วิบากกรรม ของนัก (อยากจะ) เขียนนิยาย

กระทู้สนทนา
วิบากกรรมของ   นัก  (อยากจะ)  เขียนนิยาย

เขาว่า จงทำในสิ่งที่คุณชอบ  และรักในสิ่งที่คุณทำ  Do what you like,   love what you do   
ฉันเห็นด้วยกับที่เขาว่า  ไม่ใช่แค่ร้อยเปอร์เซ็นต์   แต่ล้านเปอร์เซ็นต์ เลยแหละคุณ เพราะถ้าให้ฉันซึ่งถนัดกับการเขียนเรื่องสั้น  ไปถักโคเชต์ผ้าเช็ดหน้ากว่าจะได้ริมผ้าเช็ดหน้าที่โย้ไม่ได้เรื่อง คงใช้เวลาเป็นวัน แต่ถ้าให้ฉันเขียนเรื่องสั้นสักเรื่อง เดี๋ยวเดียวก็จบ นี่พูดจริงๆนะคะ ไม่ได้โม้  

หลังจากเขียนเรื่องสั้นมาสักพัก   ฉันก็หันมาเขียนนิยาย    ใฝ่ฝันมานานแล้ว    อยากจะเขียนนิยายดีๆ  อย่างนักเขียนในดวงใจ   ไม่ว่าทั้งไทยและเทศ     จะว่าอัพเกรดตัวเองก็คงไม่ผิด   

อาจจะเป็นเพราะว่าความฝันของคนเรานั้น   มักจะเริ่มต้นเล็กๆ   แล้วก้าวไปสู่ความฝันที่ใหญ่กว่า    คงไม่มีใครเริ่มต้นด้วยบีเอ็มดับเบิ้ลยู     แล้วไปจบลงด้วยโฟล์คสวาเกน   เห็นมีแต่เริ่มต้นด้วยโฟล์คสวาเกน    แล้วไปจบที่บีเอ็ม

ก่อนลงมือเขียนนิยาย   ฉันมั่นใจเต็มร้อย  เรื่องสั้นก็เขียนมาแล้ว    ก็อีแค่นิยาย ยังไงเสีย  คงไม่พ้นความสามารถของฉันไปได้หรอกน่า
อนิจจา  แต่พอลงมือเข้าจริงๆ   ฉันจึงได้รู้ว่าการเขียนนิยาย   ไม่ได้ง่ายๆอย่างที่คิด   เพราะนิยายมีองค์ประกอบที่ยุ่งยากกว่า   ฉาก   บทสนทนา     อารมณ์ต้องต่อเนื่อง  ทุกอย่างต้องลงตัว   แต่เจ้าสิ่งที่ว่ามา  ฉันยังด้อย และขาด   ก็เลยเกิดปัญหา
และปัญหาของฉันไม่ได้หยุดแค่เรื่องบทสนทนา     หรือว่าฉาก   แต่เขียนๆไปแล้วดันสะดุดหัวคะมำ   ไม่ใช่ว่านึกไม่ออก     แต่ดันลืมว่าเขียนอะไรไปบ้าง   

ไม่ทราบว่าคุณเคยเป็นอย่างฉันหรือเปล่า
ตื่นเช้าขึ้นมาจะแปรงฟัน  เอาแปรงสีฟันเสียบข้างหู   พอจะแปรงฟัน  หาแปรงสีฟันไม่เจอ   ก็ร้องโวยวายลั่นบ้าน
“แปรงสีฟันไปไหน  ใครเอา แปรงสีฟันฉันไปซ่อน    เอาคืนมาซะดีๆ   ”

