ไปอ่านเจอในเฟสบุ๊ค (Charles Chochaiyatis) มาค่ะ เลยอยากมาแชร์ให้ได้อ่านกัน
ถ้าไม่รักเมีย แล้วจะให้รักใคร?
สตรีตอนที่คลอดบุตรนั้น ต้องทนรับความเจ็บปวดรวดร้าวถึงระดับมาตรวัดที่ 57 ซึ่งถือเป็นความเจ็บปวดระดับที่ถ้าจะเปรียบแล้ว เทียบได้กับข้อต่อกระดูกทั้ง 20 ข้อแตกหักในคราเดียว
คนเป็นภรรยานั้น ตั้งแต่เล็ก ไม่เคยกินข้าวสักเม็ดของบ้านเรา ไม่เคยดื่มน้ำของบ้านเราซักอึก แต่เพียงเพราะคำๆเดียวที่เรียกว่า “น้ำใจแห่งรัก” ต้องพลัดพรากห่างจากพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้า มาถือเอาพ่อแม่ของเราเป็นพ่อแม่ตน มารับเอาพี่น้องชายหญิงของเราเป็นพี่น้องชายหญิงของตนเอง
เราเรียกร้องให้เธอดูแลผู้เยาว์ แล้วยังชี้สั่ง.......ให้เธอกตัญญูดูแลผู้เฒ่า
คุณลองคิดดูซิว่า ถ้าเราไม่ดีต่อเธอ แล้วจะให้ใครใยดีต่อเธอ?
ยิ่งกว่านี้ ภรรยาต้องอุ้มครรภ์ทารกน้อยซึ่งนับว่าเป็นแก่นฟ้าคุณธรรมดิน ถ้าเปลี่ยนมาให้เราลองต้องแบกท้องใหญ่เช่นนั้นสักเดือน เราคงทนไม่ไหว
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงอาการใจสั่นคลื่นไส้อาเจียร หอบหายใจไม่ทัน นี่ก็กินไม่ได้นั่นก็ดื่มไม่ได้ แม้ทรวดทรงองค์เอวก็เสียรูปไป ไม่ง่ายนักที่จะยินดียินยอมเอาชีวิตใหญ่แลกกับชีวิตเล็ก แม้นเด็กคลอดออกจากตัวแล้ว ยังต้องคล้อยตามมาใช้แซ่ของเราอีก
คุณพูดซิว่า ถ้าเราไม่ดีกับเธอ แล้วควรให้ใครดีกับเธอล่ะ?
ผู้หญิงทำงานก็ต้องตรากตรำทำงานหนักเหมือนๆกับพวกเรา แต่พอกลับถึงบ้านยังต้องถูพื้นล้างถ้วยชาม ตามเก็บถุงเท้าเน่าเหม็นของเธอไปซัก
แม้ไม่หนักหนาสาหัส แต่ก็ถือว่าหยุมหยิมกวนใจ แต่ละวันทำไม่รู้จักหยุดหย่อน ทำไปก็บ่นไป ที่จริงแล้วนับว่าเป็นเรื่องแสนเหนื่อยล้าในใจ
คุณพูดซิว่า ถ้าเราไม่ดีกับเธอ แล้วควรให้ใครดีกับเธอ?
ชายที่แต่งงานแล้วจึงไม่ควรปล่อยตัวปล่อยใจไถลเที่ยวผู้หญิงนอกบ้าน ยิ่งไม่สมควรทอดทิ้งภรรยา
หญิงทุกคนเมื่อตัดสินใจยอมสวมชุดแต่งงานที่หนาหลายชั้นเทอะทะแล้ว ยอมแต่งให้กับชายเคียงข้าง ก็เท่ากับได้ตัดใจแน่วแน่แล้ว ว่าความรักของชีวิตนี้ชาตินี้ ยอมอุทิศให้ชายนี้คนเดียว
คุณลองพูดซิว่า ถ้าเราไม่ดีกับเธอ แล้วควรให้ใครดีกับเธอ?
