สวัสดีผู้อ่านทุกคนค่ะ ขออนุญาติลงบันทึกการท่องเที่ยวญี่ปุ่นของตัวเอง เพื่อสามารถเป็นประโยชน์ให้ใครบางคนได้บ้างเหมือนที่เคยได้รับจากเพื่อนๆ ในพันทิพตอนออกเดินทางนะคะ

ตอนที่ 1 มัทสึโมโตะ
http://pantip.com/topic/31812434
ตอนที่ 2 Shirakawa-Kanazawa
http://pantip.com/topic/31807590
ตอนที่ 3 Beppu-Yufuin
http://pantip.com/topic/31812384
ตอนที่ 4 Aso - Kumamoto
http://pantip.com/topic/31816159
ตอนที่ 5 Fukuoka
http://pantip.com/topic/31816493
ตอนที่ 6 Takayama - shin hotake
http://pantip.com/topic/31819997
ตอนที่ 7 Kawaguchiko - Asakusa
http://pantip.com/topic/31845547/comment7
ตอนที่ 8 Night train - Asashikawa
http://pantip.com/topic/31907228
ตอนที่ 9 Furano
http://pantip.com/topic/31907372
ตอนที่ 10 Hakodate
http://pantip.com/topic/31911211
ตอนที่ 11 Sapporo - Otaru
http://pantip.com/topic/31912981
ตอนที่ 12 Shopping Day
http://pantip.com/topic/31913044
ตอนสุดท้าย
http://pantip.com/topic/31915835
ทริปนี้เที่ยวคนเดียว…ย้ำว่าคนเดียว T_T เศร้าใจค่ะ แต่เนื่องจากชีวิตที่เป็นอยู่ทำให้เวลาไม่ค่อยจะตรงกับใครๆ แล้วถ้าจะรอคนอื่น ก็เสียดายเวลาที่มี เลยเลือกแล้วค่ะ ว่าญี่ปุ่นนี่ล่ะ ที่ปลอดภัยสำหรับสาวโสดไร้ความสวยอย่างเราตอกย้ำชีวิตให้มันเหงาเล่น แน่นอนจะไปทั้งทีก็เอาให้คุ้ม 15 วัน
ตั๋วเครื่องบินที่ซื้อเป็น ไป-กลับ นาริตะค่ะ อย่างที่บอกว่าเป็นคนเสียดายเวลา จะให้เสียเป็นวันๆ นั่งเครื่องทรานซิทกับตั๋วเครื่องบินราคาถูกกว่าก็เสียดาย เลยยอมเสียเงินเพื่อบินตรงค่ะ
นาริตะ-มัทสึโมโตะ-ชิราคาวาโกะ-คานาซาว่า-ฟุคุโอกะ-เบบปุ-ยุฟอิน-คุมาโมโตะ-ทาคายาม่า-คาวากูชิโกะ-อาซาคุสะ-อาซาชิคาว่า-ฟุราโนะ-ฮาโกดาเตะ-ซัปโปโร-โอตารุ-อุเอโนะ
15 วัน 14 คืนค่ะ พิมพ์กันจนเมื่อยเลยทีเดียว เซียนหลายคนอาจจะเห็นว่าเส้นทางจะย้อนไปย้อนมานิดนึง ยอมรับความผิดค่ะ เพราะหลายๆ อย่างเป็นเหตุจำเป็นให้ต้องเปลี่ยนกะทันหัน ไม่ว่าการไปเยี่ยมเพื่อนที่ฟุคุโอกะ และที่พักที่ว่างที่ชิราคาวาโกะ แนะนำคนที่จะลอกการบ้านลองกรองดูก่อนนะคะ
ก่อนจะไปถึงญี่ปุ่น ขอเล่าวิธีการเตรียมตัวอย่างคร่าวๆ ค่ะ
1. เงิน : งบไม่เกินหนึ่งแสนค่ะ ดูแพงเนอะ แต่ก็ทำใจเพราะเน้นเที่ยวมากที่สุด แถมไปคนเดียว อะไรๆ ก็ไม่มีหาร
2. วิซ่า : ขอไม่ทันค่ะ เอาได้แค่ 15 วันฟรี มีประเด็นให้ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังค่ะ
3. วันเดินทาง : ได้เวเคชั่นวันที่ 16-31 ธันวาคม ค่ะ เลื่อนไปเลื่อนมาให้ได้ 15 วันก็จะชนปีใหม่พอดีเลยพยายามเลี่ยงๆ เดินทางเช้า 19 Dec กลับ 2 Jan ค่ะ