ตัวเองขี้ลืมอย่างที่บอกก็จริง  แต่เวลาเขียนหนังสือ กลับใจร้อนราวกับวัยรุ่น    แทนที่จะเขียนนิยายเรื่องเดียวจบ  แล้วต่อเรื่องใหม่อย่างที่หลายคนเขาทำกัน   ดันเขียนหลายเรื่อง หลายรสพร้อมๆกัน   เพราะเล็งเห็นแล้วว่า   ความต้องการของแต่ละสำนักพิมพ์ต่างกัน
นิยายที่เราว่าเราเขียนดีแล้ว  อาจจะไม่ถูกจิตของสำนักพิมพ์นี้   แต่สำนักพิมพ์อื่นเห็นเข้า อาจจะปิ๊ง   ดังนั้นการที่เขียนหลายๆเรื่อง   แทนที่จะเป็นเรื่องเดียว   และส่งไปหลายๆสำนักพิมพ์  แทนที่จะแค่สำนักพิมพ์เดียว   โอกาสที่เรื่องจะได้ลง
ย่อมมีความเป็นไปได้มากกว่า  
แถมการเขียนหลายๆเรื่องในเวลาเดียวกัน    ข้อดีที่ตามมาก็คือ  พอเรื่องหนึ่งติดขัด  เราก็พัก  แล้วก็กระโดดไปอีกเรื่อง    การเขียนก็ไม่หยุดชะงัก  ซ้ำไหลลื่นเหมือนแม่น้ำฮวงโหตอนน้ำหลาก  

คิดนะเข้าที   แต่ลงมือเข้าจริงๆ   กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า     เพราะมัวแต่กระโดดจากเรื่องนี้   ไปสู่เรื่องนั้น   สุดท้ายก็เลยไม่จบสักเรื่อง   แถมที่แย่ไปกว่านั้น    ฉันยังสับสน  งงงัน   เอาเรื่องนั้นมาใส่เรื่องนี้    แม้แต่ชื่อพระนางยังสลับกันให้วุ่น   

เขาว่า  ทุกปัญหาล้วนมีทางแก้    แม้จะเขว  และเป๋ไปบ้าง   สุดท้ายฉันก็แก้ไขปัญหาของตัวเอง  ด้วยการเก็บนิยายหลายต่อหลายเรื่อง ที่เขียนไปเรื่องละไม่กี่บทเข้าแฟ้มไว้ก่อน   และหันมามุ่งมั่นกับสองเรื่องเอก    ที่เหลืออีกไม่กี่บทก็จะจบ     ( ?  )
  สองแนว    สองรส   
  ถ้าเธอตบฉันจูบ    กับ  วงแหวนมรณะ   

“ ถ้าเธอตบฉันจูบ “     นิยาย แนวฮิต   ถูกจิตคนไทย    พระเอกปากร้าย   ป่าเถื่อน    ชื่อ  กล้าณรงค์   นางเอก  ชื่อ ดาวจรัสแสง
“ วงแหวนมรณะ ”   นิยายแนวไซ-ไฟ       พระเอกของเรื่อง    ชื่อ   สาป  (ส่ง)    นางเอก ชื่อ     สวย  ( ไม่เสร็จ)     

แต่ขนาดว่า   เขียนสลับไปมาแค่สองเรื่อง  ก็ยังไม่วายลืมหลง   หลายครั้งหลายหน  ส่งผลให้ กล้าณรงค์  กับ  ดาวจรัสแสง   เดินทางด้วยไทม์แมชชีน   ไปสู่โลกในอดีต
ส่วน   สาป   ก็ลาก สวย   ถูลู่ถูกังเข้าป่า   พาไปทำร้ายหัวใจที่กระท่อมใกล้ๆกับภูเขา   (  คนละกระท่อม กับ  คุณอาฉลอง   นะคะ)

เขียนมาถึงตอนนี้  ท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่า   ลำบากนัก  ก็เลิกเขียนซะไป๊    แล้วไปหาอะไรทำที่ตัวเองถนัดดีกว่า
ใช่ว่า  คนเขียน  จะไม่คิดย่างนั้น    คิดค่ะ   แต่ที่ลังเลๆ    ไม่ไปไหน ก็เพราะ   เหตุผลสองประการ
ประการแรก   อย่างที่บอกมาแต่ต้น   เรื่องขีดๆเขียนๆ เป็นสิ่งที่คนเขียนถนัดที่สุด   ( ขนาดถนัดแล้วนะเนี่ย  )
ส่วนเหตุผลที่สอง   ทุกครั้ง ที่ท้อแท้   คนเขียนจะต้องนึกถึง   คำพูดของ  ซอร์วินสตัน เชอร์ชิล  ( Sir Winston Leonard Spencer-Churchill )   คราวที่ไปกล่าวสุนทรพจน์  ที่   Harrow School
*Never give up   
อย่าท้อแท้    อย่าถอดใจ  
สู้ๆ……

