หลวงตามหาบัวบรรลุพระอรหันต์ อวิชชาขาดสะบั้นหั่นแหลก
ท่านพระอาจารย์หลวงตา ได้เมตตาเล่าไว้ว่า…
หลังกลับจากการถวายเพลิงสรีระสังขารของท่านพระอาจารย์มั่น ณ วัดป่าสุทธาวาท จังหวัดสกลนคร…
ท่านได้ขึ้นไปภาวนาบนหลังเขา ณ วัดดอยธรรมเจดีย์…
จิตเกิดความสว่างไสวจ้า ทะลุทะลวงไปหมด…
เกิดอัศจรรย์ในความสว่างไสวภายในจิตของตนเอง…
พอรู้ว่าจิตอัศจรรย์นักหนาอย่างนี้…
ขณะจิตหนึ่ง ผุดขึ้นมาอย่างไม่คาดฝันว่า…
“ถ้ามีจุดมีต่อมของผู้รู้อยู่ที่ไหน… นั่นแลคือภพ”
ทำให้ท่านงง… เป็นไก่ตาแตก…
แทนที่จะได้อุบายนั้นแก้ปัญหา…
กลับเพิ่มความสงสัยขึ้นมาอีก…
แบกปัญหานั้นอยู่ในจิต… ปล่อยวางไม่ได้…
จุดสว่างในจิตนั้น… ก็คือจุดคือต่อมแห่งผู้รู้นั่นเอง…
ดวงจิตรู้ๆ นั่นแล… คือตัวภพ…
เมื่อพิจารณารู้ทีหลังว่า… อุบายนี้เป็นอุบายที่ถูกต้องจริงๆ…
แต่เพราะขาดปัญญา… จึงไม่รู้ทันอุบายที่ผุดขึ้นมาบอกนี้…
เมื่อถึงเวลาที่จะรู้… มันรู้หมด…
รูป… เสียง… กลิ่น… รส… สัมผัส… ทั่วโลกธาตุ…
มันรู้หมด… เข้าใจหมด… และปล่อยวางได้หมด…
มันไม่สนใจพิจารณา… แม้แต่รูป… เวทนา… สัญญา… สังขาร… วิญญาณ…
มันสนใจเฉพาะความรู้ที่เด่นดวง…
กับเวทนาส่วนละเอียดภายในจิตเท่านั้น…
พิจารณาไป… พิจารณามา…
ก็ทราบว่า… จุดที่ว่านี้… มันก็ยังเป็นสมมุติ…
จะสง่าผ่าเผยขนาดไหน… ก็อยู่ในวงของสมมุติ…
จะสว่างกระจ่างแจ้งเพียงไร… ก็ยังอยู่ในวงของสมมุติ…
เพราะ… อวิชชายังมีอยู่ในนั้น…
ท่านแบกปัญหานี้อยู่ถึงแปดเดือน…
เพราะไม่มีครูบาอาจารย์ให้คำแนะนำ…
เหมือนกับตอนที่ท่านพระอาจารย์มั่นยังมีชีวิตอยู่…
หลวงตาท่านว่า… อวิชชานั้น… มันละเอียดมาก…
มันอยู่กับจิต… เหมือนโจรที่แฝงตัวอยู่ในบ้าน…
สิ่งที่มีคุณค่า… มันอยู่ใต้อำนาจของอวิชชา…
อวิชชามันครอบไว้หมด…
ตัวผ่องใส… สง่า… ผ่าเผย… องอาจกล้าหาญ…
มันก็เป็นตัวอวิชชา…
ต้องนำสติปัญญามาใช้… ให้อวิชชาแตกกระจายลงไป…
“อวิชชานั่นแล… คือตัวสมมุติ…”
จุดแห่งความเด่นดวงในจิต…
ก็แสดงอาการลุ่มๆ ดอนๆ… ตามขั้นแห่งความละเอียดของจิต…
เศร้าหมองบ้าง… ผ่องใสบ้าง… ทุกข์บ้าง… สุขบ้าง…
ต้องใช้สติปัญญา… จ่อต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา…
ไม่ลดละความพยายาม…
และแล้ว… ความรู้ชนิดหนึ่ง… ที่ไม่คาดไม่ฝัน… ผุดขึ้นในใจ…
“ความเศร้าหมองก็ดี… ผ่องใสก็ดี… ทุกข์ก็ดี… สุขก็ดี…
เหล่านี้… เป็นสมมุติทั้งสิ้น… และเป็นอนัตตาทั้งมวล…”
พอธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตาผุดขึ้นมา…
จับได้ปุบทันที… มันก็… ผึง! …เลย
“อนัตตาผุด… วิมุตติเกิด…”
จากนั้น… อวิชชาก็ม้วนไปเลย…