4. ตั๋วเครื่องบิน search เอาจากอากู๋ก็จะได้เว็บต่างๆ ค่ะ ราคาไม่หนีกันนักโดยเฉพาะถ้ามีเงื่อนไขว่าจะบินตรงด้วยแล้ว ส่วนตัวได้ของ delta มาค่ะ 24,000 แพงเหมือนกันเพราะวันที่สองที่กลับมายังอยู่ในช่วงเทศกาล แต่ชีวิตคนอย่างเราได้เท่านี้ล่ะค่ะ
5. ที่พัก ใช้การจองทางเน็ตเอาค่ะ วางแผนคร่าวๆ ความจริงถามว่า walk-in ไปก็คงได้ค่ะ เพราะที่ไปพักมาก็ไม่ได้เต็มอะไร แต่เนื่องจากอยู่ในช่วงเทศกาลเราเอาชัวร์ไว้ก่อนค่ะ แล้วจะบอกว่าของญี่ปุ่นนี้จองทางเน็ตสบายหายห่วง นอนมาสิบที่ไม่มีที่ไหนหลุดเลยค่ะ แถมติดต่อทางเน็ตได้เลยไม่ต้องใช้โทรศัพท์ ส่วนใหญ่เลื่อนได้ ยกเลิกได้ก่อนสามวันโดยไม่เสียอะไรทั้งสิ้น
หลักการจองก็คือถูกค่ะ ครั้งนี้เอามันตั้งแต่โรงแรมสี่ดาวยันดอร์มรวมเลยทีเดียว เพราะกะไว้นอนอย่างเดียว
ควบคู่กันมาคือใกล้สถานีรถไฟค่ะ อันนี้มาคิดได้ตอนไปถึงแล้ว เดี๋ยวมีเมาท์ให้ฟัง
สามคือแผนการเดินทางค่ะ อย่างทางนี้วางแผนไว้เลยว่าจะซักผ้าวันไหน วันนั้นจะนอนบิสสิเนสโฮเทล ซึ่งแพงกว่าโฮสเทลขึ้นมาหน่อยแต่มีเครื่องซักผ้า หรือจะไปดู niggle terrace ที่ฟุราโน่ ก็ไปนอนโรงแรมเลย เพราะว่าเขามีรถรับส่ง เทียบกับนอนถูกๆ แล้วบวกค่าแท็กซี่เข้าไป น่าจะคุ้มกว่าค่ะ
แล้วจะรีวิวที่พักสั้นๆ ในแต่ละเมืองให้ดูค่ะ จะได้เห็นที่พักหลายๆ ระดับแล้วเลือกถูก
6. เดินทาง : ใช้ที่ชำนาญที่สุดคือรถไฟค่ะ เลยจัด JR railpass 14 วัน ซื้อง่ายจ่ายคล่อง ทางเน็ตหรือเดินไปซื้อที่ร้านก็ได้ค่ะ ทางนี้ก็เดินเข้าร้านที่สถานีบีทีเอส ลืมเอาพาสปอร์ตไปอีกต่างหาก ก็ไม่มีปัญหาอะไร แค่จำชื่อที่ตรงกับพาสปอร์ตกับบอกวันให้ถูกและเงินสดเท่านั้นพอค่ะ
7. สื่อสาร : ตัดสินใจอยู่นานค่ะ ก็ได้จากในพันทิพนี่ล่ะค่ะ ใช้ซิมเน็ต 1 GB ของ b-mobile ซื้อทางเน็ท รับที่สนามบิน พันกว่าบาท (เริ่มจำไม่ได้แล้ว ลองหาดูได้ค่ะ) ใช้สิบห้าวันเหลือเฟือค่ะ ใช้ไลน์ฟรีคอลกลับมาหาที่บ้านได้ อัฟรูปได้ ที่สำคัญ "google map" ช่วยชีวิตจริงๆ ค่ะ ไม่ต้องห่วงเรื่องสัญญาณที่ญี่ปุ่นนี่ สี่จีของแท้ค่ะ
8. กระเป๋า : เอาล่ะสิ จะเอาไปยังไงเพราะไปแบบเปลี่ยนที่นอนตลอดค่ะ แถมไปคนเดียวเลยจัดอุปกรณ์ถ่ายรูปไปครบครัน เลยแยกสองใบค่ะ กระเป๋าลากยี่สิบนิ้วหนึ่งใบ กับกระเป๋าเป้แบ็กแพ็คใบหนึ่ง หนักกล้องกับเสื้อกันหนาวค่ะเพราะเอายีนส์ไปแค่สามตัว วางแผนไว้ว่าจะส่งกระเป๋ากับทัคคิวบิน หรือ yamato transport เอาค่ะ เลยควรจะแยกกระเป๋า
9. เสื้อผ้า : ฮอกไกโดหน้าหนาวลบสิบค่ะ จัดไปอย่าได้กลัวขนของหนัก ยังไงไม่ขนจากเมืองไทยก็ต้องไปขนที่ญี่ปุ่น(แถมเสียตังค์) แน่นอนค่ะ โดยเฉพาะหมวก ผ้าพันคอ ถุงมือ ขาดแล้วเที่ยวไม่สนุกจริงๆ ค่ะ ลองจอนอะไรก็เอาไปเถอะค่ะ แต่ที่พูดอย่างนี้คือจัดเสื้อผ้าจัดเต็มของห้าวันนะคะ เพราะเราวางแผนจองที่พักที่มีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญทุกห้าวันค่ะ ซักผ้าสองรอบน่าจะเอาอยู่
