วันนี้ขอเสนอทางออก (แบบศรีธนญชัย) อีกทาง ให้เป็นทางเลือกในการสนทนา (เท่านั้น)
_________________________________________________
โดยเริ่มต้นขอเริ่มจากสมมติฐานที่ว่า
ครม.รักษาการ มีสิทธิในการปรับ ครม.หรือไม่
ซึ่งตรงนี้ เท่าที่ไปเปิดรัฐธรรมนูญอ่านดู ย้อนไปย้อนมา ก็เข้าใจว่า ไม่มีข้อไหนห้าม ไม่ให้มีการปรับปรุงคณะรัฐมนตรีในขณะที่รักษาการอยู่
ในอีกประเด็นคือเรื่อง ถ้านายกฯ รักษาการ ต้องพ้นจากตำแหน่งไป
รองนายกฯ ที่ปฏิบัติราชการแทนนั้น มีสิทธิและอำนาจเทียบเท่ากับนายกฯ รักษาการมีหรือไม่
ตรงนี้ ในความเห็นของผม คิดว่า รองนายกฯ รักษาการ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ มีอำนาจในระดับเดียวกับนายกฯ ทุกประการ
ในประเด็นที่สาม คือเรื่อง
ตอนนี้เป็น ครม.รักษาการที่มีอำนาจจำกัด ตามมาตรา 181 ที่เป็นกรณี ครม.พ้นจากตำแหน่งเพราะ 180(2) กรณีอายุสภาสิ้นสุด หรือยุบสภา
หรือเป็น ครม.รักษาการที่เกิดจาก มาตรา 180(1) ที่ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลงตามมาตรา 182(7)
ซึ่งถ้าเป็นกรณีหลัง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรา 181 ที่บัญญัติเป็นการเฉพาะของการที่อายุสภาสิ้นสุดลง
โดยตรงนี้ผมคิดว่า ณ.เวลานี้ การยุบสภาน่าจะเป็นเรื่องเก่าไปแล้ว เพราะกำหนดต้องเลือกตั้งภายใน 60 วันก็พ้นไปแล้ว ทุกอย่างก็แทบจะไม่ได้ทำในกรอบเวลาที่กำหนดไว้อยู่แล้ว จะมาเหลือผลอยู่อันเดียว คือเป็น ครม.รักษาการ ที่มีอำนาจจำกัดตาม 181 ก็ไม่น่าจะถูกต้อง
และเมื่อเกิดกรณีใหม่ คือ นายกฯถูกตัดสิทธิให้พ้นจากความเป็นนายกฯ ซึ่งเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ในการทำให้ ครม.พ้นตำแหน่ง ก็น่าจะเป็นเหตุผลใหม่ ที่ทำให้ ครม.รักษาการ เป็นครม.ที่ยังมีอำนาจเต็มได้อยู่
________________________________________________
ซึ่งเมื่อยังมีอำนาจเต็มแล้ว จะทำอะไรได้บ้าง
ตรงนี้ ถ้าทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า รองนายกฯรักษาการ ทำหน้าที่นายกฯ สามารถทำงานแทนนายกฯได้หมดทุกอย่าง ไม่ใช่แยกสองสามเรื่อง ที่น่าจะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่พูดกันคนละมุม ทำให้เรื่องที่ทำได้ไม่ตรงกัน เช่นทูลเกล้าชื่อ ประธานสว.ได้ แต่รับสนองพระบรมราชโองการ พรฎ.เลือกตั้งไม่ได้ หรืออีกฝ่าย ก็เห็นไปคนละด้าน คือ เสนอชื่อประธาน สว.ไม่ได้ แต่ลงชื่อใน พรฎ.เลือกตั้งได้
โดยตรงนี้ผมคิดว่า สามารถทำได้ทั้งสองเรื่อง และมีอีกเรื่องที่ทำได้เช่นกัน คือ การปรับ ครม.ได้
ดังนั้น ถ้าหากตอนนี้ คุณนิวัฒน์ธำรง คิดว่า มีความจำเป็นที่ต้องปรับ ครม. ก็สามารถจะทำได้ และการปรับครม.นั้น ก็สามารถที่จะเพิ่ม บุคคลที่อยากให้มาทำหน้าที่ นายกฯ (จะเรียก นายกฯ คนกลาง หรือนายกฯ กปปส. นายกฯ นปช. หรือนายกฯ อะไรก็ตามที) มาเป็นรองนายกฯ ได้
