ชีวประวัติหลวงพ่อพุธ
ศึกษาแนวปฎิบัติของหลวงพ่อพุธได้จาก
http://www.thaniyo.com/news-and-event
http://www.thaniyo.com/2009-05-03-02-45-43
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_poot/lp-poot-index.htm
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=40915
ฟังเสียงพระธรรมเทศนา หรือ download mp3 ได้จาก
http://www.fungdham.com/sound/put.html
---------------------------------------------------------
(บางส่วน)
อาตมาก็ไม่อยากจะพูดอะไรยืดยาวนัก
จะขอนำโอวาทของครูบาอาจารย์เท่าที่จำได้และยึดเป็นหลักปฏิบัติมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้องค์ละข้อ
พระอาจารย์เสาร์ ท่านสอนกรรมฐาน ถ้ามีใครถามว่าอยากจะปฏิบัติกรรมฐานทำอย่างไร
ท่านจะบอกว่า
“พุทโธซิ” “พุทโธแปลว่าอะไร” “อย่าถาม” “ภาวนาพุทโธแล้วจะได้อะไรดีขึ้น”
“ถามไปทำไม ฉันให้ภาวนาพุทโธลูกเดียว”
ทีนี้ถ้าลูกศิษย์ท่านใดรีบปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอย่างผู้ว่าง่าย ไม่ได้ฟังอีร้าค่าอีรมอะไร ไม่ต้องไปสงสัยข้องใจอะไร
ท่านอาจารย์สอนให้ภาวนาพุทโธ ฉันก็พุทโธ พุทโธ ๆๆ ลูกเดียวไม่ต้องสงสัย
ถ้าใครไปตั้งใจปฏิบัติตามโอวาทของท่านอย่างจริงใจ ไม่เกิน ๗ วันต้องมีปัญหามาให้ท่านแก้
บางท่านไปภาวนาพุทโธแล้วจิตสงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน บางทีกระแสจิตส่งออกนอก
เห็นโน่นเห็นนี่ ถ้ามาถามท่าน จิตเป็นอย่างนี้จะผิดหรือถูกประการใด ถ้าหากว่าถูกท่านก็บอกว่า
“เร่งภาวนาเข้า ๆ ให้มันเข้าถึงความเป็นเอง” ถ้าหากมันไม่ถูกต้องส่งออกนอกมากนัก ท่านก็บอกว่าให้พยายามระงับ
อย่าให้มันส่งออกไปมากนัก ถ้าหากพอรั้งเอาไว้ได้ก็ให้รั้งเอาไว้ ถ้ารั้งไม่ได้ก็ให้ปล่อยไปตามธรรมชาติของมัน
ท่านก็สอนอย่างนี้
และอีกประเด็นหนึ่ง ในฐานะที่หลวงพ่อเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์เสาร์องค์สุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบันนี้
ในสมัยที่เป็นสามเณร ไปปรนนิบัติท่าน อยู่ ๆ ท่านก็พูดขึ้นมาเปรย ๆ ว่า
“เวลานี้จิตข้ามันไม่สงบ มันมีแต่ความคิด”
เมื่อเรียนถามท่านว่า
“จิตฟุ้งซ่านหรืออย่างไร ท่านอาจารย์” ท่านก็จะบอกว่า
“ถ้ามันเอาแต่นิ่ง มันก็ไม่ก้าวหน้า
จิตข้ามีแต่ความคิด มันไม่สงบ” พอถามว่า
“ฟุ้งซ่านหรืออย่างไร”
ท่านก็ตอบว่า
“ถ้ามันเอาแต่นิ่งลูกเดียวมันก็ไม่ก้าวหน้า” อันนี้เป็นปัญหาที่ลูกศิษย์นักปฏิบัติจะต้องทำความเข้าใจ
ที่ท่านอาจารย์ท่านว่าอย่างนั้น มันก็ไปได้ในหลักของสมาธิและฌาน ฌานมีอยู่ ๒ อย่าง
อารัมมณูปนิชฌาน
จิตสงบ นิ่ง รู้อยู่ในสิ่ง ๆ เดียว หรือรู้เฉพาะในจิตอย่างเดียว แล้วก็สงบนิ่งละเอียดไป จนกระทั่งถึงจุดร่างกายตัวตนหาย
