คำกล่าวของ น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล อาจารย์พิเศษสอนวิชาระบบศาลและหลักการพิจารณาคดี (พระธรรมนูญศาลยุติธรรม) คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดีกรีอดีตกรรมการ ป.ป.ช.
ให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง โดยประโยคดังกล่าวอ้างนำมาจากบทความชิ้นหนึ่ง เปรียบเปรยให้เห็นภาวะการเมือง เหมือนกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นสภาพรักษาการนายกรัฐมนตรี ในคดีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคง โดยมิชอบ แค่ใช้ปากกาอย่างเดียวก็พ้นจากตำแหน่ง ไม่ต้องใช้กำลังพล
การเป็นนักกฎหมายต้องยึดหลักให้มั่น ไม่ตีความบิดหลักกฎหมาย บุคคลใดตีความกฎหมายในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและพรรคพวก เป็นได้แค่คนรู้กฎหมาย แต่ไม่ใช่บัณฑิต ซึ่งวันนี้มีผู้ใหญ่หลายคนพูดตีความเช่นนี้ อีก 1-2ปีกลับพูดตรงกันข้าม ก่อให้เกิดวิกฤติความเชื่อถือ เป็นผู้ใหญ่ต้องระมัดระวังในเรื่องนี้
ในปัจจุบันยังมีปัญหาการตีความ กฎหมายฉบับเดียวกัน มาตราเดียวกัน แต่ตีความต่างกัน นักกฎหมายไม่ซื่อสัตย์ ไปตีความเข้าข้างตัวเอง ทำให้กฎหมายเริ่มบิดเบี้ยว
การตีความต้องดูตามเจตนารมณ์กฎหมาย หรือแนวบรรทัดฐานที่ศาลฎีกาเคยวางไว้ เป็นหลักที่ศาลยุติธรรมยึดปฏิบัติมาตลอด คนที่เห็นต่างก็ยอมรับ ไม่ใช่มาเอาชนะคะคาน หากตีความกฎหมายตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวคงไม่เกิดปัญหา
แต่ขณะนี้เกิดวิกฤติศรัทธาด้านความเชื่อถือต่อองค์กรอิสระ สมัยเป็นกรรมการ ป.ป.ช.มีคนส่ง ส.ค.ส.มาให้ พอเปิดอ่านปรากฏว่า มีข้อความเขียนด่าระบุว่า ตอนเป็นผู้พิพากษาใครๆล้วนเคารพท่าน เพราะรักษาความยุติธรรม
แต่พอเป็นกรรมการ ป.ป.ช.เกี่ยวข้องกับคดีการเมือง เหตุใดจึงยุบพรรคเพื่อไทย แต่ไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ แสดงให้เห็นว่าคนในสังคมกำลังเข้าใจผิดคิดว่า ป.ป.ช.มีอำนาจสั่งยุบพรรคการเมือง แต่ข้อเท็จจริงการยุบพรรคการเมืองเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ
ส.ค.ส.ใบนี้ยังเก็บเอาไว้ ไม่ขอโต้เถียงข้อความใน ส.ค.ส. เพราะในชีวิตไม่เคยไปตีความกฎหมายบิดเบี้ยว มีอยู่ครั้งหนึ่งสมัยเป็นกรรมการ ป.ป.ช. สรุปสำนวนคดีการขึ้นค่าตอบแทนตัวเองของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในยุคที่ผ่านมา
สุดท้ายต้องตัดสินชี้มูลความผิดด้วยน้ำตา เพราะมีหลายคนที่เป็นเพื่อนของดิฉัน โดยยึดแนวบรรทัดฐานของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่เคยวินิจฉัยลงโทษอดีตกรรมการ ป.ป.ช.ที่ขึ้นค่าตอบแทนให้ตัวเองมาก่อนหน้านี้
ถ้าเราเคารพแนวทางเช่นนี้จะไม่เกิดปัญหาขึ้น ถ้าศาลหรือองค์กรอื่นหรือองค์กรอิสระยึดหลักให้มั่น จะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น มีส่วนช่วยคลี่คลายวิกฤติศรัทธา