หลังจากนั้น เมื่อ ผ่านขั้นตอนการถวายสัตย์แล้ว ในการประชุมครม.นัดแรก ก็สามารถที่จะมอบหมายงานและมอบหมายการรักษาการในตำแหน่งนายกฯ ให้กับคนที่วางตัวเอาไว้ก็ได้ เพื่อเริ่มขั้นตอนการแก้ไขปัญหาที่คิดว่าต้องทำเป็นการเร่งด่วนได้
___________________________________________________
ความเห็นของผม ขอจบลงแค่ตรงนี้ คือชี้จุดให้เห็นว่า ถ้าหากสังคมตอนนี้ ต้องการนายกฯ คนกลาง เพื่อมาแก้ไขปัญหา แต่ติดขัดตรงที่มา ที่ไม่น่าจะได้รับการยอมรับ เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ
ทางเลือกที่ผมพูดมานั้น ยังเป็นช่องทางที่เดินได้ โดยไม่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ เพียงแต่มองดูแล้ว จะเป็นการตอบโจทย์สำหรับ ฝ่ายที่เรียกร้อง ให้มีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม แล้วเลื่อนการเลือกตั้งออกไป แต่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ให้กับฝ่ายที่ต้องการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้รัฐบาลที่แท้จริง เร็วที่สุด
แต่ที่จริงถ้าทั้งสองฝ่าย พยายามหาจุดร่วม แล้วก็พยายามทำในสิ่งที่แต่ละฝ่ายอยากได้อยากเห็น ร่วมมือกันผลักดันความต้องการของแต่ละฝ่ายให้เดินหน้าไปได้ สิ่งที่สองฝ่ายต้องการ ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เสียเวลามาหลายเดือน เป็นเพราะมัวแต่ทะเลาะกันในเรื่องเปลือกนอก แต่ไม่ยอมลงมือทำสักที เช่น ฝ่าย กปปส. บอกแต่ว่าต้องปฏิรูป แต่ถึงวันนี้ ก็ยังไม่สามารถมองเห็นหลักการที่ชัดเจน ว่าจะปฏิรูปอะไรอย่างไร อะไรเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำทันที อะไรที่ต้องอาศัยเวลา อาจจะต้องใช้เวลาเป็นสิบปี
เพราะถ้าหากวันนี้ ทาง กปปส.มีตรงนี้ชัดเจน ก็จะมีน้ำหนักในจุดที่ว่า เรื่องที่จำเป็นต้องทำเร่งด่วน คือต้องทำให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง ตรงนี้ผมว่า คนที่ไม่เห็นด้วยกับ กปปส. อาจจะพิจารณาได้ และอาจจะเห็นด้วย เพื่อให้แก้ไขปัญหานั้น ๆ ก่อนการเลือกตั้งก็เป็นไปได้
แต่ถ้าเป็นแบบทุกวันนี้ ยังไม่สามารถแสดงพิมพ์เขียวของงานทั้งหมดที่จะทำ แต่จะมาพยายามยึดหลักว่าต้องปฏิรูปเสร็จก่อนค่อยเลือกตั้ง ผมว่ามันก็ไม่ค่อยถูกต้อง
ก็เหมือนกับพรบ.สองล้านล้าน ที่เรื่องนั้นผมแสดงความเห็นชัดเจนว่า เมื่อยังไม่รู้จะทำอะไร ก็ยังไม่ควรจะกำหนดวงเงิน แล้ววางแผนหาเงินก่อน ควรทำแผนให้เสร็จ แล้วแสดงให้เห็นว่า จำเป็นต้องใช้เงินเท่าไหร่ เมื่อไหร่ ให้ชัดเจนเสียก่อน
ไม่ใช่จะกู้ตั้งแต่ยังไม่รู้จะทำอะไรแบบนี้
ดังนั้นเรื่องการปฏิรูปก็เช่นกัน เมื่อยังไม่มีแผนที่ชัดเจนจับต้องได้ ก็ไม่ควรถ่วงเวลาประเทศไว้แบบนี้ ควรปล่อยให้กลไกปกติเดินไปก่อน ส่วนสภาปฏิรูป ก็สามารถจัดตั้งขึ้นได้คู่ขนานไป
ผมว่า เรื่องเงินไม่น่าจะใช่เรื่องสำคัญ ถึงแม้การทำสภาปฏิรูปจะไม่ได้รับงบประมาณจากรัฐ ก็ยังสามารถเดินหน้าได้ และเรื่องความเป็นองค์กรที่ถูกต้องตามกฎหมาย ยิ่งไม่ใช่ประเด็นที่ต้องกังวล ขอเพียงข้อเสนอที่ออกมา เป็นข้อเสนอที่ดี จับต้องได้ สังคมก็จะกดดันให้ รัฐบาลต้องยอมปฏิบัติตามแน่นอน