เหลือแต่จิตดวงเดียว นิ่ง สว่างไสวอยู่เท่านั้น อันนี้เป็นอารัมณูปนิชฌาน เป็นสมาธิในฌานสมาบัติและอีกอันหนึ่ง
ลักขณูปนิชฌาน พอจิตสงบนิ่งลงไปนิดหน่อย มันมีวิตก วิตกก็คือความคิด เมื่อความคิดเกิดขึ้น
สติก็ทำหน้าที่ตามรู้ไปทุกระยะ ถ้าหากสมาธิมีความเข้มข้น สติสัมปชัญญะเข้มแข็ง ความคิดมันก็เกิดเร็วขึ้น ๆ ๆ จนรั้งไม่อยู่
ในช่วงแรก ๆ ความคิดเกิดขึ้น ถ้าจิตไปยึดความคิดมันก็มีความยินดีมีความยินร้าย บางทีก็มีสุขมีทุกข์
บางทีก็หัวเราะไปร้องไห้ไปในจิตในใจ ผู้ปฏิบัติถ้าไม่เข้าใจผิด ปล่อยไปตามครรลองของมัน เราเอาสติตามรู้ไป
พอไปถึงจุด ๆ หนึ่ง จิตมันจะหยุดนิ่งพั๊บลงไป สว่างไสว ร่างกายตัวตนหาย เหลือแต่จิตนิ่งสว่างไสวอยู่ดวงเดียวเท่านั้น
สภาวะอันเป็นอารมณ์และกิเลสทั้งหลายมันจะมาวนเวียนรอบจิตอยู่ตลอดเวลา
พอมาถึงความสว่างของจิต มันจะตกไปๆ เหมือนแมลงบินเข้ากองไฟ อันนี้ความหมายของโอวาทของหลวงปู่เสาร์เป็นอย่างนี้
มันก็ไปตรงกับ
ฐีติภูตัง ของ
หลวงปู่มั่น พอจิตอยู่นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน
สภาวะทั้งหลายอันเป็นสภาวธรรม จะมีปรากฏการณ์เกิดขึ้นดับไป จิตก็รู้ นิ่ง เฉย เป็นกลางโดยเที่ยงธรรม
ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์นั้น ๆ เพราะความยินดีไม่มี ความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ไม่มี จิตคิดขึ้นมารู้แล้วปล่อยวาง ๆ
ไม่ยึดอะไรเป็นปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อน อันนี้หลวงปู่มั่นท่านเรียกว่า ฐีติภูตัง
ฐีติ จิตตั้งมั่น นิ่ง เด่น สว่างไสว ภูตัง สภาวธรรมทั้งหลายปรากฏการณ์ให้จิตรู้อยู่ตลอดเวลา
แต่จิตดำรงอยู่ในความเป็นอิสระโดยเที่ยงธรรม ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์นั้น ๆ
ท่านผู้ฟังทั้งหลาย เราได้ยินคำว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง
ถ้าจิตของเรายังไม่มีสติสัมปชัญญะมั่นคง พอรับรู้อารมณ์อันใดมันหวั่นไหว เกิดความยินดี เกิดความยินร้าย
อันนี้เรียกว่า สังขารา อนิจจา สังขารไม่เที่ยง แต่ถ้าจิตไปถึงจุดที่เรียกว่า ฐีติภูตัง อันนั้นมันเป็น วิสังขาร
พึงทำความเข้าใจคำว่า สังขาร กับ วิสังขาร ตามนัยที่กล่าวมานี้ จิตรับรู้อารมณ์
ถ้าหวั่นไหวเกิดความยินดียินร้าย อันนั้นเรียกว่า สังขารา อนิจจา สังขารไม่เที่ยง
แต่ถ้าหากว่าจิตนิ่งเฉย สว่างไสว อารมณ์อันเป็นปรากฏการณ์หรือสภาวะที่เป็นปรากฎการณ์ให้จิตรู้เห็นตลอดเวลา
แต่จิตไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์นั้น ๆ มีแต่ดำรงอยู่ในความเป็นกลางโดยเที่ยงธรรม ในลักษณะอย่างนี้เรียกว่า วิสังขาร