10. กล้อง : จัด Nikkon D7000 ไปกับเลนส์คิท, sigma 10-20, Fix 50 แล้วก็ขาตั้งหนึ่งตัวค่ะ เป็นภาระมากกกก แต่แหมไปคนเดียวถ้าไม่เอากล้องไปก็นะ ยอมค่ะ
ครบสิบข้อแล้วเดินทางกันได้เลยค่ะ

หม่าม๊าไปส่งที่สุวรรณภูมิตอนตีสาม (ไฟล์ตีห้าครึ่ง) ต่อคิวที่เคาท์เตอร์เดลต้าอยู่สองชั่วโมงเต็ม เพราะเป็นเที่ยวบินที่ไปต่อยังอเมริกาค่ะ ที่เคาท์เตอร์สอบถามกันเข้ามงวดมาก เป็นข้อเสียจริงๆ ค่ะ รอนานนนนนน มาก กว่าจะผ่านไปถึงเกทก็ไฟนอลคอลพอดี ทั้งที่มาก่อนเกือบสามชั่วโมงค่ะ มีข้อดีแค่โหลดกระเป๋าได้สองใบใบละ 23 kg ค่ะ แถมที่เคาท์เตอร์ยังทำให้เราอารมณ์เสียตลอดการเดินทางอีกต่างหาก
" ไปกี่วันคะ" เคาท์เตอร์เด็กๆ ค่ะ เกือบเรียกเราว่าน้องอีกต่างหาก
" 15 วันค่ะ"
" ลูกค้าคะ!" ทำหน้ายุ่งยากมาก "ที่ญี่ปุ่นนี้ถึงวีซ่าจะให้แต่ถ้าไปสิบห้าวันพอดีเขาจะส่งกลับนะคะ"

ฟังแล้วซีดไม่คะ ไม่พอชียังเลกเชอร์ต่อ "ต้องสักสิบสามวันค่ะ บลาๆๆๆๆ"
คือเราก็ฟังไปก็กลัวไปนะคะ แต่ก็สงสัยว่าแล้วชีจะให้เราทำยังไง ยกเลิกไปตอนนี้หรือไง เกือบจะโพล่งไปแล้วค่ะ ว่าช่างมันเถอะ ให้ชั้นได้ไปแล้วส่งกลับมา เธอช่วยปล่อยชั้นไปเถอะ เป็นแค่เคาท์เตอร์ไม่ใช่ ตม. โปรดทราบ!
สักแป๊บก็เหมือนจะมีซีเนียร์เดินมาค่ะ เธอก็มาช่วยนับมือ 20 - 2 นับได้ 14 วันค่ะ (เป็นโชคดีของเราที่ไม่รู้เหมือนกันว่าเขานับวีซ่าเป็น 1 วันคือวันที่ถัดไป) ก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรนิ แล้วเราก็เลยได้จ้ำๆ ผ่าน ตม. ไทย (ที่สแกนแต่พาสปอร์ต ไม่มีใครมาถามอะไรเลย) ไปขึ้นเครื่องไฟนอลคอลล
เหตุนั้นทำให้นั่งใจไม่ดีไปตลอดห้าชั่วโมงครึ่งค่ะ ว่าจะถูกส่งกลับหรือเปล่า ไม่มีอารมณ์ดูหนัง (ที่เหมือนๆ กับเครื่องอื่นนะคะคิดว่า) รับรสข้าว (รู้สึกจะเป็นออมเล็ท อาหารเช้า) แต่หงุดหงิดอีกทีตอนอาหารกลางวันเป็นแซนวิช-ลงเครื่อง รับกระเป๋า ใจเต้น ตึกตักๆ ไปที่กม. (อ่อ เขียน immigration บนเครื่องเสร็จแล้วด้วย เขียนให้ครบ รวมทั้งใบแสดงของด้วยนะคะ)
ถึงที่กม. ยิ้ม ยื่นพาสปอร์ต ("Thai?...Yes...Au") สแกนนิ้ว ถ่ายรูป บ๊ายบาย....อ้าว เอ๊ะ ไม่ถามอะไรชั้นเลยเหรอ...โซนสำแดงของ
"มาทำไรคะ"

"เที่ยวค่ะ"
"ทำไมเที่ยวคนเดียว มาหาเพื่อนเหรอ" แน่ะ...ชงให้อีก
"ใช่ค่ะ" เออออตามเรื่อง
"ทำไมมีเพื่อนที่นี่ล่ะ" นิ่งไปนิด
"อ่อ เคยมาแลกเปลี่ยนน่ะค่ะ (และเปลี่ยนเพื่อนไปนานแล้ว จะถามมั๊ยเนี่ยว่าบ้านเพื่อนเก่ามากนั้นอยู่ที่ไหน ตอบไม่ได้หรอกนะ)"
"อ้าว! เหรอคะ เชิญค่ะๆ welcome"