ปรับ ครม. อีกทางออกของประเทศ
_________________________________________________
โดยเริ่มต้นขอเริ่มจากสมมติฐานที่ว่า
ครม.รักษาการ มีสิทธิในการปรับ ครม.หรือไม่
ซึ่งตรงนี้ เท่าที่ไปเปิดรัฐธรรมนูญอ่านดู ย้อนไปย้อนมา ก็เข้าใจว่า ไม่มีข้อไหนห้าม ไม่ให้มีการปรับปรุงคณะรัฐมนตรีในขณะที่รักษาการอยู่
ในอีกประเด็นคือเรื่อง ถ้านายกฯ รักษาการ ต้องพ้นจากตำแหน่งไป
รองนายกฯ ที่ปฏิบัติราชการแทนนั้น มีสิทธิและอำนาจเทียบเท่ากับนายกฯ รักษาการมีหรือไม่
ตรงนี้ ในความเห็นของผม คิดว่า รองนายกฯ รักษาการ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ มีอำนาจในระดับเดียวกับนายกฯ ทุกประการ
ในประเด็นที่สาม คือเรื่อง
ตอนนี้เป็น ครม.รักษาการที่มีอำนาจจำกัด ตามมาตรา 181 ที่เป็นกรณี ครม.พ้นจากตำแหน่งเพราะ 180(2) กรณีอายุสภาสิ้นสุด หรือยุบสภา
หรือเป็น ครม.รักษาการที่เกิดจาก มาตรา 180(1) ที่ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลงตามมาตรา 182(7)
ซึ่งถ้าเป็นกรณีหลัง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรา 181 ที่บัญญัติเป็นการเฉพาะของการที่อายุสภาสิ้นสุดลง
โดยตรงนี้ผมคิดว่า ณ.เวลานี้ การยุบสภาน่าจะเป็นเรื่องเก่าไปแล้ว เพราะกำหนดต้องเลือกตั้งภายใน 60 วันก็พ้นไปแล้ว ทุกอย่างก็แทบจะไม่ได้ทำในกรอบเวลาที่กำหนดไว้อยู่แล้ว จะมาเหลือผลอยู่อันเดียว คือเป็น ครม.รักษาการ ที่มีอำนาจจำกัดตาม 181 ก็ไม่น่าจะถูกต้อง
และเมื่อเกิดกรณีใหม่ คือ นายกฯถูกตัดสิทธิให้พ้นจากความเป็นนายกฯ ซึ่งเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ในการทำให้ ครม.พ้นตำแหน่ง ก็น่าจะเป็นเหตุผลใหม่ ที่ทำให้ ครม.รักษาการ เป็นครม.ที่ยังมีอำนาจเต็มได้อยู่
________________________________________________
ซึ่งเมื่อยังมีอำนาจเต็มแล้ว จะทำอะไรได้บ้าง
ตรงนี้ ถ้าทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า รองนายกฯรักษาการ ทำหน้าที่นายกฯ สามารถทำงานแทนนายกฯได้หมดทุกอย่าง ไม่ใช่แยกสองสามเรื่อง ที่น่าจะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่พูดกันคนละมุม ทำให้เรื่องที่ทำได้ไม่ตรงกัน เช่นทูลเกล้าชื่อ ประธานสว.ได้ แต่รับสนองพระบรมราชโองการ พรฎ.เลือกตั้งไม่ได้ หรืออีกฝ่าย ก็เห็นไปคนละด้าน คือ เสนอชื่อประธาน สว.ไม่ได้ แต่ลงชื่อใน พรฎ.เลือกตั้งได้
โดยตรงนี้ผมคิดว่า สามารถทำได้ทั้งสองเรื่อง และมีอีกเรื่องที่ทำได้เช่นกัน คือ การปรับ ครม.ได้
ดังนั้น ถ้าหากตอนนี้ คุณนิวัฒน์ธำรง คิดว่า มีความจำเป็นที่ต้องปรับ ครม. ก็สามารถจะทำได้ และการปรับครม.นั้น ก็สามารถที่จะเพิ่ม บุคคลที่อยากให้มาทำหน้าที่ นายกฯ (จะเรียก นายกฯ คนกลาง หรือนายกฯ กปปส. นายกฯ นปช. หรือนายกฯ อะไรก็ตามที) มาเป็นรองนายกฯ ได้
หลังจากนั้น เมื่อ ผ่านขั้นตอนการถวายสัตย์แล้ว ในการประชุมครม.นัดแรก ก็สามารถที่จะมอบหมายงานและมอบหมายการรักษาการในตำแหน่งนายกฯ ให้กับคนที่วางตัวเอาไว้ก็ได้ เพื่อเริ่มขั้นตอนการแก้ไขปัญหาที่คิดว่าต้องทำเป็นการเร่งด่วนได้