เหมือนที่เคยพูดในสมัยเป็นกรรมการ ป.ป.ช.ว่า ขอให้ใช้กฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วยความระมัดระวัง เมื่อไหร่ที่ไม่ระมัดระวัง มาตรานี้จะย้อนมาเล่นงานพวกเรา และต้องเคารพเสียงข้างมาก
แต่สาเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก เพราะเมื่อตัดสินแล้วไม่สามารถอุทธรณ์ได้ เหมือนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทำให้ลดแรงเสียดทานทางการเมืองไปได้มาก
เฉกเช่นกรณีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้คุณยิ่งลักษณ์พ้นสภาพรักษาการนายกฯ เห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัย เพราะตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้ ครม.ที่พ้นจากตำแหน่งต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมี ครม.ชุดใหม่
แต่ถ้าให้รัฐบาลรักษาการพ้นจากตำแหน่งตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ต้องเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ว่า มาตรา 181 ภายใต้บังคับมาตรา 180 มาตรา 182 อนุ 7 มาตรา 272 วรรค 4 ครม.ที่พ้นจากตำแหน่งและอยู่ระหว่างรักษาการก็สามารถพ้นจากตำแหน่งอีกได้
ขอย้อนไปดูเจตนารมณ์ตอนร่างรัฐธรรมนูญปี 50 คุณพิเชียร อำนาจวรประเสริฐ ส.ส.ร.ในขณะนั้น ขอแปรญัตติมาตรา 181 ไว้ว่า ขอให้ ครม.พ้นจากการรักษาการไปเลย เพราะกลัวใช้อำนาจในช่วงหาเสียงและโยกย้ายข้าราชการ
แต่คุณจรัญ ภักดีธนากุล กรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ทักท้วงว่า ถ้าทำเช่นนี้จะเกิดปัญหาตามมาเยอะเลย อาทิ จะไปหานายกฯจากที่ไหน หากจะเสนอให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่รักษาการแทน ปลัดกระทรวงเป็นเพียงข้าราชการประจำ ไม่สันทัดจัดเจนในด้านนโยบายและทางการเมือง ไม่อยู่ในฐานะที่ทำได้
ในช่วงรักษาการหากจะต้องมาหานายกฯและ ครม.ใหม่ที่เหมาะสมก็เป็นเรื่องยากมาก ควรให้มี ครม.ชุดเก่าทำหน้าที่รักษาการต่อไป
ดังนั้นเจตนารมณ์มาตรา 181 ไม่ต้องการให้ประเทศขาดฝ่ายบริหาร จำเป็นจะต้องมีรัฐบาลรักษาการ โดยมีข้อยกเว้นว่า ไม่สามารถของบประมาณ หรือแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ได้ตามปกติ แทบจะทำอะไรไม่ได้หรือแทบไม่มีอำนาจอยู่แล้ว
ขอยกตัวอย่างเช่นกรณีเกิดแผ่นดินไหวที่ จ.เชียงราย บ้านเรือนเสียหาย รัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจสั่งการให้เบิกงบประมาณไปช่วยเหลือ นอกจากไปขออนุญาตจาก กกต.ก่อน
เจตนารมณ์มาตรานี้เป็นหลักการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย มี 3 อำนาจ คือฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ขณะนี้ประเทศไทยมีเพียงฝ่ายตุลาการ ไม่มีฝ่ายนิติบัญญัติ ส่วนฝ่ายบริหารตกอยู่ในสภาพพิการ