เงิบเลยสิคะ แล้วที่ชั้นนั่งกังวลมาเกือบหกชั่วโมงนั่นละ ไม่มีใครถามสักคนจะกลับวันไหน เตรียมตั๋วขากลับ เตรียมบัตรวิชาชีพไปก็ไม่ได้ใช้เลย (เอิ่ม...ความจริงควรจะดีใจนะ) สรุปว่าคนญี่ปุ่นรู้จักคนไทยดีค่ะ เรียกว่าเรายังเป็นนักท่องเที่ยวชั้นดีอยู่ ยิ่งถ้าบอกว่าเคยมา (แม้จะเปลี่ยนเล่มพาสปอร์ตไปแล้ว โกหกไปเธอก็คงไม่รู้) จะยิ่งยินดีเป็นพิเศษ
เล่ามายาว...แค่จะบอกสาเหตุว่าทำไมไม่มีรูปช่วงแรกของการเดินทางมาให้เลยค่ะ ไม่มีกะจิตกะใจจนออกจากสนามบินนั่นแหล่ะ
สาปส่งเคาท์เตอร์เดลตาแอร์กับความโง่ของตัวเองค่ะ
กลับมาที่การเดินทางของเราต่อ หลังจากผ่าน ตม. แล้วก็เป็นเรื่องของการทำเวลาค่ะ วิ่งไปชั้นสี่ก่อนเลยเพื่อรับซิมโทรศัพท์
ใครที่จะสั่งซิมเหมือนกัน อ่านตรงนี้หน่อยนะคะ ที่ไปรับไม่ใช่บูธของบริษัทแต่เป็นไปรษณีย์ในสนามบินค่ะ (เหมือนไปรษณีย์ไทยเลยค่ะ สัญลักษณ์ก็คล้ายๆ กัน) ยื่นพาสปอร์ตให้เขาก็จะได้พัสดุมาค่ะ เพิ่งทราบตอนไปถึงเหมือนกันว่าเขาจะจัดส่งมาให้ที่ไปรษณีย์ เดินวนไปมาอยู่นานก็ได้น้องสาวตาหวานปะรจำสนามบินที่ตาดีมากขอบอก เห็นคนเดินงงแล้วเริ่มเปิดแผนที่เปิดเอกสารปุ๊บ

เธอจะวิ่งเข้าไปหาปั๊บ
รับมาก็เปิดใช้ได้เลยค่ะ มีวิธีแนบมาเรียบร้อย (ในซองจดหมายที่ถืออยู่นั่นแหล่ะ) จากนั้นก็ลงไปชั้นหนึ่งค่ะ ทางไปรถไฟทั้งหมดจะมี JR office อยู่ ไปแลก JR Pass หรือใครจะนั่งเข้าเมืองเขาก็มีโปรโปชั่นอยู่นะคะ แล้วก็ปร๋อขึ้นรถไฟ จากที่เช็คใน hyperdia ได้ทันพอดีค่ะ
http://www.hyperdia.com/en/cgi/en จัดกันไปง่ายๆ ลองใช้ดู
นั่งมาลงที่ชินจูกุค่ะ จากนั้นต่อรถไฟ LTD EXP ไปที่มัทสึโมโตะ ถึงเกือบสองทุ่ม ฟ้ามืดสนิท รู้ซึ้งถึงคำว่างงไม่ช่วยอะไร เพราะต้องลากกระเป๋าเดินกว่าสองกิโลไปที่พักค่ะ ที่แรกจองไว้เป็นโฮสเทล ... ปัญหาแรกนอกจากไกลแล้ว ป้ายชื่อที่พักไม่มีภาษาอังกฤษค่ะ แล้วจะเจอได้อย่างไรกันละนี่ ก็ต้องถามเขาเอาค่ะ ปัญหาที่สองฟ้ามืด หมาสักตัวยังไม่เดินสวนกับเรา...ก่อนที่ฟ้าจะประทานสาวสวยมาอีกแล้วค่ะ เธอไม่รู้จักที่พักหรอก แต่เธอโทรถามเพื่อน ก่อนที่เพื่อนเธอก็รีบวิ่งมาจูงมือพาเราไปถึงที่ค่ะ

รอดไปหนึ่งคืน
หน้าประตูมีเท่านี้จริงๆ ค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าหาเองอีกนานเท่าไรกว่าจะเจอ
ที่จองเป็นโฮสเทลห้องรวมค่ะ ซึ่งโชดดีไม่มีคนมาพักเลย ห้องอาบน้ำใช้ร่วมกันด้านล่างค่ะ เจ้าของอัธยาศัยดีแม้จะพูดไม่ค่อยคล่องก็ตาม
ก็ถือว่าใช้ได้กับราคาค่ะ ถามว่าการเดินทางไกลจากสถานี แต่ตอนเลือกแล้วว่าใกล้ปราสาทมัทสิโมโตะ เพราะสิ่งที่ต้องการคือภาพยามค่ำคืนที่ใช้ขึ้นต้น ก็ถือว่าไม่ได้แย่มากค่ะ แต่ที่คิดว่าเลือกได้คงไม่มาอีกคือสิ่งนี้ค่ะ
เนื่องจากมัทสึโมโตะเป็นเมืองในหุบเขา อุณหภูมิก็เบาะๆ 0 - ลบ 5 เท่านั้น เจ้าฮีทเตอร์นี้ตอนแรกมันก็ดีๆ อยู่ค่ะ สักตีสองละมังปรากฎว่า...แก๊สหมด!!! นอนหนาวกัดฟัน ฮือๆๆ ถึงเช้ากันเลยทีเดียว คราวหน้าหนูจะไม่งกอีกแล้วค่