เพราะอารมณ์ไม่สามารถที่จะปรุงแต่งจิตได้ ฐีติภูตังเป็นภาษารู้ของนักปฏิบัติ ซึ่งอาจจะไม่มีในตำรับตำรา
ทีนี้ถ้าหากเราจะหาตำรามาเป็นเครื่องยืนยัน เราจะเอาอะไรมา มันมีปรากฏอยู่ในสูตร ๆ หนึ่ง สูตรนั้นเริ่มต้นว่า
อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง อุนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง, ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตตา ธัมมะ นิยามะตา
ธัมมัฏฐิตตา เพราะความที่จิตตั้งมั่น นิ่ง เด่น สว่างไสว ธัมมะ นิยามะตา
เพราะความที่สภาวธรรมปรากฏการณ์ให้จิตรู้อยู่ตลอดเวลา อันนี้มีหลักฐานในธัมมนิยามสูตร
ทีนี้ในส่วน อารัมมณูปนิชฌาน ลักขณูปนิชฌาน มีหลักฐานปรากฏอยู่ในคัมภีร์ธรรมบท
ในเรื่อง ราธพราหมณ์ ตอนแก้อรรถกถา ในนั้นท่านอธิบายไว้ว่า คำว่า ฌาน มี ๒ อย่าง อารัมมณูปนิชฌาน จิตรู้ในอารมณ์เดียว
ลักขณูปนิชฌาน จิตสงบแล้วมีความรู้ผุดขึ้น ๆ อย่างกับน้ำพุ พอไปถึงจุด ๆ หนึ่ง นิ่งกิ๊กลงไป สว่างไสว
สภาวะทั้งหลายวนรอบจิตอยู่แล้ว ไม่สามารถไปประทุษร้ายความปกติของจิตได้ อันนี้หลักฐานปรากฏมีชัดเจน
เป็นความหมายของโอวาทของพระอาจารย์เสาร์และพระอาจารย์มั่น
ทีนี้
หลวงปู่เทสก์ ท่านให้โอวาทว่า… คราวหนึ่ง ไปกราบเยี่ยมท่าน พอ กราบเสร็จแล้วท่านก็บอกว่า
“เจ้าคุณมาแล้วก็ดีแล้วจะเว้าอะไรให้ฟัง” หลวงพ่อก็บอกว่า “ถ้าจะเว้าก็รีบเว้า อยากฟังอยู่เหมือนกัน”
เสร็จแล้วท่านก็กล่าวขึ้นมาว่า “สมาธิในฌานมันโง่ สมาธิในอริยมรรคมันฉลาด สมาธิในฌาน จิตสงบนิ่งแล้วรู้ในสิ่ง ๆ เดียว
ความรู้อื่นไม่ปรากฏ แต่สมาธิในอริยมรรค พอจิตสงบแล้วมีความรู้ความคิดผุดขึ้น ๆ อย่างกับน้ำพุ จิตก็มีสติ กำหนดรู้ตามไปทุกระยะ
พอไปถึงจุดหนึ่ง จิตก็จะนิ่งกึ๊กลงไปแล้วสว่างไสว กิเลสทั้งหลายมาวนรอบจิตอยู่ เมื่อมาถึงความสว่างของจิตมันจะตกไป ๆ
เหมือนแมลงบินเข้ากองไฟ" อันนี้เป็นโอวาทของหลวงปู่เทสก์
ทีนี้โอวาทของ
หลวงปู่ฝั้น อย่าปล่อยให้จิตมันอยู่ว่าง คำว่าอย่าปล่อยให้จิตมันอยู่ว่างนี่
เราควรจะทำความเข้าใจอย่างไร เราจะสร้างความคิดให้มันไม่หยุด ยั้งอย่างนั้นหรือ… ไม่ใช่ อย่าไปเข้าใจผิด
คำว่า อย่าปล่อยให้จิตมันอยู่ว่าง คือ ให้มีสติกำหนดรู้จิตตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน
ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติรู้ตัวตลอดเวลา ท่านหมายความว่าอย่างนั้น
โอวาทของ
หลวงปู่แหวน “เจ้า คุณอย่าไปไขว่คว้าอะไรให้มันมากมายนัก
ให้กำหนดสติรู้จิตเพียงอย่างเดียว บาปมันเกิดที่จิต บุญมันเกิดที่จิต ดีชั่วเกิดที่จิต สวรรค์นิพพานเกิดที่จิต มันไม่ได้เกิดที่อื่น
เพราะฉะนั้นเราอยากจะรู้จริงเห็นจริงในธรรมะคำสั่งสอนหรือจะสำเร็จมรรคผล นิพพาน ให้กำหนดสติรู้จิตเพียงอย่างเดียว”