___________________________________________________
ความเห็นของผม ขอจบลงแค่ตรงนี้ คือชี้จุดให้เห็นว่า ถ้าหากสังคมตอนนี้ ต้องการนายกฯ คนกลาง เพื่อมาแก้ไขปัญหา แต่ติดขัดตรงที่มา ที่ไม่น่าจะได้รับการยอมรับ เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ
ทางเลือกที่ผมพูดมานั้น ยังเป็นช่องทางที่เดินได้ โดยไม่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ เพียงแต่มองดูแล้ว จะเป็นการตอบโจทย์สำหรับ ฝ่ายที่เรียกร้อง ให้มีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม แล้วเลื่อนการเลือกตั้งออกไป แต่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ให้กับฝ่ายที่ต้องการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้รัฐบาลที่แท้จริง เร็วที่สุด
แต่ที่จริงถ้าทั้งสองฝ่าย พยายามหาจุดร่วม แล้วก็พยายามทำในสิ่งที่แต่ละฝ่ายอยากได้อยากเห็น ร่วมมือกันผลักดันความต้องการของแต่ละฝ่ายให้เดินหน้าไปได้ สิ่งที่สองฝ่ายต้องการ ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เสียเวลามาหลายเดือน เป็นเพราะมัวแต่ทะเลาะกันในเรื่องเปลือกนอก แต่ไม่ยอมลงมือทำสักที เช่น ฝ่าย กปปส. บอกแต่ว่าต้องปฏิรูป แต่ถึงวันนี้ ก็ยังไม่สามารถมองเห็นหลักการที่ชัดเจน ว่าจะปฏิรูปอะไรอย่างไร อะไรเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำทันที อะไรที่ต้องอาศัยเวลา อาจจะต้องใช้เวลาเป็นสิบปี
เพราะถ้าหากวันนี้ ทาง กปปส.มีตรงนี้ชัดเจน ก็จะมีน้ำหนักในจุดที่ว่า เรื่องที่จำเป็นต้องทำเร่งด่วน คือต้องทำให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง ตรงนี้ผมว่า คนที่ไม่เห็นด้วยกับ กปปส. อาจจะพิจารณาได้ และอาจจะเห็นด้วย เพื่อให้แก้ไขปัญหานั้น ๆ ก่อนการเลือกตั้งก็เป็นไปได้
แต่ถ้าเป็นแบบทุกวันนี้ ยังไม่สามารถแสดงพิมพ์เขียวของงานทั้งหมดที่จะทำ แต่จะมาพยายามยึดหลักว่าต้องปฏิรูปเสร็จก่อนค่อยเลือกตั้ง ผมว่ามันก็ไม่ค่อยถูกต้อง
ก็เหมือนกับพรบ.สองล้านล้าน ที่เรื่องนั้นผมแสดงความเห็นชัดเจนว่า เมื่อยังไม่รู้จะทำอะไร ก็ยังไม่ควรจะกำหนดวงเงิน แล้ววางแผนหาเงินก่อน ควรทำแผนให้เสร็จ แล้วแสดงให้เห็นว่า จำเป็นต้องใช้เงินเท่าไหร่ เมื่อไหร่ ให้ชัดเจนเสียก่อน
ไม่ใช่จะกู้ตั้งแต่ยังไม่รู้จะทำอะไรแบบนี้
ดังนั้นเรื่องการปฏิรูปก็เช่นกัน เมื่อยังไม่มีแผนที่ชัดเจนจับต้องได้ ก็ไม่ควรถ่วงเวลาประเทศไว้แบบนี้ ควรปล่อยให้กลไกปกติเดินไปก่อน ส่วนสภาปฏิรูป ก็สามารถจัดตั้งขึ้นได้คู่ขนานไป
ผมว่า เรื่องเงินไม่น่าจะใช่เรื่องสำคัญ ถึงแม้การทำสภาปฏิรูปจะไม่ได้รับงบประมาณจากรัฐ ก็ยังสามารถเดินหน้าได้ และเรื่องความเป็นองค์กรที่ถูกต้องตามกฎหมาย ยิ่งไม่ใช่ประเด็นที่ต้องกังวล ขอเพียงข้อเสนอที่ออกมา เป็นข้อเสนอที่ดี จับต้องได้ สังคมก็จะกดดันให้ รัฐบาลต้องยอมปฏิบัติตามแน่นอน