ก่อนนั้น… ไม่รู้วิธี… จับไม่ได้…
พอรู้ว่า… ธรรมเหล่านี้เป็นสมมุติ… เป็นอนัตตาเท่านั้นแล…
จิตที่ถูกอวิชชาครอบงำอยู่นั้น…
ก็เป็นสมมุติ… ที่ควรปล่อยวางโดยถ่ายเดียว…
“ขณะจิต… สติ… ปัญญา… ทั้งสาม…
เป็นอุเบกขามัธยัสถ์นั้นแล…
เป็นขณะที่โลกธาตุภายในจิต…
อันมีอวิชชาเป็นผู้เรืองอำนาจ…
ได้กระเทือน… และขาดสะบั้นบรรลัย…
จากบัลลังก์คือใจ… กลายเป็น… วิสุทธิจิต… ขึ้นมาแทนที่…”
ในขณะเดียวกันนั้นเอง…
อวิชชาขาดสะบั้นหั่นแหลก…
แตกกระจัดกระจายหายจากลงไป…
ด้วยอำนาจสติปัญญาอันเกรียงไกร…
ตัดสินความบนศาลสถิตยุติธรรม…
โดยวิมุตติญาณทัสนะเป็นผู้ตัดสิน…
มัชฌิมาปฏิปทามรรคอริยสัจ… เป็นฝ่ายชนะโดยสิ้นเชิง…
สมุทัยอริยสัจ… แพ้น็อกแบบหามลงเปล…
ไม่มีทางฟื้นตัว… ตลอดอนันตกาล…
เกิดความอัศจรรย์ล้นโลก…
อุทานออกมาว่า…
“โอ้โหๆ ! อัศจรรย์หนอๆ…”
แต่ก่อนนี้… พระพุทธเจ้า… พระธรรม… พระสงฆ์สาวก…
อยู่ที่ไหนหนอ…
บัดนี้… ธรรมแท้… ธรรมอัศจรรย์เกินคาดนี้…
องค์สรณะอันแสนอัศจรรย์นี้…
มาอยู่ที่จิต… เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิต… ได้อย่างไร…
โอ้โห!… ธรรมะแท้… พุทธะแท้… สังฆะแท้… เป็นอย่างนี้หรือ…
ไม่อยู่กับความคาดหมายด้นเดาใดๆ…
แต่เป็นความจริงล้วนๆ…
อยู่กับความจริงล้วนๆ… อย่างเดียว…
หลังชุลมุนวุ่นวายกับกิเลส…
อย่างเอาจริงเอาจัง… อย่างถึงใจ…
เอาเป็นเอาตายเข้าว่า… อยู่ถึง ๙ ปี…
ตั้งแต่พรรษาที่ ๗… ถึงพรรษาที่ ๑๖…
จนธรรมประจักษ์ใจ… หายสงสัย…
เรื่องภพชาติเกิดแก่เจ็บตาย…
กิเลส ตัณหา อาสวะ ทุกประเภท…
ได้ขาดกระเด็นจากใจ…
ในคืนแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๖…
ตรงกับวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓…
เวลา ๕ ทุ่มเป๋ง…
ใจได้เปิดเผยโลกธาตุให้เห็นอย่างชัดเจน…
เกิดความสลดสังเวชใจ… ในนามความเป็นมาของตน…
น้ำตาร่วง… ตลอดทั้งคืน…
ที่แบกหามกองทุกข์… ไม่มีเวลาปล่อยวาง…
ตายไปแล้ว… ก็แบกอีก…
คืนนั้น… ไม่ได้หลับ… ไม่นอน…
ได้เห็นคุณค่าของจิตใจ…
ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยคิดว่า…
จิตใจจะมีคุณค่ามหัศจรรย์ถึงเพียงนี้…
เหลืออยู่แต่… ธรรมล้วนๆ… จิตล้วนๆ…
ที่เป็นจิตบริสุทธิ์…
หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว…
ใจที่เคยมืดบอด… สว่างจ้า… ครอบโลกธาตุ…
หายสงสัยในธรรมของพระพุทธเจ้า…
การปฏิบัติธรรม… จนปล่อยวางได้หมดโดยสิ้นเชิงแล้ว…
ไม่ต้องพึ่งใครอีกต่อไป…
แม้แต่พระพุทธเจ้า…
ท่านก็หมดภาระรับผิดชอบเราแล้ว…
เพราะเราพึ่งตนเอง… คือพึ่งธรรม… ได้แล้ว…