องค์นี้สอนอย่างนี้
หลวงปู่มหาบัว ท่านเล่าเรื่องของท่านให้ฟังว่า “เมื่อก่อนนี้นายบัวเป็นคฤหัสถ์ อยากบวชเป็นพระก็ได้บวชแล้ว
พอบวชเป็นพระแล้วอยากเป็นมหา ไปเรียนกับเขาสอบได้ ๓ ประโยค เอาละ… แค่นี้เขาก็เรียกมหาเหมือนกัน
พอเป็นมหาแล้วอยากเป็นพระนักปฏิบัติก็ได้ปฏิบัติแล้ว พอปฏิบัติแล้วอยากรู้ธรรมเห็นธรรม ก็ได้รู้บ้างตามสมควรแก่ความสามารถ
พอรู้ธรรมเห็นธรรมแล้วอยากเป็นพระอรหันต์ เดี่ยวนี้เลยไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร มันก็เป็นหลวงตาบัวตามเดิมนั่นแหละ”
อันนี้ท่านผู้ฟังจะเข้าใจว่าอย่างไร ถ้าเรามาพิจารณาว่า ท่านผู้ใดสำคัญตนว่าเป็นพระโสดาบัน คนนั้นไม่ใช่
ท่านผู้ใดสำคัญตนว่าเป็นพระสกทาคา อนาคามี อรหันต์ คนนั้นไม่ใช่ เพราะความเป็นพระอรหันต์มันอยู่เหนือสมมติบัญญัติ
ผู้สำเร็จแล้วจะรู้สึกเพียงแค่ว่าตัวหมดกิเลสแล้วเท่านั้น อันนี้เป็นโอวาทของพระอาจารย์มหาบัว
อาตมาเป็นลูกศิษย์หลายครูหลายอาจารย์ ก็จำเอาโอวาทของครูบาอาจารย์องค์ละข้อ
แต่ในเมื่อมาพิจารณาดูแล้ว มันก็เป็นอุปกรณ์ในการปฏิบัติ ทำให้เรารู้ธรรมเห็นธรรมได้บ้างตามสมควรแก่ฐานะ
อ่านคำสอนหลวงพ่อแบบเต็มกัณฑ์เทศน์ได้จาก
http://www.thaniyo.com/news-and-event/2009-09-18-09-37-18
ชวนอ่านและศึกษา – แนวการปฎิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย (ลูกศิษย์องค์สุดท้ายของหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล)
ศึกษาแนวปฎิบัติของหลวงพ่อพุธได้จาก
http://www.thaniyo.com/news-and-event
http://www.thaniyo.com/2009-05-03-02-45-43
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_poot/lp-poot-index.htm
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=40915
ฟังเสียงพระธรรมเทศนา หรือ download mp3 ได้จาก
http://www.fungdham.com/sound/put.html
---------------------------------------------------------
(บางส่วน)
อาตมาก็ไม่อยากจะพูดอะไรยืดยาวนัก
จะขอนำโอวาทของครูบาอาจารย์เท่าที่จำได้และยึดเป็นหลักปฏิบัติมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้องค์ละข้อ
พระอาจารย์เสาร์ ท่านสอนกรรมฐาน ถ้ามีใครถามว่าอยากจะปฏิบัติกรรมฐานทำอย่างไร
ท่านจะบอกว่า “พุทโธซิ” “พุทโธแปลว่าอะไร” “อย่าถาม” “ภาวนาพุทโธแล้วจะได้อะไรดีขึ้น”
“ถามไปทำไม ฉันให้ภาวนาพุทโธลูกเดียว”
ทีนี้ถ้าลูกศิษย์ท่านใดรีบปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอย่างผู้ว่าง่าย ไม่ได้ฟังอีร้าค่าอีรมอะไร ไม่ต้องไปสงสัยข้องใจอะไร
ท่านอาจารย์สอนให้ภาวนาพุทโธ ฉันก็พุทโธ พุทโธ ๆๆ ลูกเดียวไม่ต้องสงสัย
ถ้าใครไปตั้งใจปฏิบัติตามโอวาทของท่านอย่างจริงใจ ไม่เกิน ๗ วันต้องมีปัญหามาให้ท่านแก้
