2-3วันมานี้ได้อ่านหนังสือ 2 เล่มที่กัลยณมิตร 2 ท่านได้ให้มาอ่าน

เล่มแรกเป็นหนังสือชื่อว่า “เมื่อคุณหมอ ไม่รู้จักอาหารเสริมบำบัดโรค...ความตาย อาจ..กำลังครอบงำคุณ”
เป็นหนังสือที่เชียนโดยแพทย์ บอกไปถึงแพทย์ คนไข้ และคนทั่วไปให้เปิดใจว่า การรักษาพยาบาลในปัจจุบันมุ่งไปที่การรักษาอาการของโรคที่เกิดขึ้นแล้วจากการเสื่อมต่างๆ ของร่างกาย โดยอาการออกมาในรูปโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง โรคข้อเสื่อม ฯลฯ ซึ่งในหนังสือบอกว่าโรคเหล่านี้หากตรวจด้วยวิธีการตรวจร่างกายก็จะพบได้ตอนที่เป็นโรคแล้ว และวิธีรักษาก็คือการให้ยาที่เอาไปสู้กับโรคนั้นๆ แบบทำลายล้าง ผลคือร่างกายก็จะย่ำแย่จากการบำบัด เช่น เป็นมะเร็งก็ทำคีโม เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจก็ทำขยายหลอดเลือด
โดยคุณหมอให้เปิดใจว่า อยากให้เรายอมรับวิธีการดูแลร่างกายแบบที่ไม่ได้มีการสอนในโรงเรียนแพทย์หรือมีก็ไม่ได้เป็นที่สนใจ คือเรื่องการการกินอาหารเสริม เช่น วิตามินต่างๆ เกรฟซีต กลูต้าไธโอน โคเอ็มไซน์คิว10
ซึ่งคุณหมอยอมรับว่าในช่วงแรกของการเป็นหมอ เมื่อมีคนไข้ถามว่าควรกินวิตามินตัวนี้ตัวนั้นหรือไม่คุณหมอก็บอกปัดเพียงว่า กินอาหารให้ครบ5หมู่ ไปกินพวกวิตามินเสริมมันก็เสียเงินเปล่าแพงด้วย และยกผลงานวิจัยว่าวิตามินกินเยอะมีผลเสียกับร่างกายมาขู่คนไข้อีก

แต่เมื่อหมอผ่านประสบการณ์กับคนไข้หลายคนคุณหมอเลยสรุปว่า หลักการที่จะมีสุขภาพดีโดยไม่ต้องพึ่งการรักษาที่ปลายเหตุคือ
1. ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
2. หลีกเลี่ยงมลพิษที่ก่อให้เกิด อนุมูลอิสระที่จะมาทำให้ร่างกายเสื่อม
3. หลีกเลี่ยงความเครียด
4. ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองได้
แต่เนื่องจากหนังสือนี้ชักจูงอย่างมากเรื่องประโยชน์ของอาหารเสริม ในบทท้ายๆ จึงมีการให้ข้อมูลว่า หากจะต้องการได้รับวิตามินหรือสารอาหารเหล่านี้ในปริมาณที่เหมาะสมจะต้องกินอาหารปกติจำนวนสูงเว่อร์ เพื่อให้เห็นว่าควรกินอาหารเสริม เช่นหากต้องการวิตามินD ในปริมาณที่ควรจะได้รับต่อวันจะต้องกินไข่แดงวันละ 22ฟอง หรืออยากได้วิตามินCในปริมาณที่ควรได้รับต่อวันจะต้องกินส้ม16ผล เป็นต้น สรุปคือ แนะนำว่าต้องมากินวิตามินเสริมเพื่อให้ได้สารอาหารเพียงพออ่ะว่างั้น ซึ่งเราไม่สามารถไปพิสูจน์ความถูกต้องของข้อมูลที่ผู้เขียนบอกนี้ได้ ดังนั้นเรายังไม่เชื่อเพราะเป็นแค่อ่านจากที่เขาเขียนซึ่งอาจจะเป็นเพียงการให้ข้อมูลด้านเดียว