หลวงตามหาบัวบรรลุพระอรหันต์ อวิชชาขาดสะบั้นหั่นแหลก
ท่านพระอาจารย์หลวงตา ได้เมตตาเล่าไว้ว่า…
หลังกลับจากการถวายเพลิงสรีระสังขารของท่านพระอาจารย์มั่น ณ วัดป่าสุทธาวาท จังหวัดสกลนคร…
ท่านได้ขึ้นไปภาวนาบนหลังเขา ณ วัดดอยธรรมเจดีย์…
จิตเกิดความสว่างไสวจ้า ทะลุทะลวงไปหมด…
เกิดอัศจรรย์ในความสว่างไสวภายในจิตของตนเอง…
พอรู้ว่าจิตอัศจรรย์นักหนาอย่างนี้…
ขณะจิตหนึ่ง ผุดขึ้นมาอย่างไม่คาดฝันว่า…
“ถ้ามีจุดมีต่อมของผู้รู้อยู่ที่ไหน… นั่นแลคือภพ”
ทำให้ท่านงง… เป็นไก่ตาแตก…
แทนที่จะได้อุบายนั้นแก้ปัญหา…
กลับเพิ่มความสงสัยขึ้นมาอีก…
แบกปัญหานั้นอยู่ในจิต… ปล่อยวางไม่ได้…
จุดสว่างในจิตนั้น… ก็คือจุดคือต่อมแห่งผู้รู้นั่นเอง…
ดวงจิตรู้ๆ นั่นแล… คือตัวภพ…
เมื่อพิจารณารู้ทีหลังว่า… อุบายนี้เป็นอุบายที่ถูกต้องจริงๆ…
แต่เพราะขาดปัญญา… จึงไม่รู้ทันอุบายที่ผุดขึ้นมาบอกนี้…
เมื่อถึงเวลาที่จะรู้… มันรู้หมด…
รูป… เสียง… กลิ่น… รส… สัมผัส… ทั่วโลกธาตุ…
มันรู้หมด… เข้าใจหมด… และปล่อยวางได้หมด…
มันไม่สนใจพิจารณา… แม้แต่รูป… เวทนา… สัญญา… สังขาร… วิญญาณ…
มันสนใจเฉพาะความรู้ที่เด่นดวง…
กับเวทนาส่วนละเอียดภายในจิตเท่านั้น…
พิจารณาไป… พิจารณามา…
ก็ทราบว่า… จุดที่ว่านี้… มันก็ยังเป็นสมมุติ…
จะสง่าผ่าเผยขนาดไหน… ก็อยู่ในวงของสมมุติ…
จะสว่างกระจ่างแจ้งเพียงไร… ก็ยังอยู่ในวงของสมมุติ…
เพราะ… อวิชชายังมีอยู่ในนั้น…
ท่านแบกปัญหานี้อยู่ถึงแปดเดือน…
เพราะไม่มีครูบาอาจารย์ให้คำแนะนำ…
เหมือนกับตอนที่ท่านพระอาจารย์มั่นยังมีชีวิตอยู่…
หลวงตาท่านว่า… อวิชชานั้น… มันละเอียดมาก…
มันอยู่กับจิต… เหมือนโจรที่แฝงตัวอยู่ในบ้าน…
สิ่งที่มีคุณค่า… มันอยู่ใต้อำนาจของอวิชชา…
อวิชชามันครอบไว้หมด…
ตัวผ่องใส… สง่า… ผ่าเผย… องอาจกล้าหาญ…
มันก็เป็นตัวอวิชชา…
ต้องนำสติปัญญามาใช้… ให้อวิชชาแตกกระจายลงไป…
“อวิชชานั่นแล… คือตัวสมมุติ…”
จุดแห่งความเด่นดวงในจิต…
ก็แสดงอาการลุ่มๆ ดอนๆ… ตามขั้นแห่งความละเอียดของจิต…
เศร้าหมองบ้าง… ผ่องใสบ้าง… ทุกข์บ้าง… สุขบ้าง…
ต้องใช้สติปัญญา… จ่อต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา…
ไม่ลดละความพยายาม…
และแล้ว… ความรู้ชนิดหนึ่ง… ที่ไม่คาดไม่ฝัน… ผุดขึ้นในใจ…
“ความเศร้าหมองก็ดี… ผ่องใสก็ดี… ทุกข์ก็ดี… สุขก็ดี…
เหล่านี้… เป็นสมมุติทั้งสิ้น… และเป็นอนัตตาทั้งมวล…”
พอธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตาผุดขึ้นมา…
จับได้ปุบทันที… มันก็… ผึง! …เลย
“อนัตตาผุด… วิมุตติเกิด…”
จากนั้น… อวิชชาก็ม้วนไปเลย…