วันนี้สมองปลอดโปร่ง   แถมใจก็นิ่ง  ไม่แกว่งไปแกว่งมาเหมือนลูกตุ้มนาฬิกาอย่างทุกวัน   ฉันก็เลยมานั่งแปะที่โต๊ะหนังสือ เปิดโน๊ตบุ๊คคู่ใจ   วันนี้ อย่างน้อยๆ   ต้องเขียนนิยายให้ได้  สิบบท
พัก  วงแหวนมรณะ    ไว้ก่อน  วันนี้จะเขียนเรื่อง  ถ้าเธอตบฉันจูบ    บทที่ 21   ที่ค้างไว้จากเมื่อวาน   นิยาย  ซาดิสต์ แบบนี้    อย่าว่าแต่คนอ่านจะชอบ   คนเขียนก็ชอบเหมือนกัน  
     
ประตูห้องถูกเคาะหลายครั้งติดกัน  “ปังๆๆ   “ตามมาด้วยเสียงร้องแรกดังๆของเขา      “จะเปิดดีๆ หรือจะให้ผม พังประตูเข้าไป”  
เสียงของเขาที่ดังราวกับฟ้าผ่า   นำความวิตกมาสู่หล่อนที่นั่งวิตกอยู่ที่โซฟา   หล่อนยกมือกุมอก มองไปที่ประตูอย่างหวาดๆ   
แม้ตัวเอง จะเป็นฝ่ายโทร.ไปเรียกให้เขามาที่ห้องพัก      เพื่อปรับความเข้าใจกัน   เรื่องที่เขาเข้าใจผิดเมื่อตอนกลางวัน     เรื่องไม่น่าเป็นเรื่อง  แต่ก็เป็นเรื่องจนได้     
เขากับหล่อนนัดจะไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ด้วยกัน    พอได้เวลา   หล่อนก็ออกจากออฟฟิศ  ไปเดินเตร่ตรงป้ายรถด้านหน้าบริษัท  อันเป็นสถานที่นัดพบ   
หิวก็หิว   ท้องร้องโครกคราก    แต่สาวเจ้าไม่ปริปาก   นัดกับหวานใจ   จำต้องหิ้วท้องรอเขา    แต่จนแล้วจนรอดไม่โผล่มาสักที  
ระหว่างที่รอ เขา  หญิงสาวดันจ๊ะเอ๋ กับเจ้าป๋อ   เด็กเสิร์ฟร้านอาหารตามสั่ง ที่ตั้งอยู่ข้างบริษัทอย่างบังเอิญ    เจ้าป๋อ มาส่งข้าว และเครื่องดื่มที่บริษัทเสมอๆ   จนรู้จักกับพนักงานบริษัทเกือบทุกคน   โดยเฉพาะกับหล่อนสนิทกันดี
เพราะคุ้นเคย   หล่อนจึงคุยด้วย   ปกติเจ้าป๋อจะใส่เสื้อยืดแขนสั้น  กางเกงยีนส์ขาสั้นเก่าๆ  ลากแตะ   แต่วันนี้  มันหล่อกว่าทุกวัน   เพราะถูกเลขท้ายสามตัวงวดล่าสุด ก็เลยไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่มาใส่    ฉลองความโชคดี  ที่ ถูกล็อตเตอรี่
แต่หญิงสาว กลับโชคร้าย   เพราะระหว่างที่เจ้าป๋อโน้มตัวมาหา   รถตุ๊กๆที่เขาโดยสารดันมาหยุดตรงหน้า  เขาก็เลยเห็นภาพแสลงใจ
ทั้งที่ความจริง   เจ้าป๋อมิได้จาบจ้วง  แทะโลม  แต่กำลังจดเลขเด็ดใส่กระดาษยื่นใส่มือหล่อน  จึงต้องงุบงิบ  ขืนทำอย่างโจ่งแจ้ง  ตำรวจมาเห็นคงโดนซิวเข้าซังเต    แต่เขากลับเข้าใจผิด    คิดว่าเจ้าป๋อให้ที่อยู่   ไม่ก็จดหมายรัก  
เขาโกรธจนลมออกหู ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม   ตะโกนต่อว่าจาก เมอร์เซเดส      เอ๊ย รถตุ๊กๆๆ  ดังสนั่นจนผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้ยินไปทั่ว

