บล.กรุงศรี : SCC แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน ที่ 510.00 บ. (ลงแรง...ซื้อดีไหม?)

กระทู้สนทนา
บล.กรุงศรี : SCC แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน ที่ 510.00 บ.



ผลประกอบการ 1Q57 ต่ำกว่าคาด 8%
ผลประกอบการ 1Q57 ลดลง YoY และต่ำกว่าคาด 8%   
           SCC รายงานกำไรสุทธิ 1Q57 ที่ 8.4 พันล้านบาท (-5%YoY และ +5%QoQ) ต่ำกว่าคาด 8% มีเพียงธุรกิจปูนซิเมนต์ที่แสดงผลประกอบการเติบโตทั้ง YoY และ QoQ โดยการลดลง YoY เนื่องจากปริมาณขายโอลิฟินส์กลุ่มปิโตรเคมีลดลง YoY กอปรกับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม และเงินปันผลลดลง YoY แต่ผลประกอบการที่ยังเติบโต QoQ เนื่องจากปริมาณขายปูนซิเมนต์ในประเทศเติบโต QoQ และการฟื้นตัวของธุรกิจกระดาษในด้านปริมาณขายของทั้งกระดาษบรรจุหีบห่อและกระดาษ Fibrous รายละเอียดผลประกอบการ 1Q57 ของแต่ละธุรกิจหลักเป็นดังนี้
          1.ธุรกิจปูนซิเมนต์และธุรกิจวัสดุก่อสร้าง (37% ของรายได้รวม) มีกำไรสุทธิ 4.1 พันล้านบาท (+2%YoY และ +25%QoQ) เติบโต QoQ จากปัจจัยด้านฤดูกาลที่ไตรมาส 1 เป็นระดับสูงสุดของปี โดยความต้องการใช้ปูนซิเมนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น 4%YoY สวนทางกับวัสดุก่อสร้างลดลง YoY โดยเฉพาะกระเบื้องปูพื้นและผนัง (-6%YoY) และวัสดุอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับหลังคาและผนัง (-9%YoY) เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองและการชะลอตัวของกำลังซื้อภาคการเกษตร ส่วนผลประกอบที่เติบโต YoY เป็นผลจาก (i) ราคาขายในประเทศปรับสูงต่อเนื่องจากปลายปี 56 ขณะที่การส่งออกปูนซิเมนต์ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของตลาดส่งออกในประเทศเพื่อนบ้านทั้งอินโดนีเซีย (+4%YoY), กัมพูชา (+11%YoY) และ เมียนมาร์ (+22%YoY) และการปรับเพิ่มราคาส่งออกขึ้น 4%YoY และ (ii) การรวมงบการเงินของ Prime Group ในเวียดนามตั้งแต่ 2Q56 ส่งผลให้ปริมาณขายกระเบื้องปูพื้นและผนังของกลุ่ม SCC ในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้น 39%YoY
           2.ธุรกิจปิโตรเคมี (50% ของรายได้รวม) มีกำไรสุทธิ 2.5 พันล้านบาท (-6%YoY, +11%QoQ) ลดลง YoY เนื่องจาก (i) บันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 1.1 พันล้านบาทใน 1Q56 ในขณะที่บันทึกขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 100 ล้านบาทใน 1Q57 และ (ii) ปริมาณขายโอลิฟินส์ลดลง 2%YoY เหลือ 4.38 แสนตันเนื่องจากระดับสต๊อกสินค้าลดลงหลังจากปิดซ่อมบำรุงโรงงานมาบตาพุดโอลิฟินส์ 45 วันและเพิ่งกลับมาผลิตอีกครั้งในปลายเดือน ธ.ค. 56 แต่เติบโต QoQ เนื่องจาก (i) ปริมาณขายโอลิฟินส์เพิ่มขึ้น 18%QoQ จากช่วง 4Q56 ได้รับผลกระทบจากปิดซ่อมบำรุงโรงงาน และ (ii) ส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์หลักสูงขึ้น QoQ ทั้ง HDPE-Naphtha (+19%YoY และ +5QoQ) และ Polypropylene-Naphtha (+8%YoY และ +5%QoQ) ราคา HDPE และ Polypropylene เพิ่มขึ้นจากการ Restocking ของผู้ผลิตพลาสติกในจีนและต้นทุน Naphtha ที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเนื่องจากปัญหาการคว่ำบาตรอิหร่านที่บรรเทาลงและลดลงตามราคา LPG ที่มีอุปสงค์ลดลงหลังใกล้สิ้นสุดฤดูหนาว
          3.ธุรกิจกระดาษ (13% ของรายได้รวม) มีกำไรสุทธิ 1.3 พันล้านบาท (-6%YoY, +197%QoQ) เติบโต QoQ ตามปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของทั้งกระดาษ Fibrous (+13%QoQ) ที่อุปสงค์ฟื้นตัวขึ้นจากปลายปี 56 และกระดาษบรรจุหีบห่อ (+1%QoQ) จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค

คงประมาณการผลประกอบการปี 57            
           เราคาดการณ์กำไรสุทธิในปี 57 จะเติบโต 12%YoY จากรายได้รวมโต 13%YoY ที่ 4.89 แสนล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 17% เพิ่มขึ้นจาก 16.4% ในปี 56 จากส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่สูงขึ้น โดยรายได้ของทั้งกลุ่มบริษัทยังมีแนวโน้มเติบตามธุรกิจปิโตรเคมีและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ของธุรกิจปิโตรเคมีจะเติบโตต่อเนื่อง YoY โดยคงสมมติฐานส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์หลักสำหรับปี 57 โดยที่ HDPE-Naphtha เท่ากับ US$650 ต่อตัน (+15%YoY) และ Polypropylene-Naphtha เท่ากับ US$620 ต่อตัน (+4%YoY) กอปรกับปริมาณขายจะปรับตัวสูงขึ้นหลังจากโรงงานปิโตรเคมีทั้งสองแห่งดำเนินการผลิตได้อย่างเต็มที่เพื่อป้อนอุปสงค์ที่จะเพิ่มขึ้นสูงสุดในไตรมาส 3 ของทุกปี และเรายังคงมุมมองอนุรักษ์ต่อธุรกิจปูนซิเมนต์และวัสดุก่อสร้าง มีเราตั้งสมมติฐานการเติบโตของรายได้จากกลุ่มนี้ที่ 2%YoY หลังงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศครั้งใหญ่ชะลอออกไปอย่างไม่มีกำหนดและแนวโน้มอัตราเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลง

คงคำแนะนำ "ซื้อ" ลงทุนระยะยาวจากความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจต่ำกว่ากลุ่ม  
           ด้วย 1) โครงสร้างรายได้มีการกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจปิโตรเคมีช่วยลดความผันผวนของธุรกิจปูนซิเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่มีแนวโน้มยอดขายในประเทศเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงและต้องหวังพึ่งการขายในประเทศเพื่อนบ้านให้เพิ่มมากขึ้นซึ่งล่าสุดบริษัทประกาศแผนตั้งโรงงานปูนซิเมนต์ในลาว (มูลค่าลงทุน 10 พันล้านบาท) กำหนดเริ่มต้นการผลิตใน 2Q60, 2) การซื้อกิจการในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่องช่วยกระจายความเสียงดำเนินธุรกิจโดยรวมของบริษัทและ 3) การเพิ่มสัดส่วนของสินค้า High value-added ของกลุ่มธุรกิจช่วยเพิ่มอัตราการทำกำไรในระยะยาวของบริษัทซึ่งในปี 56 สัดส่วนขยับสูงขึ้นเป็น 35% ของรายได้รวมจาก 4% ในปี 47 นอกจากราคาหุ้นปัจจุบัน (12.8xP/E'57) ยังคงถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีที่ 15x เราคงมูลค่าพื้นฐานที่ 510 บาท อิงจากวิธี DCF (WACC 10.5% และ Terminal Growth Rate 3.5%)

           Chatree Srismaicharoen Registration No. 18092
           Chatree.Srismaicharoen@krungsrisecurities.com
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่