แล้วยังจะให้รัฐบาลไปอีกหรือ เพราะตามปกติรัฐบาลรักษาการอยู่ได้ไม่เกิน 60 วัน เพื่อเลือกตั้งนำไปสู่การตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ประเทศไทยมีภาวะแปลกประหลาด มีการขัดขวางการเลือกตั้ง ทำให้รัฐบาลอยู่รักษาการต่อ 5-6 เดือน ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น ดังนั้นขอให้ยึดหลักรัฐธรรมนูญทำให้ประเทศเดินต่อได้
จะเป็นทางออกจากวิกฤติความขัดแย้ง โดยขอให้แก้ไขตามกระบวนการประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด หากไม่มีการเลือกตั้งอาจเกิดอาฟเตอร์ช็อกทางการเมืองเกิดขึ้นได้
กระบวนการเลือกตั้งเริ่มจาก กกต.ที่มีอำนาจมาก คนใช้อำนาจมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายหรือตีความกฎหมายบิดเบี้ยว ขอให้ยึดหลักกฎหมาย ทำหน้าที่เป็นกลาง อย่าไปวินิจฉัยให้เป็นประโยชน์กับอีกฝ่าย ไม่เช่นนั้นจะทะเลาะกันอีก
ขั้นตอนต่อไปขอให้ทุกพรรคการเมืองทำโรดแม็ปปฏิรูปประเทศให้ประชาชนพิจารณา ทำข้อตกลงระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า การหาเสียงครั้งนี้พรรคเพื่อไทยสามารถไปหาเสียงในพื้นที่ภาคใต้ได้ ขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์สามารถไปหาเสียงในพื้นที่ของคนเสื้อแดงได้เช่นกัน
และขอให้ข้อกำหนดว่า หลังการเลือกตั้งต้องยอมรับพรรคการเมืองที่ได้รับเสียงข้างมากจากประชาชน และพรรค การเมืองนั้นต้องเข้ามาปฏิรูปตามโรดแม็ปที่เสนอไว้ เมื่อทำการปฏิรูปเสร็จ รัฐบาลยุบสภานำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ไม่ใช่ไปเสนอสภาปฏิรูป ตั้งรัฐบาลคนกลางก่อนการเลือกตั้ง จะทะเลาะกันอีก ที่พูดแบบนี้ไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของ กปปส. เพราะวัตถุประสงค์ของ กปปส. ถือว่าประสบผลสำเร็จที่จุดประกายให้เกิดการปฏิรูป หากไม่มี กปปส.เกิดขึ้นการปฏิรูปก็จะถูกเฉยเมย
เพียงติดขัดที่ขั้นตอนนำไปสู่การปฏิรูปขอให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ หากไปตั้งนายกฯคนกลางขอถามว่าจะไปแถลงนโยบายต่อใคร ถ้าไปแถลงต่อวุฒิสภาจะเข้าข่ายตีความกฎหมายแบบฉ้อฉล มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนแถไปเรื่อยๆ
เช่นเดียวกับข้อเสนอการตั้งสภาปฏิรูปโดยไม่รู้ว่าใครมีอำนาจตั้ง หรือใครจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ หรือรับสนองพระบรมราชโองการ
การเสนอตั้งสภาปฏิรูปลอยๆไม่ได้ ขณะนี้ไม่มีสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาออกกฎหมายรับรองสภาปฏิรูปให้มีอำนาจหน้าที่ แม้มีวุฒิสภาก็ไม่ได้มีหน้าที่ออกกฎหมาย ทำได้แค่กลั่นกรองกฎหมาย
จนต้องไปตีความรัฐธรรมนูญโยงให้เป็นหน้าที่ของประธานวุฒิสภา เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการตั้งนายกฯมาตรา 7 ทั้งที่ไม่มีอำนาจทำได้
ขอยืนยันจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายว่าทำไม่ได้ ปิดประตูสำหรับนายกฯมาตรา 7 แต่กลับมีความพยายามฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ จะทำให้ได้
เมื่อตีความเช่นนี้ประเทศชาติมันถึงยุ่ง.