“ผู้หญิงหลายใจ  เสียแรงที่รัก   ชาตินี้ ชาติหน้า ชาติไหนๆ  เราอย่าได้มาพบกันอีกเลย    ”   เสียงของเขาดังปานฟ้าผ่า อย่าว่าแต่หญิงสาว   หรือคนที่เดินผ่านไปมาจะตกใจ    แม้แต่คนขับตุ๊กๆ ร่างยักษ์  ที่ใส่เสื้อกล้ามแขนกุด เห็นกล้ามเป็นมัดๆ  สักมังกรคู่ที่เลื้อยจากต้นแขนลงมายันข้อมือ  ยังสะดุ้ง    ทำหน้าหวาดหวั่น
“คุณกำลังเข้าใจผิด   เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด”    หญิงสาวร้องบอกดังๆ  ถลาไปหา   แต่เขาไม่สนใจ   โน้มตัวไปหาคนขับตุ๊กๆ   ยื่นนิ้วไปตรงหน้า ไม่พูด   ดีดเปาะ  ให้สัญญา  “ ไปได้  “
คนขับไม่รอช้า   พารถตุ๊กๆ ทะยานออกจากที่นั่นราวกับครื่องบินเจ็ทถลาสู่ท้องฟ้ากว้าง     หญิงสาววิ่งตามตุ๊กๆไปอย่างไม่คิดชีวิต   แต่อนิจจา  สองเท้าน้อยๆ  หรือจะสู้ตุ๊กๆติดเทอร์โบ

ในที่สุด หล่อนก็ฟุบลงกับถนน  คร่ำครวญ   เพลงโปรด ที่เคยร้องให้เขาฟัง  แล้วเขาชม  ว่าเพราะเหลือหลาย   ออกมาด้วยความคับแค้นใจ
กว่าเราจะรักกันได้ รู้ไหมยากเย็นยิ่งเอย
จนกว่าจะได้ชมเชย เคียงเขนยสมดังฤทัย
ต้องคอยถนอมรักอยู่ ชื่นชู้สู้ออมจิตใจ
แม้นมีอุปสรรคใด กั้นไว้ยังทลายลง
แล้วเธอมาโกรธเคืองฉัน ทุกวันคอยเฝ้าพะวง
ผิดนิดเดียวเธอตัดได้ลงหรือน้ำใจ

แต่หญิงสาว ก็มิได้ร้องจนจบ  พรวดพราดลุกขึ้นมาเร็วๆ   มัวแต่เศร้าโศก จนลืมไปเสียสนิท  ว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่บนพรมหนาในห้องทำงาน หากแต่เป็นถนนลาดปูนที่ร้อนระอุ   โชคดีที่ตะกุยตะกายขึ้นมาทัน   ถ้าช้ากว่านี้อีกนิด   มีหวังเนื้อตัวคงได้เกรียมไปทั้งตัว   

ไม่เลวแฮะ    ฉันร้องชมตัวเองดังๆ   ยิ้มกับโน๊ตบุ๊ค    สำนวนแปลก และ แหวกแนว อย่างนี้    ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน  เข้าท่าๆ

ยื่นมือไปจะพิมพ์ต่อ   แต่มือเจ้ากรรมดันสั่นระริก    ทำไมถึงได้สั่น   มองดูเวลาตรงมุมขวามือของโน๊ตบุ๊ค จึงได้รู้คำตอบ   มือจะไม่สั่นยังไงไหว   บ่ายสาม  ได้เวลากาแฟ   คอฟฟี่เบรค
ไปชงกาแฟให้ตัวเองหนึ่งแก้ว  แล้วมาเขียนต่อ  วันนี้สมองแล่น   ไม่แน่นะ  จากตอนแรกที่กะว่าจะเขียนให้ได้สิบบท  อาจจะจบวันนี้เลยก็ได้  ใครจะรู้

ครู่ต่อมา….ฉันกลับมานั่งหน้าโน๊ตบุ๊ค    พร้อมกับกาแฟร้อน  ใส่น้ำตาลนิดๆ  ครีมหน่อยๆ     ยกถ้วยขึ้นจิบนิดๆ  พอวางถ้วยกาแฟได้   ก็ลงมือเขียนต่อ  