ส่วนเล่มที่สอง เรื่อง “กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก” เรื่องนี้เปิดอ่านผิวเผินก็คือประวัติศาตร์แบบไล่ช่วงเวลามาเรื่อยๆว่าตั้งแต่พระพุทธเจ้าประสูติ ตอนนั้นประเทศต่างๆ เช่นในอินเดีย จีน ยุโรป อาหรับ มีเหตุการณ์อะไร เมื่อเวลาผ่านไปในแต่ละช่วงศาสนาอื่นๆ เกิดขึ้นมารุ่งเรืองขึ้นและเสื่อมลงเมื่อไรและอย่างไร ศาสนาคริตส์ อิสลามเกิดช่วงไหนที่ได้ แผ่ขยายหรือสูญหายไปจากประเทศใดบ้างเพราะอะไร ที่เขียนมานี่ฟังดูมันก็คือประวัติศาสตร์ไม่เห็นน่าตื่นเต้นอะไร
แต่พอพิจารณาดูผมพบว่าในอดีต ความเชื่อ ศาสนา เกี่ยวโยงกับอำนาจการปกครองเป็นอย่างมาก เรียกว่าศาสนาเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ การเผยแผ่ศาสนาคือการขยายอำนาจ การที่อินเดียซึ่งเป็นต้นกำเนิดของหลายศาสนาพุทธ ถูกปกครองโดยผู้นำต่างศาสนาในยุคหนึ่งทำให้ศาสนาพุทธหายไปจากอินเดีย ศาสนาคริตส์เคยถูกกำจัดไปจากยุโรปในช่วงแรกๆ แต่ต่อมาผู้นำประเทศร่วมมือกับพระสันตปาปาในยุคนั้นขนาดที่ว่า กำหนดให้กษัตริย์ต้องได้รับการสวมมงกุฎจากสันตะปาปา จึงก็ทำให้ศาสนากลับมามีอำนาจอีกครั้ง(ประมาณว่าช่วยกันโปรโมทกัน) แต่ผู้นำที่มีอำนาจหากขัดแย้งกับศาสนาก็แยกออกมาตั้งศาสนาใหม่ เห็นได้ชัดเลยว่าศาสนาเป็นเครื่องมือ ใครๆก็อยากใช้ แต่จะใช้อันไหนก็แล้วแต่ว่าผลประโยชน์ตรงกันหรือไม่ นักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชื่อขัดแย้งกับศาสนา หรือคนต่างศาสนา ก็จะต้องถูกเผาทั้งเป็นในยุคหนึ่ง ได้เห็นว่าคนในหลายประเทศได้เข่นฆ่าคนที่มีความเชื่อต่างไปจากตน มีการให้เลือกว่าจะเปลี่ยนศาสนาหรือจะเลือกตาย ทั้งนี้การใช้ศาสนามาบังคับอย่างแข็งขันแบบนี้ก็เพื่อรักษาอำนาจของชนชั้นปกครอง และได้เห็นว่าในแง่การปกครองอำนาจหากมีการเปลี่ยนตระกูลก็มีการกำจัดแบบถอนรากถอนโคนกันเลยทีเดียวโดยคนที่มาใหม่ก็บังคับและเขียนประวัติศาสตร์ที่สวยหรูให้ตนเองใหม่

แต่ปัจจุบันศาสนาที่เป็นเครื่องมือทางอำนาจ มันก็ล้าสมัยไปแล้ว ตอนนี้เราคิดว่า “ทุนนิยม” ได้เข้ามาเป็นเครื่องมือในการได้มาซึ่งอำนาจในปัจจุบัน การใช้เงินใช้ทุนในการกำหนดการดำเนินชีวิต ก็เหมือนกับการบอกให้เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง ดีอย่างไร จะช่วยให้เราดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง จะมีผู้นำทางการเงิน(FED, Worldbank, IMF) และผู้ใช้อำนาจเงิน(บริษัทต่างๆ) ในการปกครองคน ทำให้เป็นหนี้ ทำให้เห็นว่าเงินสำคัญ เหมือนว่าถ้าไม่มีศาสนาก็อยู่ไม่ได้ ตอนนี้ไม่มีเงินก็อยู่ไม่ได้ ให้เราพึงพาเงินทอง เทคโนโลยี
ที่เขียนมานี่ก็แค่อยากแชร์สิ่งที่อ่านแล้วคิดต่อ ผิดถูกประการใดก็เป็นเพราะประสบการณ์ของเรา หวังว่าเพื่อนๆคงไม่ขัดเคืองกับความคิดเห็นของเรา^^