ทีมข่าวการเมือง
http://www.thairath.co.th/content/422049
แต่คุณจรัญ ภักดีธนากุล กรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ทักท้วงว่า ถ้าทำเช่นนี้จะเกิดปัญหาตามมาเยอะเลย อาทิ จะไปหานายกฯจากที่ไหน หากจะเสนอให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่รักษาการแทน ปลัดกระทรวงเป็นเพียงข้าราชการประจำ ไม่สันทัดจัดเจนในด้านนโยบายและทางการเมือง ไม่อยู่ในฐานะที่ทำได้
ในช่วงรักษาการหากจะต้องมาหานายกฯและ ครม.ใหม่ที่เหมาะสมก็เป็นเรื่องยากมาก ควรให้มี ครม.ชุดเก่าทำหน้าที่รักษาการต่อไป
จากข้อความช้างบนจะเห็นว่า ทั้งๆที่ นาย จรัญ เองก็รู้แต่ตอนนี้ก็มากลับกลอกบิดเบือนเหมือนตอนที่บอกให้รับร่างรธณ 50 ไปก่อน
คนพวกนี้ความมีคติอยู่เหนือความถูกต้องและเหตุผลจริงๆ
สมลักษณ์ จัดกระบวนพล “การใช้หลักกฎหมายบิดเบี้ยวร้ายยิ่งกว่าทหารถือปืนออกมาปฏิวัติ”
ให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง โดยประโยคดังกล่าวอ้างนำมาจากบทความชิ้นหนึ่ง เปรียบเปรยให้เห็นภาวะการเมือง เหมือนกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นสภาพรักษาการนายกรัฐมนตรี ในคดีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคง โดยมิชอบ แค่ใช้ปากกาอย่างเดียวก็พ้นจากตำแหน่ง ไม่ต้องใช้กำลังพล
การเป็นนักกฎหมายต้องยึดหลักให้มั่น ไม่ตีความบิดหลักกฎหมาย บุคคลใดตีความกฎหมายในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและพรรคพวก เป็นได้แค่คนรู้กฎหมาย แต่ไม่ใช่บัณฑิต ซึ่งวันนี้มีผู้ใหญ่หลายคนพูดตีความเช่นนี้ อีก 1-2ปีกลับพูดตรงกันข้าม ก่อให้เกิดวิกฤติความเชื่อถือ เป็นผู้ใหญ่ต้องระมัดระวังในเรื่องนี้
ในปัจจุบันยังมีปัญหาการตีความ กฎหมายฉบับเดียวกัน มาตราเดียวกัน แต่ตีความต่างกัน นักกฎหมายไม่ซื่อสัตย์ ไปตีความเข้าข้างตัวเอง ทำให้กฎหมายเริ่มบิดเบี้ยว
การตีความต้องดูตามเจตนารมณ์กฎหมาย หรือแนวบรรทัดฐานที่ศาลฎีกาเคยวางไว้ เป็นหลักที่ศาลยุติธรรมยึดปฏิบัติมาตลอด คนที่เห็นต่างก็ยอมรับ ไม่ใช่มาเอาชนะคะคาน หากตีความกฎหมายตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวคงไม่เกิดปัญหา
แต่ขณะนี้เกิดวิกฤติศรัทธาด้านความเชื่อถือต่อองค์กรอิสระ สมัยเป็นกรรมการ ป.ป.ช.มีคนส่ง ส.ค.ส.มาให้ พอเปิดอ่านปรากฏว่า มีข้อความเขียนด่าระบุว่า ตอนเป็นผู้พิพากษาใครๆล้วนเคารพท่าน เพราะรักษาความยุติธรรม
แต่พอเป็นกรรมการ ป.ป.ช.เกี่ยวข้องกับคดีการเมือง เหตุใดจึงยุบพรรคเพื่อไทย แต่ไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ แสดงให้เห็นว่าคนในสังคมกำลังเข้าใจผิดคิดว่า ป.ป.ช.มีอำนาจสั่งยุบพรรคการเมือง แต่ข้อเท็จจริงการยุบพรรคการเมืองเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ
ส.ค.ส.ใบนี้ยังเก็บเอาไว้ ไม่ขอโต้เถียงข้อความใน ส.ค.ส. เพราะในชีวิตไม่เคยไปตีความกฎหมายบิดเบี้ยว มีอยู่ครั้งหนึ่งสมัยเป็นกรรมการ ป.ป.ช. สรุปสำนวนคดีการขึ้นค่าตอบแทนตัวเองของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในยุคที่ผ่านมา
สุดท้ายต้องตัดสินชี้มูลความผิดด้วยน้ำตา เพราะมีหลายคนที่เป็นเพื่อนของดิฉัน โดยยึดแนวบรรทัดฐานของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่เคยวินิจฉัยลงโทษอดีตกรรมการ ป.ป.ช.ที่ขึ้นค่าตอบแทนให้ตัวเองมาก่อนหน้านี้