บางท่านไปภาวนาพุทโธแล้วจิตสงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน บางทีกระแสจิตส่งออกนอก
เห็นโน่นเห็นนี่ ถ้ามาถามท่าน จิตเป็นอย่างนี้จะผิดหรือถูกประการใด ถ้าหากว่าถูกท่านก็บอกว่า
“เร่งภาวนาเข้า ๆ ให้มันเข้าถึงความเป็นเอง” ถ้าหากมันไม่ถูกต้องส่งออกนอกมากนัก ท่านก็บอกว่าให้พยายามระงับ
อย่าให้มันส่งออกไปมากนัก ถ้าหากพอรั้งเอาไว้ได้ก็ให้รั้งเอาไว้ ถ้ารั้งไม่ได้ก็ให้ปล่อยไปตามธรรมชาติของมัน
ท่านก็สอนอย่างนี้
และอีกประเด็นหนึ่ง ในฐานะที่หลวงพ่อเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์เสาร์องค์สุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบันนี้
ในสมัยที่เป็นสามเณร ไปปรนนิบัติท่าน อยู่ ๆ ท่านก็พูดขึ้นมาเปรย ๆ ว่า “เวลานี้จิตข้ามันไม่สงบ มันมีแต่ความคิด”
เมื่อเรียนถามท่านว่า “จิตฟุ้งซ่านหรืออย่างไร ท่านอาจารย์” ท่านก็จะบอกว่า “ถ้ามันเอาแต่นิ่ง มันก็ไม่ก้าวหน้า
จิตข้ามีแต่ความคิด มันไม่สงบ” พอถามว่า “ฟุ้งซ่านหรืออย่างไร”
ท่านก็ตอบว่า “ถ้ามันเอาแต่นิ่งลูกเดียวมันก็ไม่ก้าวหน้า” อันนี้เป็นปัญหาที่ลูกศิษย์นักปฏิบัติจะต้องทำความเข้าใจ
ที่ท่านอาจารย์ท่านว่าอย่างนั้น มันก็ไปได้ในหลักของสมาธิและฌาน ฌานมีอยู่ ๒ อย่าง
อารัมมณูปนิชฌาน
จิตสงบ นิ่ง รู้อยู่ในสิ่ง ๆ เดียว หรือรู้เฉพาะในจิตอย่างเดียว แล้วก็สงบนิ่งละเอียดไป จนกระทั่งถึงจุดร่างกายตัวตนหาย
เหลือแต่จิตดวงเดียว นิ่ง สว่างไสวอยู่เท่านั้น อันนี้เป็นอารัมณูปนิชฌาน เป็นสมาธิในฌานสมาบัติและอีกอันหนึ่ง
ลักขณูปนิชฌาน พอจิตสงบนิ่งลงไปนิดหน่อย มันมีวิตก วิตกก็คือความคิด เมื่อความคิดเกิดขึ้น
สติก็ทำหน้าที่ตามรู้ไปทุกระยะ ถ้าหากสมาธิมีความเข้มข้น สติสัมปชัญญะเข้มแข็ง ความคิดมันก็เกิดเร็วขึ้น ๆ ๆ จนรั้งไม่อยู่
ในช่วงแรก ๆ ความคิดเกิดขึ้น ถ้าจิตไปยึดความคิดมันก็มีความยินดีมีความยินร้าย บางทีก็มีสุขมีทุกข์
บางทีก็หัวเราะไปร้องไห้ไปในจิตในใจ ผู้ปฏิบัติถ้าไม่เข้าใจผิด ปล่อยไปตามครรลองของมัน เราเอาสติตามรู้ไป
พอไปถึงจุด ๆ หนึ่ง จิตมันจะหยุดนิ่งพั๊บลงไป สว่างไสว ร่างกายตัวตนหาย เหลือแต่จิตนิ่งสว่างไสวอยู่ดวงเดียวเท่านั้น
สภาวะอันเป็นอารมณ์และกิเลสทั้งหลายมันจะมาวนเวียนรอบจิตอยู่ตลอดเวลา
พอมาถึงความสว่างของจิต มันจะตกไปๆ เหมือนแมลงบินเข้ากองไฟ อันนี้ความหมายของโอวาทของหลวงปู่เสาร์เป็นอย่างนี้
มันก็ไปตรงกับ ฐีติภูตัง ของ หลวงปู่มั่น พอจิตอยู่นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน
สภาวะทั้งหลายอันเป็นสภาวธรรม จะมีปรากฏการณ์เกิดขึ้นดับไป จิตก็รู้ นิ่ง เฉย เป็นกลางโดยเที่ยงธรรม
ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์นั้น ๆ เพราะความยินดีไม่มี ความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ไม่มี จิตคิดขึ้นมารู้แล้วปล่อยวาง ๆ
ไม่ยึดอะไรเป็นปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อน อันนี้หลวงปู่มั่นท่านเรียกว่า ฐีติภูตัง
ฐีติ จิตตั้งมั่น นิ่ง เด่น สว่างไสว ภูตัง สภาวธรรมทั้งหลายปรากฏการณ์ให้จิตรู้อยู่ตลอดเวลา
แต่จิตดำรงอยู่ในความเป็นอิสระโดยเที่ยงธรรม ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์นั้น ๆ
ท่านผู้ฟังทั้งหลาย เราได้ยินคำว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง
ถ้าจิตของเรายังไม่มีสติสัมปชัญญะมั่นคง พอรับรู้อารมณ์อันใดมันหวั่นไหว เกิดความยินดี เกิดความยินร้าย
อันนี้เรียกว่า สังขารา อนิจจา สังขารไม่เที่ยง แต่ถ้าจิตไปถึงจุดที่เรียกว่า ฐีติภูตัง อันนั้นมันเป็น วิสังขาร
พึงทำความเข้าใจคำว่า สังขาร กับ วิสังขาร ตามนัยที่กล่าวมานี้ จิตรับรู้อารมณ์
ถ้าหวั่นไหวเกิดความยินดียินร้าย อันนั้นเรียกว่า สังขารา อนิจจา สังขารไม่เที่ยง
แต่ถ้าหากว่าจิตนิ่งเฉย สว่างไสว อารมณ์อันเป็นปรากฏการณ์หรือสภาวะที่เป็นปรากฎการณ์ให้จิตรู้เห็นตลอดเวลา
แต่จิตไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์นั้น ๆ มีแต่ดำรงอยู่ในความเป็นกลางโดยเที่ยงธรรม ในลักษณะอย่างนี้เรียกว่า วิสังขาร
เพราะอารมณ์ไม่สามารถที่จะปรุงแต่งจิตได้ ฐีติภูตังเป็นภาษารู้ของนักปฏิบัติ ซึ่งอาจจะไม่มีในตำรับตำรา
ทีนี้ถ้าหากเราจะหาตำรามาเป็นเครื่องยืนยัน เราจะเอาอะไรมา มันมีปรากฏอยู่ในสูตร ๆ หนึ่ง สูตรนั้นเริ่มต้นว่า
อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง อุนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง, ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตตา ธัมมะ นิยามะตา
ธัมมัฏฐิตตา เพราะความที่จิตตั้งมั่น นิ่ง เด่น สว่างไสว ธัมมะ นิยามะตา
เพราะความที่สภาวธรรมปรากฏการณ์ให้จิตรู้อยู่ตลอดเวลา อันนี้มีหลักฐานในธัมมนิยามสูตร
ทีนี้ในส่วน อารัมมณูปนิชฌาน ลักขณูปนิชฌาน มีหลักฐานปรากฏอยู่ในคัมภีร์ธรรมบท
ในเรื่อง ราธพราหมณ์ ตอนแก้อรรถกถา ในนั้นท่านอธิบายไว้ว่า คำว่า ฌาน มี ๒ อย่าง อารัมมณูปนิชฌาน จิตรู้ในอารมณ์เดียว
ลักขณูปนิชฌาน จิตสงบแล้วมีความรู้ผุดขึ้น ๆ อย่างกับน้ำพุ พอไปถึงจุด ๆ หนึ่ง นิ่งกิ๊กลงไป สว่างไสว
สภาวะทั้งหลายวนรอบจิตอยู่แล้ว ไม่สามารถไปประทุษร้ายความปกติของจิตได้ อันนี้หลักฐานปรากฏมีชัดเจน
เป็นความหมายของโอวาทของพระอาจารย์เสาร์และพระอาจารย์มั่น
ทีนี้ หลวงปู่เทสก์ ท่านให้โอวาทว่า… คราวหนึ่ง ไปกราบเยี่ยมท่าน พอ กราบเสร็จแล้วท่านก็บอกว่า