แต่ก่อนจะได้เผชิญวิบากนั้น เราได้ออกเดินทางฝ่าความมืดไปหาเหตุผลที่ว่าทำไมต้องมานอนที่นี่
[CR] @@ ลุยเดี่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว ไปให้ไกลต้องเอาให้คุ้ม (15 days 14 nights) @@
สวัสดีผู้อ่านทุกคนค่ะ ขออนุญาติลงบันทึกการท่องเที่ยวญี่ปุ่นของตัวเอง เพื่อสามารถเป็นประโยชน์ให้ใครบางคนได้บ้างเหมือนที่เคยได้รับจากเพื่อนๆ ในพันทิพตอนออกเดินทางนะคะ
ตอนที่ 1 มัทสึโมโตะ http://pantip.com/topic/31812434
ตอนที่ 2 Shirakawa-Kanazawa http://pantip.com/topic/31807590
ตอนที่ 3 Beppu-Yufuin http://pantip.com/topic/31812384
ตอนที่ 4 Aso - Kumamoto http://pantip.com/topic/31816159
ตอนที่ 5 Fukuoka http://pantip.com/topic/31816493
ตอนที่ 6 Takayama - shin hotake http://pantip.com/topic/31819997
ตอนที่ 7 Kawaguchiko - Asakusa http://pantip.com/topic/31845547/comment7
ตอนที่ 8 Night train - Asashikawa http://pantip.com/topic/31907228
ตอนที่ 9 Furano http://pantip.com/topic/31907372
ตอนที่ 10 Hakodate http://pantip.com/topic/31911211
ตอนที่ 11 Sapporo - Otaru http://pantip.com/topic/31912981
ตอนที่ 12 Shopping Day http://pantip.com/topic/31913044
ตอนสุดท้าย http://pantip.com/topic/31915835
ทริปนี้เที่ยวคนเดียว…ย้ำว่าคนเดียว T_T เศร้าใจค่ะ แต่เนื่องจากชีวิตที่เป็นอยู่ทำให้เวลาไม่ค่อยจะตรงกับใครๆ แล้วถ้าจะรอคนอื่น ก็เสียดายเวลาที่มี เลยเลือกแล้วค่ะ ว่าญี่ปุ่นนี่ล่ะ ที่ปลอดภัยสำหรับสาวโสดไร้ความสวยอย่างเราตอกย้ำชีวิตให้มันเหงาเล่น แน่นอนจะไปทั้งทีก็เอาให้คุ้ม 15 วัน
ตั๋วเครื่องบินที่ซื้อเป็น ไป-กลับ นาริตะค่ะ อย่างที่บอกว่าเป็นคนเสียดายเวลา จะให้เสียเป็นวันๆ นั่งเครื่องทรานซิทกับตั๋วเครื่องบินราคาถูกกว่าก็เสียดาย เลยยอมเสียเงินเพื่อบินตรงค่ะ
นาริตะ-มัทสึโมโตะ-ชิราคาวาโกะ-คานาซาว่า-ฟุคุโอกะ-เบบปุ-ยุฟอิน-คุมาโมโตะ-ทาคายาม่า-คาวากูชิโกะ-อาซาคุสะ-อาซาชิคาว่า-ฟุราโนะ-ฮาโกดาเตะ-ซัปโปโร-โอตารุ-อุเอโนะ
15 วัน 14 คืนค่ะ พิมพ์กันจนเมื่อยเลยทีเดียว เซียนหลายคนอาจจะเห็นว่าเส้นทางจะย้อนไปย้อนมานิดนึง ยอมรับความผิดค่ะ เพราะหลายๆ อย่างเป็นเหตุจำเป็นให้ต้องเปลี่ยนกะทันหัน ไม่ว่าการไปเยี่ยมเพื่อนที่ฟุคุโอกะ และที่พักที่ว่างที่ชิราคาวาโกะ แนะนำคนที่จะลอกการบ้านลองกรองดูก่อนนะคะ
ก่อนจะไปถึงญี่ปุ่น ขอเล่าวิธีการเตรียมตัวอย่างคร่าวๆ ค่ะ
1. เงิน : งบไม่เกินหนึ่งแสนค่ะ ดูแพงเนอะ แต่ก็ทำใจเพราะเน้นเที่ยวมากที่สุด แถมไปคนเดียว อะไรๆ ก็ไม่มีหาร