ถ้าเราเคารพแนวทางเช่นนี้จะไม่เกิดปัญหาขึ้น ถ้าศาลหรือองค์กรอื่นหรือองค์กรอิสระยึดหลักให้มั่น จะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น มีส่วนช่วยคลี่คลายวิกฤติศรัทธา
เหมือนที่เคยพูดในสมัยเป็นกรรมการ ป.ป.ช.ว่า ขอให้ใช้กฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วยความระมัดระวัง เมื่อไหร่ที่ไม่ระมัดระวัง มาตรานี้จะย้อนมาเล่นงานพวกเรา และต้องเคารพเสียงข้างมาก
แต่สาเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก เพราะเมื่อตัดสินแล้วไม่สามารถอุทธรณ์ได้ เหมือนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทำให้ลดแรงเสียดทานทางการเมืองไปได้มาก
เฉกเช่นกรณีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้คุณยิ่งลักษณ์พ้นสภาพรักษาการนายกฯ เห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัย เพราะตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้ ครม.ที่พ้นจากตำแหน่งต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมี ครม.ชุดใหม่
แต่ถ้าให้รัฐบาลรักษาการพ้นจากตำแหน่งตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ต้องเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ว่า มาตรา 181 ภายใต้บังคับมาตรา 180 มาตรา 182 อนุ 7 มาตรา 272 วรรค 4 ครม.ที่พ้นจากตำแหน่งและอยู่ระหว่างรักษาการก็สามารถพ้นจากตำแหน่งอีกได้
ขอย้อนไปดูเจตนารมณ์ตอนร่างรัฐธรรมนูญปี 50 คุณพิเชียร อำนาจวรประเสริฐ ส.ส.ร.ในขณะนั้น ขอแปรญัตติมาตรา 181 ไว้ว่า ขอให้ ครม.พ้นจากการรักษาการไปเลย เพราะกลัวใช้อำนาจในช่วงหาเสียงและโยกย้ายข้าราชการ
แต่คุณจรัญ ภักดีธนากุล กรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ทักท้วงว่า ถ้าทำเช่นนี้จะเกิดปัญหาตามมาเยอะเลย อาทิ จะไปหานายกฯจากที่ไหน หากจะเสนอให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่รักษาการแทน ปลัดกระทรวงเป็นเพียงข้าราชการประจำ ไม่สันทัดจัดเจนในด้านนโยบายและทางการเมือง ไม่อยู่ในฐานะที่ทำได้
ในช่วงรักษาการหากจะต้องมาหานายกฯและ ครม.ใหม่ที่เหมาะสมก็เป็นเรื่องยากมาก ควรให้มี ครม.ชุดเก่าทำหน้าที่รักษาการต่อไป
ดังนั้นเจตนารมณ์มาตรา 181 ไม่ต้องการให้ประเทศขาดฝ่ายบริหาร จำเป็นจะต้องมีรัฐบาลรักษาการ โดยมีข้อยกเว้นว่า ไม่สามารถของบประมาณ หรือแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ได้ตามปกติ แทบจะทำอะไรไม่ได้หรือแทบไม่มีอำนาจอยู่แล้ว
ขอยกตัวอย่างเช่นกรณีเกิดแผ่นดินไหวที่ จ.เชียงราย บ้านเรือนเสียหาย รัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจสั่งการให้เบิกงบประมาณไปช่วยเหลือ นอกจากไปขออนุญาตจาก กกต.ก่อน
เจตนารมณ์มาตรานี้เป็นหลักการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย มี 3 อำนาจ คือฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ขณะนี้ประเทศไทยมีเพียงฝ่ายตุลาการ ไม่มีฝ่ายนิติบัญญัติ ส่วนฝ่ายบริหารตกอยู่ในสภาพพิการ
แล้วยังจะให้รัฐบาลไปอีกหรือ เพราะตามปกติรัฐบาลรักษาการอยู่ได้ไม่เกิน 60 วัน เพื่อเลือกตั้งนำไปสู่การตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ประเทศไทยมีภาวะแปลกประหลาด มีการขัดขวางการเลือกตั้ง ทำให้รัฐบาลอยู่รักษาการต่อ 5-6 เดือน ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น ดังนั้นขอให้ยึดหลักรัฐธรรมนูญทำให้ประเทศเดินต่อได้
