกันภาคปฏิบัติอย่าไปเอาวิชาการมาพูดไม่ได้ นักปฏิบัติต้องไม่รู้ล่วงหน้า จะไปรู้ล่วงหน้าทำอย่างงั้นอย่างงี้รู้เชิดฉิ่งมันจะเชิดกลองเอา แล้วประคองน้ำใจไม่ได้เลยกลายเป็นคนฟุ้งซ่านเสียสติ เลยพูดมากยากนานไปเลย เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติได้ดังแนวนี้…
วิปัสสนาต้องรู้ตัวทุกเวลา เข้าใจทุกเวลา ปัญญาเกิดทุกเวลาในปัจจุบัน นี่อดีต นี่ปัจจุบัน นี่อนาคต นี่เรื่องนี้สำคัญมากไม่ใช่ทำส่งเดชนะ หรือรู้กันส่งเดชตามหนังสือแล้วก็ใช้ได้ ไม่งั้นก็ไม่ต้องปฏิบัติอ่านหนังสือใช้ได้ รู้ว่าอายตนะ ธาตุ อินทรีย์ อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ไม่ต้องปฏิบัติก็ได้เป็นวิปัสสนาปลอม เป็นวิปัสสนึกไป เป็นวิปัสสนาไม่ได้แน่ และผลงานจะเกิดขึ้นแก่เราก็ไม่ได้ด้วย ไม่มีความอดทนแน่และไม่มีอารมณ์คงที่คงวา ที่เปลี่ยนผันแปรออกมาให้จิตเข้าสู่ภาวะโดยปัจจุบันธรรมเลย…
ขอให้ญาติโยมสนใจต่อไปให้ถูกทางและทำไปโดยไม่ต้องไปคิดเอาเอง ทำไปโดยไม่ต้องหาวิชาการมาใส่ตัวให้รู้เองก่อนทำ ต้องทำก่อนรู้ ไม่ใช่ไปรู้ก่อนทำนะ เดี๋ยวนี้รู้กันเสียก่อนแล้ว รู้ก่อนทำแล้วได้อะไร ก็ได้ของปลอมไปนะ ต้องทำก่อนรู้สิ ไปรู้ก่อนทำ มีที่ไหนเล่า
วิปัสสนึก
คนเรียนอภิธรรมจึงปฏิบัติกรรมฐานไม่ค่อยได้ มันคอยคิดล่วงหน้าว่า อ๋อ ญาณที่หนึ่งมาแล้ว ญาณสองมาแล้ว มันท่องได้ ญาณ ๑๖ ก็เป็นอย่างนี้ เลยก็เป็นวิปัสสนึก ส่วนมากคนเรียนพระอภิธรรมจบพระอภิธรรมเอก นั่งกรรมฐานไม่ค่อยได้ ได้เป็นวิปัสสนึกหมด นึกเอาตามตัวหนังสือว่ามันได้จริง คนที่ไม่รู้อะไรเสียเลยทั้งหมดนี่ได้ง่าย ได้จริงเสียด้วย ได้แล้วมาอ่านหนังสือตรงเป้าเลย ตรงหนังสือนั่นเอง
ถ้าคนรู้หนังสือและก็อวดรู้ อวดดี รับรองว่านั่งกรรมฐานไม่ได้ผล ไม่ได้ผลเช่นมหาเปรียญนี่เขาเรียนกันแปดเก้าประโยค มานั่งกรรมฐานไม่ได้ผลหรอก ถ้าไม่มีศรัทธาไม่ได้อะไรเลยนะ ถ้ามีศรัทธาเชื่อมั่นก็ดีทั้ง ปริยัติศาสนา ปฏิบัติศาสนา ปฏิเวธศาสนา มันก็เกิดขึ้น ๓ ทาง ถ้าอย่างเราคนบ้านนอกคอกนาหรือคนปุถุชนธรรมดา ไม่ได้ศึกษาหาความรู้จากวิชาศาสนา ไม่รู้อะไรเลย ยิ่งทำยิ่งดีมาก นี่แหละมันจะผุดขึ้นมาเอง มันจะได้ของจริงด้วย เลยไม่รู้อะไรเสียเลยดีกว่ารู้อะไรนะ พอรู้อะไรมันคอยจะนึก เป็นวิปัสสนึก คิดว่าตัวทำได้ตามหนังสือที่เรียนมาเลยก็ไม่ได้อะไรเกิดขึ้นเป็นอย่างนี้เป็นต้น
การศึกษาภาคปฏิบัตินี่ยากมาก
ไม่ต้องวิจัย ประเมินผล ให้เกิดขึ้นเอง
ถ้าเราเป็นนักวิชาการ เราไปเชื่อตำราแล้วไม่ปฏิบัติ ผลที่เกิดจากการปฏิบัติจะไม่มี การศึกษาภาคปฏิบัตินี่ยากมาก คืออารมณ์เปลี่ยนแปลงหลายอย่างมาแทรกแซงเรา ก็ขอเจริญพรว่าให้กำหนดทีละอย่าง ศึกษาไปทีละอย่าง ทีนี้มันฟุ้งซ่าน ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรกแซงตลอดเวลา เพราะไม่ได้ปฏิบัติมานาน เราไม่ได้ฝึกทางนี้ ไม่ต้องวิจัยประเมินผล ให้เกิดขึ้นเอง เกิดขึ้นด้วยปัญญาของเรา
ปัญญาตัวนี้สำคัญ ไม่ใช่ปัญญาสามารถทางวิชาการ แต่กลับเป็นปัญญาทางใน เช่น มีเวทนากำหนดทีละอย่าง มันก็ปวดอย่างที่อาตมาเจริญพรแล้ว ยิ่งปวดหนักๆ เดี๋ยวมันจะเกิดอนิจจังไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์จริงๆ นะ ทุกข์นี่คือตัวธรรมะ เราจะพบความสุขต่อเมื่อภายหลัง แล้วเวทนาก็เกิดขึ้นสับสนอลหม่านกัน แล้วความวัวไม่ทันหาย ไอ้โน่นแทรกไอ้นี่แซงตลอดเวลาทำให้เราขุ่นมัว ทำให้เราฟุ้งซ่านตลอดเวลา เราก็กำหนดไปเรื่อยๆ
คัดลอกจาก
https://www.amphawan.net/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%9B/
วิปัสสนากรรมฐาน ต้องทิ้งตำราวิชาการ ทิ้งทิฐิ ไม่รู้ล่วงหน้า
ไม่ต้องวิจัย ประเมินผล ให้เกิดขึ้นเอง