2. วิซ่า : ขอไม่ทันค่ะ เอาได้แค่ 15 วันฟรี มีประเด็นให้ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังค่ะ
3. วันเดินทาง : ได้เวเคชั่นวันที่ 16-31 ธันวาคม ค่ะ เลื่อนไปเลื่อนมาให้ได้ 15 วันก็จะชนปีใหม่พอดีเลยพยายามเลี่ยงๆ เดินทางเช้า 19 Dec กลับ 2 Jan ค่ะ
4. ตั๋วเครื่องบิน search เอาจากอากู๋ก็จะได้เว็บต่างๆ ค่ะ ราคาไม่หนีกันนักโดยเฉพาะถ้ามีเงื่อนไขว่าจะบินตรงด้วยแล้ว ส่วนตัวได้ของ delta มาค่ะ 24,000 แพงเหมือนกันเพราะวันที่สองที่กลับมายังอยู่ในช่วงเทศกาล แต่ชีวิตคนอย่างเราได้เท่านี้ล่ะค่ะ
5. ที่พัก ใช้การจองทางเน็ตเอาค่ะ วางแผนคร่าวๆ ความจริงถามว่า walk-in ไปก็คงได้ค่ะ เพราะที่ไปพักมาก็ไม่ได้เต็มอะไร แต่เนื่องจากอยู่ในช่วงเทศกาลเราเอาชัวร์ไว้ก่อนค่ะ แล้วจะบอกว่าของญี่ปุ่นนี้จองทางเน็ตสบายหายห่วง นอนมาสิบที่ไม่มีที่ไหนหลุดเลยค่ะ แถมติดต่อทางเน็ตได้เลยไม่ต้องใช้โทรศัพท์ ส่วนใหญ่เลื่อนได้ ยกเลิกได้ก่อนสามวันโดยไม่เสียอะไรทั้งสิ้น
หลักการจองก็คือถูกค่ะ ครั้งนี้เอามันตั้งแต่โรงแรมสี่ดาวยันดอร์มรวมเลยทีเดียว เพราะกะไว้นอนอย่างเดียว
ควบคู่กันมาคือใกล้สถานีรถไฟค่ะ อันนี้มาคิดได้ตอนไปถึงแล้ว เดี๋ยวมีเมาท์ให้ฟัง
สามคือแผนการเดินทางค่ะ อย่างทางนี้วางแผนไว้เลยว่าจะซักผ้าวันไหน วันนั้นจะนอนบิสสิเนสโฮเทล ซึ่งแพงกว่าโฮสเทลขึ้นมาหน่อยแต่มีเครื่องซักผ้า หรือจะไปดู niggle terrace ที่ฟุราโน่ ก็ไปนอนโรงแรมเลย เพราะว่าเขามีรถรับส่ง เทียบกับนอนถูกๆ แล้วบวกค่าแท็กซี่เข้าไป น่าจะคุ้มกว่าค่ะ
แล้วจะรีวิวที่พักสั้นๆ ในแต่ละเมืองให้ดูค่ะ จะได้เห็นที่พักหลายๆ ระดับแล้วเลือกถูก
6. เดินทาง : ใช้ที่ชำนาญที่สุดคือรถไฟค่ะ เลยจัด JR railpass 14 วัน ซื้อง่ายจ่ายคล่อง ทางเน็ตหรือเดินไปซื้อที่ร้านก็ได้ค่ะ ทางนี้ก็เดินเข้าร้านที่สถานีบีทีเอส ลืมเอาพาสปอร์ตไปอีกต่างหาก ก็ไม่มีปัญหาอะไร แค่จำชื่อที่ตรงกับพาสปอร์ตกับบอกวันให้ถูกและเงินสดเท่านั้นพอค่ะ
7. สื่อสาร : ตัดสินใจอยู่นานค่ะ ก็ได้จากในพันทิพนี่ล่ะค่ะ ใช้ซิมเน็ต 1 GB ของ b-mobile ซื้อทางเน็ท รับที่สนามบิน พันกว่าบาท (เริ่มจำไม่ได้แล้ว ลองหาดูได้ค่ะ) ใช้สิบห้าวันเหลือเฟือค่ะ ใช้ไลน์ฟรีคอลกลับมาหาที่บ้านได้ อัฟรูปได้ ที่สำคัญ "google map" ช่วยชีวิตจริงๆ ค่ะ ไม่ต้องห่วงเรื่องสัญญาณที่ญี่ปุ่นนี่ สี่จีของแท้ค่ะ
8. กระเป๋า : เอาล่ะสิ จะเอาไปยังไงเพราะไปแบบเปลี่ยนที่นอนตลอดค่ะ แถมไปคนเดียวเลยจัดอุปกรณ์ถ่ายรูปไปครบครัน เลยแยกสองใบค่ะ กระเป๋าลากยี่สิบนิ้วหนึ่งใบ กับกระเป๋าเป้แบ็กแพ็คใบหนึ่ง หนักกล้องกับเสื้อกันหนาวค่ะเพราะเอายีนส์ไปแค่สามตัว วางแผนไว้ว่าจะส่งกระเป๋ากับทัคคิวบิน หรือ yamato transport เอาค่ะ เลยควรจะแยกกระเป๋า