อ่านหนังสือมา2เล่ม อยากมาเล่าให้ฟัง
เล่มแรกเป็นหนังสือชื่อว่า “เมื่อคุณหมอ ไม่รู้จักอาหารเสริมบำบัดโรค...ความตาย อาจ..กำลังครอบงำคุณ”
เป็นหนังสือที่เชียนโดยแพทย์ บอกไปถึงแพทย์ คนไข้ และคนทั่วไปให้เปิดใจว่า การรักษาพยาบาลในปัจจุบันมุ่งไปที่การรักษาอาการของโรคที่เกิดขึ้นแล้วจากการเสื่อมต่างๆ ของร่างกาย โดยอาการออกมาในรูปโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง โรคข้อเสื่อม ฯลฯ ซึ่งในหนังสือบอกว่าโรคเหล่านี้หากตรวจด้วยวิธีการตรวจร่างกายก็จะพบได้ตอนที่เป็นโรคแล้ว และวิธีรักษาก็คือการให้ยาที่เอาไปสู้กับโรคนั้นๆ แบบทำลายล้าง ผลคือร่างกายก็จะย่ำแย่จากการบำบัด เช่น เป็นมะเร็งก็ทำคีโม เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจก็ทำขยายหลอดเลือด
โดยคุณหมอให้เปิดใจว่า อยากให้เรายอมรับวิธีการดูแลร่างกายแบบที่ไม่ได้มีการสอนในโรงเรียนแพทย์หรือมีก็ไม่ได้เป็นที่สนใจ คือเรื่องการการกินอาหารเสริม เช่น วิตามินต่างๆ เกรฟซีต กลูต้าไธโอน โคเอ็มไซน์คิว10
ซึ่งคุณหมอยอมรับว่าในช่วงแรกของการเป็นหมอ เมื่อมีคนไข้ถามว่าควรกินวิตามินตัวนี้ตัวนั้นหรือไม่คุณหมอก็บอกปัดเพียงว่า กินอาหารให้ครบ5หมู่ ไปกินพวกวิตามินเสริมมันก็เสียเงินเปล่าแพงด้วย และยกผลงานวิจัยว่าวิตามินกินเยอะมีผลเสียกับร่างกายมาขู่คนไข้อีก
แต่เมื่อหมอผ่านประสบการณ์กับคนไข้หลายคนคุณหมอเลยสรุปว่า หลักการที่จะมีสุขภาพดีโดยไม่ต้องพึ่งการรักษาที่ปลายเหตุคือ
1. ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
2. หลีกเลี่ยงมลพิษที่ก่อให้เกิด อนุมูลอิสระที่จะมาทำให้ร่างกายเสื่อม
3. หลีกเลี่ยงความเครียด
4. ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองได้
แต่เนื่องจากหนังสือนี้ชักจูงอย่างมากเรื่องประโยชน์ของอาหารเสริม ในบทท้ายๆ จึงมีการให้ข้อมูลว่า หากจะต้องการได้รับวิตามินหรือสารอาหารเหล่านี้ในปริมาณที่เหมาะสมจะต้องกินอาหารปกติจำนวนสูงเว่อร์ เพื่อให้เห็นว่าควรกินอาหารเสริม เช่นหากต้องการวิตามินD ในปริมาณที่ควรจะได้รับต่อวันจะต้องกินไข่แดงวันละ 22ฟอง หรืออยากได้วิตามินCในปริมาณที่ควรได้รับต่อวันจะต้องกินส้ม16ผล เป็นต้น สรุปคือ แนะนำว่าต้องมากินวิตามินเสริมเพื่อให้ได้สารอาหารเพียงพออ่ะว่างั้น ซึ่งเราไม่สามารถไปพิสูจน์ความถูกต้องของข้อมูลที่ผู้เขียนบอกนี้ได้ ดังนั้นเรายังไม่เชื่อเพราะเป็นแค่อ่านจากที่เขาเขียนซึ่งอาจจะเป็นเพียงการให้ข้อมูลด้านเดียว