“เจ้าคุณมาแล้วก็ดีแล้วจะเว้าอะไรให้ฟัง” หลวงพ่อก็บอกว่า “ถ้าจะเว้าก็รีบเว้า อยากฟังอยู่เหมือนกัน”
เสร็จแล้วท่านก็กล่าวขึ้นมาว่า “สมาธิในฌานมันโง่ สมาธิในอริยมรรคมันฉลาด สมาธิในฌาน จิตสงบนิ่งแล้วรู้ในสิ่ง ๆ เดียว
ความรู้อื่นไม่ปรากฏ แต่สมาธิในอริยมรรค พอจิตสงบแล้วมีความรู้ความคิดผุดขึ้น ๆ อย่างกับน้ำพุ จิตก็มีสติ กำหนดรู้ตามไปทุกระยะ
พอไปถึงจุดหนึ่ง จิตก็จะนิ่งกึ๊กลงไปแล้วสว่างไสว กิเลสทั้งหลายมาวนรอบจิตอยู่ เมื่อมาถึงความสว่างของจิตมันจะตกไป ๆ
เหมือนแมลงบินเข้ากองไฟ" อันนี้เป็นโอวาทของหลวงปู่เทสก์
ทีนี้โอวาทของ หลวงปู่ฝั้น อย่าปล่อยให้จิตมันอยู่ว่าง คำว่าอย่าปล่อยให้จิตมันอยู่ว่างนี่
เราควรจะทำความเข้าใจอย่างไร เราจะสร้างความคิดให้มันไม่หยุด ยั้งอย่างนั้นหรือ… ไม่ใช่ อย่าไปเข้าใจผิด
คำว่า อย่าปล่อยให้จิตมันอยู่ว่าง คือ ให้มีสติกำหนดรู้จิตตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน
ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติรู้ตัวตลอดเวลา ท่านหมายความว่าอย่างนั้น
โอวาทของ หลวงปู่แหวน “เจ้า คุณอย่าไปไขว่คว้าอะไรให้มันมากมายนัก
ให้กำหนดสติรู้จิตเพียงอย่างเดียว บาปมันเกิดที่จิต บุญมันเกิดที่จิต ดีชั่วเกิดที่จิต สวรรค์นิพพานเกิดที่จิต มันไม่ได้เกิดที่อื่น
เพราะฉะนั้นเราอยากจะรู้จริงเห็นจริงในธรรมะคำสั่งสอนหรือจะสำเร็จมรรคผล นิพพาน ให้กำหนดสติรู้จิตเพียงอย่างเดียว”
องค์นี้สอนอย่างนี้
หลวงปู่มหาบัว ท่านเล่าเรื่องของท่านให้ฟังว่า “เมื่อก่อนนี้นายบัวเป็นคฤหัสถ์ อยากบวชเป็นพระก็ได้บวชแล้ว
พอบวชเป็นพระแล้วอยากเป็นมหา ไปเรียนกับเขาสอบได้ ๓ ประโยค เอาละ… แค่นี้เขาก็เรียกมหาเหมือนกัน
พอเป็นมหาแล้วอยากเป็นพระนักปฏิบัติก็ได้ปฏิบัติแล้ว พอปฏิบัติแล้วอยากรู้ธรรมเห็นธรรม ก็ได้รู้บ้างตามสมควรแก่ความสามารถ
พอรู้ธรรมเห็นธรรมแล้วอยากเป็นพระอรหันต์ เดี่ยวนี้เลยไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร มันก็เป็นหลวงตาบัวตามเดิมนั่นแหละ”
อันนี้ท่านผู้ฟังจะเข้าใจว่าอย่างไร ถ้าเรามาพิจารณาว่า ท่านผู้ใดสำคัญตนว่าเป็นพระโสดาบัน คนนั้นไม่ใช่
ท่านผู้ใดสำคัญตนว่าเป็นพระสกทาคา อนาคามี อรหันต์ คนนั้นไม่ใช่ เพราะความเป็นพระอรหันต์มันอยู่เหนือสมมติบัญญัติ
ผู้สำเร็จแล้วจะรู้สึกเพียงแค่ว่าตัวหมดกิเลสแล้วเท่านั้น อันนี้เป็นโอวาทของพระอาจารย์มหาบัว
อาตมาเป็นลูกศิษย์หลายครูหลายอาจารย์ ก็จำเอาโอวาทของครูบาอาจารย์องค์ละข้อ
แต่ในเมื่อมาพิจารณาดูแล้ว มันก็เป็นอุปกรณ์ในการปฏิบัติ ทำให้เรารู้ธรรมเห็นธรรมได้บ้างตามสมควรแก่ฐานะ
อ่านคำสอนหลวงพ่อแบบเต็มกัณฑ์เทศน์ได้จาก
http://www.thaniyo.com/news-and-event/2009-09-18-09-37-18