จะเป็นทางออกจากวิกฤติความขัดแย้ง โดยขอให้แก้ไขตามกระบวนการประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด หากไม่มีการเลือกตั้งอาจเกิดอาฟเตอร์ช็อกทางการเมืองเกิดขึ้นได้
กระบวนการเลือกตั้งเริ่มจาก กกต.ที่มีอำนาจมาก คนใช้อำนาจมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายหรือตีความกฎหมายบิดเบี้ยว ขอให้ยึดหลักกฎหมาย ทำหน้าที่เป็นกลาง อย่าไปวินิจฉัยให้เป็นประโยชน์กับอีกฝ่าย ไม่เช่นนั้นจะทะเลาะกันอีก
ขั้นตอนต่อไปขอให้ทุกพรรคการเมืองทำโรดแม็ปปฏิรูปประเทศให้ประชาชนพิจารณา ทำข้อตกลงระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า การหาเสียงครั้งนี้พรรคเพื่อไทยสามารถไปหาเสียงในพื้นที่ภาคใต้ได้ ขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์สามารถไปหาเสียงในพื้นที่ของคนเสื้อแดงได้เช่นกัน
และขอให้ข้อกำหนดว่า หลังการเลือกตั้งต้องยอมรับพรรคการเมืองที่ได้รับเสียงข้างมากจากประชาชน และพรรค การเมืองนั้นต้องเข้ามาปฏิรูปตามโรดแม็ปที่เสนอไว้ เมื่อทำการปฏิรูปเสร็จ รัฐบาลยุบสภานำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ไม่ใช่ไปเสนอสภาปฏิรูป ตั้งรัฐบาลคนกลางก่อนการเลือกตั้ง จะทะเลาะกันอีก ที่พูดแบบนี้ไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของ กปปส. เพราะวัตถุประสงค์ของ กปปส. ถือว่าประสบผลสำเร็จที่จุดประกายให้เกิดการปฏิรูป หากไม่มี กปปส.เกิดขึ้นการปฏิรูปก็จะถูกเฉยเมย
เพียงติดขัดที่ขั้นตอนนำไปสู่การปฏิรูปขอให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ หากไปตั้งนายกฯคนกลางขอถามว่าจะไปแถลงนโยบายต่อใคร ถ้าไปแถลงต่อวุฒิสภาจะเข้าข่ายตีความกฎหมายแบบฉ้อฉล มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนแถไปเรื่อยๆ
เช่นเดียวกับข้อเสนอการตั้งสภาปฏิรูปโดยไม่รู้ว่าใครมีอำนาจตั้ง หรือใครจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ หรือรับสนองพระบรมราชโองการ
การเสนอตั้งสภาปฏิรูปลอยๆไม่ได้ ขณะนี้ไม่มีสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาออกกฎหมายรับรองสภาปฏิรูปให้มีอำนาจหน้าที่ แม้มีวุฒิสภาก็ไม่ได้มีหน้าที่ออกกฎหมาย ทำได้แค่กลั่นกรองกฎหมาย
จนต้องไปตีความรัฐธรรมนูญโยงให้เป็นหน้าที่ของประธานวุฒิสภา เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการตั้งนายกฯมาตรา 7 ทั้งที่ไม่มีอำนาจทำได้
ขอยืนยันจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายว่าทำไม่ได้ ปิดประตูสำหรับนายกฯมาตรา 7 แต่กลับมีความพยายามฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ จะทำให้ได้
เมื่อตีความเช่นนี้ประเทศชาติมันถึงยุ่ง.
ทีมข่าวการเมือง
http://www.thairath.co.th/content/422049
แต่คุณจรัญ ภักดีธนากุล กรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ทักท้วงว่า ถ้าทำเช่นนี้จะเกิดปัญหาตามมาเยอะเลย อาทิ จะไปหานายกฯจากที่ไหน หากจะเสนอให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่รักษาการแทน ปลัดกระทรวงเป็นเพียงข้าราชการประจำ ไม่สันทัดจัดเจนในด้านนโยบายและทางการเมือง ไม่อยู่ในฐานะที่ทำได้
ในช่วงรักษาการหากจะต้องมาหานายกฯและ ครม.ใหม่ที่เหมาะสมก็เป็นเรื่องยากมาก ควรให้มี ครม.ชุดเก่าทำหน้าที่รักษาการต่อไป
จากข้อความช้างบนจะเห็นว่า ทั้งๆที่ นาย จรัญ เองก็รู้แต่ตอนนี้ก็มากลับกลอกบิดเบือนเหมือนตอนที่บอกให้รับร่างรธณ 50 ไปก่อน
คนพวกนี้ความมีคติอยู่เหนือความถูกต้องและเหตุผลจริงๆ