ส่วนเล่มที่สอง เรื่อง “กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก” เรื่องนี้เปิดอ่านผิวเผินก็คือประวัติศาตร์แบบไล่ช่วงเวลามาเรื่อยๆว่าตั้งแต่พระพุทธเจ้าประสูติ ตอนนั้นประเทศต่างๆ เช่นในอินเดีย จีน ยุโรป อาหรับ มีเหตุการณ์อะไร เมื่อเวลาผ่านไปในแต่ละช่วงศาสนาอื่นๆ เกิดขึ้นมารุ่งเรืองขึ้นและเสื่อมลงเมื่อไรและอย่างไร ศาสนาคริตส์ อิสลามเกิดช่วงไหนที่ได้ แผ่ขยายหรือสูญหายไปจากประเทศใดบ้างเพราะอะไร ที่เขียนมานี่ฟังดูมันก็คือประวัติศาสตร์ไม่เห็นน่าตื่นเต้นอะไร
แต่พอพิจารณาดูผมพบว่าในอดีต ความเชื่อ ศาสนา เกี่ยวโยงกับอำนาจการปกครองเป็นอย่างมาก เรียกว่าศาสนาเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ การเผยแผ่ศาสนาคือการขยายอำนาจ การที่อินเดียซึ่งเป็นต้นกำเนิดของหลายศาสนาพุทธ ถูกปกครองโดยผู้นำต่างศาสนาในยุคหนึ่งทำให้ศาสนาพุทธหายไปจากอินเดีย ศาสนาคริตส์เคยถูกกำจัดไปจากยุโรปในช่วงแรกๆ แต่ต่อมาผู้นำประเทศร่วมมือกับพระสันตปาปาในยุคนั้นขนาดที่ว่า กำหนดให้กษัตริย์ต้องได้รับการสวมมงกุฎจากสันตะปาปา จึงก็ทำให้ศาสนากลับมามีอำนาจอีกครั้ง(ประมาณว่าช่วยกันโปรโมทกัน) แต่ผู้นำที่มีอำนาจหากขัดแย้งกับศาสนาก็แยกออกมาตั้งศาสนาใหม่ เห็นได้ชัดเลยว่าศาสนาเป็นเครื่องมือ ใครๆก็อยากใช้ แต่จะใช้อันไหนก็แล้วแต่ว่าผลประโยชน์ตรงกันหรือไม่ นักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชื่อขัดแย้งกับศาสนา หรือคนต่างศาสนา ก็จะต้องถูกเผาทั้งเป็นในยุคหนึ่ง ได้เห็นว่าคนในหลายประเทศได้เข่นฆ่าคนที่มีความเชื่อต่างไปจากตน มีการให้เลือกว่าจะเปลี่ยนศาสนาหรือจะเลือกตาย ทั้งนี้การใช้ศาสนามาบังคับอย่างแข็งขันแบบนี้ก็เพื่อรักษาอำนาจของชนชั้นปกครอง และได้เห็นว่าในแง่การปกครองอำนาจหากมีการเปลี่ยนตระกูลก็มีการกำจัดแบบถอนรากถอนโคนกันเลยทีเดียวโดยคนที่มาใหม่ก็บังคับและเขียนประวัติศาสตร์ที่สวยหรูให้ตนเองใหม่
แต่ปัจจุบันศาสนาที่เป็นเครื่องมือทางอำนาจ มันก็ล้าสมัยไปแล้ว ตอนนี้เราคิดว่า “ทุนนิยม” ได้เข้ามาเป็นเครื่องมือในการได้มาซึ่งอำนาจในปัจจุบัน การใช้เงินใช้ทุนในการกำหนดการดำเนินชีวิต ก็เหมือนกับการบอกให้เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง ดีอย่างไร จะช่วยให้เราดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง จะมีผู้นำทางการเงิน(FED, Worldbank, IMF) และผู้ใช้อำนาจเงิน(บริษัทต่างๆ) ในการปกครองคน ทำให้เป็นหนี้ ทำให้เห็นว่าเงินสำคัญ เหมือนว่าถ้าไม่มีศาสนาก็อยู่ไม่ได้ ตอนนี้ไม่มีเงินก็อยู่ไม่ได้ ให้เราพึงพาเงินทอง เทคโนโลยี
ที่เขียนมานี่ก็แค่อยากแชร์สิ่งที่อ่านแล้วคิดต่อ ผิดถูกประการใดก็เป็นเพราะประสบการณ์ของเรา หวังว่าเพื่อนๆคงไม่ขัดเคืองกับความคิดเห็นของเรา^^