ที่โซฟา  …กล้าณรงค์  ในเสื้อเชิ้ต  จอเจียร์อามานี่  เข้ากับกางเกงสีเทายี่ห้อเดียวกัน   ขยับเข้าไปหาหญิงสาว   ยื่นมือไปจับมือของหล่อนมากุมแนบอก   บอกกับหล่อนด้วยเสียงอันทุ้ม  นุ่ม  ชวนฟัง  
“ดาวจรัสแสง  ของผม”
“เรียกฉันแค่ดาวเฉยๆเถอะค่ะ     เพราะทุกครั้งที่คุณเรียกฉันเต็มยศ   มันทำให้ฉันรู้สึกว่าเราห่างเหินกันอย่างไร  ชอบกล”
“ได้ซิครับ  ดาวหาง      เอ๊ย ดาวของผม”
“เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ที่หน้าบริษัท   ฉันอธิบายได้นะ”     ดาวจรัสแสง กล่าวอย่างขึ้งเคียด   หน้าตายับย่นเป็นแผนที่โลก  
“ไม่จำเป็น ที่รัก  ”  เขาบอกเสียงกระเส่า   ดึงร่างอันอวบ    ค่อนข้างไปทางบวมของดาวจรัสแสงเข้าไปกอด   
ก่อนจะถูกโดนดาวจรัสแสง    ที่ต้องการจะพิสูจน์  ความบริสุทธิ์ใจของตนเอง     ว่าไม่มีอะไรกับเจ้าป๋อ   ผลักกระเด็น ตกจากโซฟา  ไปนั่งพับเพียบห่วงมือตรงพื้นใกล้ๆโซฟา
“แต่ดาว   ต้องการอธิบาย”   ตะคอกดังๆ  ตาแทบถลนออกมานอกเบ้า  หน้าตาของดาวจรัสแสงตอนนี้    ละม้ายคล้ายกับ  นางในวรรณคดี  ของท่านสุนทรภู่ยิ่งนัก     นางยักษ์   นะคะ  อย่าไขว้เขว  ว่าเป็น นางเงือก  หรือ  ละเวงวัณฬา  

“ก็ได้   ถ้านั่นเป็นความต้องประสงค์ของดาว   ผมหรือจะกล้าขัดใจ ”  กล้าณรงค์   กล่าวจบ ก็ตะกุยตะกายจากพื้นมานั่งบนโซฟาตามเดิม   แต่ห่างออกไปนิดๆ    เพระกลัวจะโดนยันตกลงไปอีกหากเข้าไปใกล้ๆ
“ผู้ชายคนที่คุณเห็นคุยกับฉัน  มันคือเจ้าป๋อ   เด็กส่งของร้านอาหารตามสั่งข้างบริษัทฉัน   ที่ฉันต้องยืนแนบชิดกับมัน ไม่ใช่เพราะพิศวาส  แต่ที่ทำอย่างนั้นเพราะต้องการเลขเด็ดจากเจ้าป๋อ มันไปได้เลขดีมาจากอาจารย์ดัง  งวดก่อนมันถูกท้ายสามตัว   ทีนี้ เข้าใจแล้วยังล่ะ    ”
“จริง  เหรอนี่”
“ก็จริงนะซิ  “ ดาวจรัสแสงยืนยัน  แน่นหนัก  “  ถ้าคุณฟังฉันสักนิด  ฉันก็คงไม่ต้องวิ่งตามคุณ  จนน้ำหนักลดไปห้าขีด  กับสองกระเบียด    อย่างนี้หรอก”   ต่อว่าต่อขานเสร็จ   ก็ค้อนเขาเสียตากลับ  
“ผมผิด  ผมรู้     แต่จะโทษผมคนเดียว ไม่ได้นะ  เรื่องนี้จะว่าไป  เจ้าคนขับรถตุ๊กๆก็ผิดด้วยเหมือนกัน  ”
“คนขับรถตุ๊กๆ มาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้มิทราบ   ”
“ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะคุณ    ก็ตอนที่ผมบอกให้หมอนั่น ขับรถหนีคุณ  พอพ้นมานิด    ผมทนเสียงเรียกร้องของหัวใจไม่ไหว   บอกให้จอด  ผมจะลงมาหาคุณ”
“แล้วทำไม  คุณจึงไม่ทำ   ”
“ก็ไอ้บ้านั่นนะซิ   บอกว่าจะรีบไปส่งรถ   พาผมติดรถไปถึงอู่   ผมฉิวจนลมออกหู  รู้ไหมเนี่ย   ”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่