อยากแบ่งปัน "ถ้าไม่รักเมีย แล้วจะให้รักใคร?"
ถ้าไม่รักเมีย แล้วจะให้รักใคร?
สตรีตอนที่คลอดบุตรนั้น ต้องทนรับความเจ็บปวดรวดร้าวถึงระดับมาตรวัดที่ 57 ซึ่งถือเป็นความเจ็บปวดระดับที่ถ้าจะเปรียบแล้ว เทียบได้กับข้อต่อกระดูกทั้ง 20 ข้อแตกหักในคราเดียว
คนเป็นภรรยานั้น ตั้งแต่เล็ก ไม่เคยกินข้าวสักเม็ดของบ้านเรา ไม่เคยดื่มน้ำของบ้านเราซักอึก แต่เพียงเพราะคำๆเดียวที่เรียกว่า “น้ำใจแห่งรัก” ต้องพลัดพรากห่างจากพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้า มาถือเอาพ่อแม่ของเราเป็นพ่อแม่ตน มารับเอาพี่น้องชายหญิงของเราเป็นพี่น้องชายหญิงของตนเอง
เราเรียกร้องให้เธอดูแลผู้เยาว์ แล้วยังชี้สั่ง.......ให้เธอกตัญญูดูแลผู้เฒ่า
คุณลองคิดดูซิว่า ถ้าเราไม่ดีต่อเธอ แล้วจะให้ใครใยดีต่อเธอ?
ยิ่งกว่านี้ ภรรยาต้องอุ้มครรภ์ทารกน้อยซึ่งนับว่าเป็นแก่นฟ้าคุณธรรมดิน ถ้าเปลี่ยนมาให้เราลองต้องแบกท้องใหญ่เช่นนั้นสักเดือน เราคงทนไม่ไหว
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงอาการใจสั่นคลื่นไส้อาเจียร หอบหายใจไม่ทัน นี่ก็กินไม่ได้นั่นก็ดื่มไม่ได้ แม้ทรวดทรงองค์เอวก็เสียรูปไป ไม่ง่ายนักที่จะยินดียินยอมเอาชีวิตใหญ่แลกกับชีวิตเล็ก แม้นเด็กคลอดออกจากตัวแล้ว ยังต้องคล้อยตามมาใช้แซ่ของเราอีก
คุณพูดซิว่า ถ้าเราไม่ดีกับเธอ แล้วควรให้ใครดีกับเธอล่ะ?
ผู้หญิงทำงานก็ต้องตรากตรำทำงานหนักเหมือนๆกับพวกเรา แต่พอกลับถึงบ้านยังต้องถูพื้นล้างถ้วยชาม ตามเก็บถุงเท้าเน่าเหม็นของเธอไปซัก
แม้ไม่หนักหนาสาหัส แต่ก็ถือว่าหยุมหยิมกวนใจ แต่ละวันทำไม่รู้จักหยุดหย่อน ทำไปก็บ่นไป ที่จริงแล้วนับว่าเป็นเรื่องแสนเหนื่อยล้าในใจ
คุณพูดซิว่า ถ้าเราไม่ดีกับเธอ แล้วควรให้ใครดีกับเธอ?
ชายที่แต่งงานแล้วจึงไม่ควรปล่อยตัวปล่อยใจไถลเที่ยวผู้หญิงนอกบ้าน ยิ่งไม่สมควรทอดทิ้งภรรยา
หญิงทุกคนเมื่อตัดสินใจยอมสวมชุดแต่งงานที่หนาหลายชั้นเทอะทะแล้ว ยอมแต่งให้กับชายเคียงข้าง ก็เท่ากับได้ตัดใจแน่วแน่แล้ว ว่าความรักของชีวิตนี้ชาตินี้ ยอมอุทิศให้ชายนี้คนเดียว
คุณลองพูดซิว่า ถ้าเราไม่ดีกับเธอ แล้วควรให้ใครดีกับเธอ?