9. เสื้อผ้า : ฮอกไกโดหน้าหนาวลบสิบค่ะ จัดไปอย่าได้กลัวขนของหนัก ยังไงไม่ขนจากเมืองไทยก็ต้องไปขนที่ญี่ปุ่น(แถมเสียตังค์) แน่นอนค่ะ โดยเฉพาะหมวก ผ้าพันคอ ถุงมือ ขาดแล้วเที่ยวไม่สนุกจริงๆ ค่ะ ลองจอนอะไรก็เอาไปเถอะค่ะ แต่ที่พูดอย่างนี้คือจัดเสื้อผ้าจัดเต็มของห้าวันนะคะ เพราะเราวางแผนจองที่พักที่มีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญทุกห้าวันค่ะ ซักผ้าสองรอบน่าจะเอาอยู่
10. กล้อง : จัด Nikkon D7000 ไปกับเลนส์คิท, sigma 10-20, Fix 50 แล้วก็ขาตั้งหนึ่งตัวค่ะ เป็นภาระมากกกก แต่แหมไปคนเดียวถ้าไม่เอากล้องไปก็นะ ยอมค่ะ
ครบสิบข้อแล้วเดินทางกันได้เลยค่ะ
" ไปกี่วันคะ" เคาท์เตอร์เด็กๆ ค่ะ เกือบเรียกเราว่าน้องอีกต่างหาก
" 15 วันค่ะ"
" ลูกค้าคะ!" ทำหน้ายุ่งยากมาก "ที่ญี่ปุ่นนี้ถึงวีซ่าจะให้แต่ถ้าไปสิบห้าวันพอดีเขาจะส่งกลับนะคะ"
ฟังแล้วซีดไม่คะ ไม่พอชียังเลกเชอร์ต่อ "ต้องสักสิบสามวันค่ะ บลาๆๆๆๆ"
คือเราก็ฟังไปก็กลัวไปนะคะ แต่ก็สงสัยว่าแล้วชีจะให้เราทำยังไง ยกเลิกไปตอนนี้หรือไง เกือบจะโพล่งไปแล้วค่ะ ว่าช่างมันเถอะ ให้ชั้นได้ไปแล้วส่งกลับมา เธอช่วยปล่อยชั้นไปเถอะ เป็นแค่เคาท์เตอร์ไม่ใช่ ตม. โปรดทราบ!
สักแป๊บก็เหมือนจะมีซีเนียร์เดินมาค่ะ เธอก็มาช่วยนับมือ 20 - 2 นับได้ 14 วันค่ะ (เป็นโชคดีของเราที่ไม่รู้เหมือนกันว่าเขานับวีซ่าเป็น 1 วันคือวันที่ถัดไป) ก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรนิ แล้วเราก็เลยได้จ้ำๆ ผ่าน ตม. ไทย (ที่สแกนแต่พาสปอร์ต ไม่มีใครมาถามอะไรเลย) ไปขึ้นเครื่องไฟนอลคอลล
เหตุนั้นทำให้นั่งใจไม่ดีไปตลอดห้าชั่วโมงครึ่งค่ะ ว่าจะถูกส่งกลับหรือเปล่า ไม่มีอารมณ์ดูหนัง (ที่เหมือนๆ กับเครื่องอื่นนะคะคิดว่า) รับรสข้าว (รู้สึกจะเป็นออมเล็ท อาหารเช้า) แต่หงุดหงิดอีกทีตอนอาหารกลางวันเป็นแซนวิช-ลงเครื่อง รับกระเป๋า ใจเต้น ตึกตักๆ ไปที่กม. (อ่อ เขียน immigration บนเครื่องเสร็จแล้วด้วย เขียนให้ครบ รวมทั้งใบแสดงของด้วยนะคะ)
ถึงที่กม. ยิ้ม ยื่นพาสปอร์ต ("Thai?...Yes...Au") สแกนนิ้ว ถ่ายรูป บ๊ายบาย....อ้าว เอ๊ะ ไม่ถามอะไรชั้นเลยเหรอ...โซนสำแดงของ
"มาทำไรคะ"
"เที่ยวค่ะ"
"ทำไมเที่ยวคนเดียว มาหาเพื่อนเหรอ" แน่ะ...ชงให้อีก
"ใช่ค่ะ" เออออตามเรื่อง
"ทำไมมีเพื่อนที่นี่ล่ะ" นิ่งไปนิด
"อ่อ เคยมาแลกเปลี่ยนน่ะค่ะ (และเปลี่ยนเพื่อนไปนานแล้ว จะถามมั๊ยเนี่ยว่าบ้านเพื่อนเก่ามากนั้นอยู่ที่ไหน ตอบไม่ได้หรอกนะ)"
"อ้าว! เหรอคะ เชิญค่ะๆ welcome"
เงิบเลยสิคะ แล้วที่ชั้นนั่งกังวลมาเกือบหกชั่วโมงนั่นละ ไม่มีใครถามสักคนจะกลับวันไหน เตรียมตั๋วขากลับ เตรียมบัตรวิชาชีพไปก็ไม่ได้ใช้เลย (เอิ่ม...ความจริงควรจะดีใจนะ) สรุปว่าคนญี่ปุ่นรู้จักคนไทยดีค่ะ เรียกว่าเรายังเป็นนักท่องเที่ยวชั้นดีอยู่ ยิ่งถ้าบอกว่าเคยมา (แม้จะเปลี่ยนเล่มพาสปอร์ตไปแล้ว โกหกไปเธอก็คงไม่รู้) จะยิ่งยินดีเป็นพิเศษ