ก่อนนั้น… ไม่รู้วิธี… จับไม่ได้…
พอรู้ว่า… ธรรมเหล่านี้เป็นสมมุติ… เป็นอนัตตาเท่านั้นแล…
จิตที่ถูกอวิชชาครอบงำอยู่นั้น…
ก็เป็นสมมุติ… ที่ควรปล่อยวางโดยถ่ายเดียว…
“ขณะจิต… สติ… ปัญญา… ทั้งสาม…
เป็นอุเบกขามัธยัสถ์นั้นแล…
เป็นขณะที่โลกธาตุภายในจิต…
อันมีอวิชชาเป็นผู้เรืองอำนาจ…
ได้กระเทือน… และขาดสะบั้นบรรลัย…
จากบัลลังก์คือใจ… กลายเป็น… วิสุทธิจิต… ขึ้นมาแทนที่…”
ในขณะเดียวกันนั้นเอง…
อวิชชาขาดสะบั้นหั่นแหลก…
แตกกระจัดกระจายหายจากลงไป…
ด้วยอำนาจสติปัญญาอันเกรียงไกร…
ตัดสินความบนศาลสถิตยุติธรรม…
โดยวิมุตติญาณทัสนะเป็นผู้ตัดสิน…
มัชฌิมาปฏิปทามรรคอริยสัจ… เป็นฝ่ายชนะโดยสิ้นเชิง…
สมุทัยอริยสัจ… แพ้น็อกแบบหามลงเปล…
ไม่มีทางฟื้นตัว… ตลอดอนันตกาล…
เกิดความอัศจรรย์ล้นโลก…
อุทานออกมาว่า…
“โอ้โหๆ ! อัศจรรย์หนอๆ…”
แต่ก่อนนี้… พระพุทธเจ้า… พระธรรม… พระสงฆ์สาวก…
อยู่ที่ไหนหนอ…
บัดนี้… ธรรมแท้… ธรรมอัศจรรย์เกินคาดนี้…
องค์สรณะอันแสนอัศจรรย์นี้…
มาอยู่ที่จิต… เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิต… ได้อย่างไร…
โอ้โห!… ธรรมะแท้… พุทธะแท้… สังฆะแท้… เป็นอย่างนี้หรือ…
ไม่อยู่กับความคาดหมายด้นเดาใดๆ…
แต่เป็นความจริงล้วนๆ…
อยู่กับความจริงล้วนๆ… อย่างเดียว…
หลังชุลมุนวุ่นวายกับกิเลส…
อย่างเอาจริงเอาจัง… อย่างถึงใจ…
เอาเป็นเอาตายเข้าว่า… อยู่ถึง ๙ ปี…
ตั้งแต่พรรษาที่ ๗… ถึงพรรษาที่ ๑๖…
จนธรรมประจักษ์ใจ… หายสงสัย…
เรื่องภพชาติเกิดแก่เจ็บตาย…
กิเลส ตัณหา อาสวะ ทุกประเภท…
ได้ขาดกระเด็นจากใจ…
ในคืนแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๖…
ตรงกับวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓…
เวลา ๕ ทุ่มเป๋ง…
ใจได้เปิดเผยโลกธาตุให้เห็นอย่างชัดเจน…
เกิดความสลดสังเวชใจ… ในนามความเป็นมาของตน…
น้ำตาร่วง… ตลอดทั้งคืน…
ที่แบกหามกองทุกข์… ไม่มีเวลาปล่อยวาง…
ตายไปแล้ว… ก็แบกอีก…
คืนนั้น… ไม่ได้หลับ… ไม่นอน…
ได้เห็นคุณค่าของจิตใจ…
ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยคิดว่า…
จิตใจจะมีคุณค่ามหัศจรรย์ถึงเพียงนี้…
เหลืออยู่แต่… ธรรมล้วนๆ… จิตล้วนๆ…
ที่เป็นจิตบริสุทธิ์…
หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว…
ใจที่เคยมืดบอด… สว่างจ้า… ครอบโลกธาตุ…
หายสงสัยในธรรมของพระพุทธเจ้า…
การปฏิบัติธรรม… จนปล่อยวางได้หมดโดยสิ้นเชิงแล้ว…
ไม่ต้องพึ่งใครอีกต่อไป…
แม้แต่พระพุทธเจ้า…
ท่านก็หมดภาระรับผิดชอบเราแล้ว…
เพราะเราพึ่งตนเอง… คือพึ่งธรรม… ได้แล้ว…