เล่ามายาว...แค่จะบอกสาเหตุว่าทำไมไม่มีรูปช่วงแรกของการเดินทางมาให้เลยค่ะ ไม่มีกะจิตกะใจจนออกจากสนามบินนั่นแหล่ะ
สาปส่งเคาท์เตอร์เดลตาแอร์กับความโง่ของตัวเองค่ะ
กลับมาที่การเดินทางของเราต่อ หลังจากผ่าน ตม. แล้วก็เป็นเรื่องของการทำเวลาค่ะ วิ่งไปชั้นสี่ก่อนเลยเพื่อรับซิมโทรศัพท์
ใครที่จะสั่งซิมเหมือนกัน อ่านตรงนี้หน่อยนะคะ ที่ไปรับไม่ใช่บูธของบริษัทแต่เป็นไปรษณีย์ในสนามบินค่ะ (เหมือนไปรษณีย์ไทยเลยค่ะ สัญลักษณ์ก็คล้ายๆ กัน) ยื่นพาสปอร์ตให้เขาก็จะได้พัสดุมาค่ะ เพิ่งทราบตอนไปถึงเหมือนกันว่าเขาจะจัดส่งมาให้ที่ไปรษณีย์ เดินวนไปมาอยู่นานก็ได้น้องสาวตาหวานปะรจำสนามบินที่ตาดีมากขอบอก เห็นคนเดินงงแล้วเริ่มเปิดแผนที่เปิดเอกสารปุ๊บ
รับมาก็เปิดใช้ได้เลยค่ะ มีวิธีแนบมาเรียบร้อย (ในซองจดหมายที่ถืออยู่นั่นแหล่ะ) จากนั้นก็ลงไปชั้นหนึ่งค่ะ ทางไปรถไฟทั้งหมดจะมี JR office อยู่ ไปแลก JR Pass หรือใครจะนั่งเข้าเมืองเขาก็มีโปรโปชั่นอยู่นะคะ แล้วก็ปร๋อขึ้นรถไฟ จากที่เช็คใน hyperdia ได้ทันพอดีค่ะ
http://www.hyperdia.com/en/cgi/en จัดกันไปง่ายๆ ลองใช้ดู
นั่งมาลงที่ชินจูกุค่ะ จากนั้นต่อรถไฟ LTD EXP ไปที่มัทสึโมโตะ ถึงเกือบสองทุ่ม ฟ้ามืดสนิท รู้ซึ้งถึงคำว่างงไม่ช่วยอะไร เพราะต้องลากกระเป๋าเดินกว่าสองกิโลไปที่พักค่ะ ที่แรกจองไว้เป็นโฮสเทล ... ปัญหาแรกนอกจากไกลแล้ว ป้ายชื่อที่พักไม่มีภาษาอังกฤษค่ะ แล้วจะเจอได้อย่างไรกันละนี่ ก็ต้องถามเขาเอาค่ะ ปัญหาที่สองฟ้ามืด หมาสักตัวยังไม่เดินสวนกับเรา...ก่อนที่ฟ้าจะประทานสาวสวยมาอีกแล้วค่ะ เธอไม่รู้จักที่พักหรอก แต่เธอโทรถามเพื่อน ก่อนที่เพื่อนเธอก็รีบวิ่งมาจูงมือพาเราไปถึงที่ค่ะ
หน้าประตูมีเท่านี้จริงๆ ค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าหาเองอีกนานเท่าไรกว่าจะเจอ
ที่จองเป็นโฮสเทลห้องรวมค่ะ ซึ่งโชดดีไม่มีคนมาพักเลย ห้องอาบน้ำใช้ร่วมกันด้านล่างค่ะ เจ้าของอัธยาศัยดีแม้จะพูดไม่ค่อยคล่องก็ตาม
ก็ถือว่าใช้ได้กับราคาค่ะ ถามว่าการเดินทางไกลจากสถานี แต่ตอนเลือกแล้วว่าใกล้ปราสาทมัทสิโมโตะ เพราะสิ่งที่ต้องการคือภาพยามค่ำคืนที่ใช้ขึ้นต้น ก็ถือว่าไม่ได้แย่มากค่ะ แต่ที่คิดว่าเลือกได้คงไม่มาอีกคือสิ่งนี้ค่ะ
เนื่องจากมัทสึโมโตะเป็นเมืองในหุบเขา อุณหภูมิก็เบาะๆ 0 - ลบ 5 เท่านั้น เจ้าฮีทเตอร์นี้ตอนแรกมันก็ดีๆ อยู่ค่ะ สักตีสองละมังปรากฎว่า...แก๊สหมด!!! นอนหนาวกัดฟัน ฮือๆๆ ถึงเช้ากันเลยทีเดียว คราวหน้าหนูจะไม่งกอีกแล้วค่
แต่ก่อนจะได้เผชิญวิบากนั้น เราได้ออกเดินทางฝ่าความมืดไปหาเหตุผลที่ว่าทำไมต้องมานอนที่นี่