พอดีเห็นห้องนี้มีคนที่เป็นทั้งคนป่วย คุณหมอ (ผู้ใจบุญหลายคนมาตอบปัญหาให้ผู้ป่วยสบายใจตลอด ) และผู้ที่มีประสบการณ์ดูแลญาติพี่น้อง เลยอยากมาถามความเห็นและคิดว่าคนในห้องนี้น่าจะเข้าใจเรามากที่สุดค่ะ
จะพยายามเล่าให้สั้นที่สุด และเพื่อให้คนอื่นเข้าใจที่สุดนะคะ ( ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นก็ขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วยค่ะ )
1. แนะนำตัวเอง : ตัวเราทำงานในโรงพยาบาล แต่ไม่ใช่คุณหมอ ไม่มีความรู้ทางแพทย์ แต่สามารถช่วยเหลือทำบัตรพาคนมาตรวจได้ สามารถอ้อนคุณหมอบางคนในโรงพยาบาลที่รู้จักส่วนตัวให้ช่วยดูแลได้ ดังนั้นตลอดชีวิตการทำงานของเราจึงมีโอกาสได้ช่วยเหลือคนอื่น ๆ ทั้งญาติและคนรู้จักเกี่ยวกับโรงพยาบาลตลอด ซึ่งปกติเราก็ยินดีทำเสมอมา จนมาถึงเรื่องที่จะปรึกษานี่ล่ะค่ะ
2. 6 ปีก่อนนี้ พี่ชายของสามีกลัวเป็นมะเร็งลำไส้เพราะมีผลเลือดมาจากรพ.ลพบุรีบอกว่าเสี่ยงสูง พี่ชายมาปรึกษาเรา (น้องสะใภ้ ) เราก็ช่วยพามาตรวจรพ.ที่เราทำงานซึ่งเป็นรพ.ใหญ่ในกทม. เรียบร้อยไม่เป็นมะเร็ง หลังจากนั้นพี่ชายก็อยากมาตรวจมารักษาที่กทม.ตลอด โดยขับรถไปมาระหว่างสิงห์บุรีกับกทม. (พี่ชายขับรถมาเอง) และมาพักคอนโดของเรา 1 คืน เราก็พาไปหาหมอตลอด 6 ปีผ่านไปไม่มีอะไรค่ะ
3. ประวัติพี่ชายสามี : สูบบุหรี่มาตลอดเพิ่งเลิกได้ประมาณ 3 ปี กินเหล้ามาตลอดจนติดเหล้าปัจจุบันก็ยังกินทุกวัน อายุ 66 ปี โรคประจำตัวคือเบาหวาน (ต้องฉีดยา) ไตเริ่มเสียจากเบาหวาน (หมอบอก) ตับไม่ค่อยดีนัก (หมอบอก) มีปอดนิดหน่อยไอเรื้อรัง และเหมือนหัวใจจะโตด้วย เผอิญทุกโรคนั้นหมอประจำตัวยัง เอาอยู่ ก็รักษากันไป พี่ชายกินยาต่อเนื่องดี อ้อ ! ขอเพิ่มประวัติครอบครัวเพื่อความเข้าใจ พี่ชายแต่งงานแล้วแต่ไม่มีลูก พี่สะใภ้ไม่เคยทำงานอยู่ได้ด้วยเงินเดือนสามีซึ่งเป็นข้าราชการเก่า คือเงินบำนาญ
4. ปีนี้เอง พี่ชายพบก้อนที่ใต้ลิ้น สรุปเป็นมะเร็งในช่องปาก ก็ผ่าตัดและต้องรับการฉายรังสีต่อ ปัญหาเริ่มเกิดค่ะ ดังนี้
4.1 พวกเราใช้บริการคลินิกนอกเวลาของโรงพยาบาล ซึ่งเมื่อผ่าตัดต้องเป็นระบบนอกเวลามีรายจ่ายเพิ่ม พี่ชายบอกไม่มีเงินเตรียมในส่วนนี้ พยาบาลบอกต้องเตรียมไว้ประมาณ 5- 7 หมื่น ตกลงบ้านเราเลยช่วยออกให้ สรุปค่าผ่าตัดครั้งนี้บ้านดิฉันเสียส่วนเกินไป 5 หมื่นบาท
4.2 พี่สะใภ้ทำอะไรไม่เป็นเลย (หรือไม่อยากทำก็ไม่ทราบ) พยาบาลสอนให้อาหารทางสายยางก็ทำไม่ค่อยได้ ไม่กระตุ้นผู้ป่วยทำอะไรเลย ทั้งคู่มาพักอยู่กับครอบครัวเราที่กทม. แต่ก่อนฉายรังสีต้องนัดเจอหมอเบาหวาน หมอฟัน ฯลฯ พี่ชายนั้นอยากเกาะอยู่กับบ้านเราที่ดูแลได้ดีกว่า (แต่เรากำลังจะตายเพราะไหนจะต้องทำงานประจำ ไหนลูกยังเล็ก บ้านก็เป็นคอนโดแคบมาก ความเป็นส่วนตัวหายไปหมด )
4.3 ต่อมาก็เรื่องฉายรังสี ต้องเป็นแบบนอกเวลาอีกคิวในเวลายาวมากไม่ทันกับโรค ไหน ๆ ก็อุตส่าห์ผ่ากันไปแล้ว งานนี้ส่วนเกินคงราว ๆ 4 หมื่นบาท ก็โชคดีบุญของบ้านเราที่มีคุณหมอให้ความช่วยเหลือส่งต่อไปให้อยู่รพมะเร็งลพบุรีเพื่อช่วยค่ารักษา เราเลยเสนอให้พี่สะใภ้ว่าถ้าอยู่ในกทมได้ห้องพิเศษรวม แต่ไปอยู่ลพบุรีได้ห้องพิเศษเดี่ยวจะเอาไง พี่ชายอยากอยู่กทมแต่รู้แล้วว่าเราเริ่มไม่ชอบใจ งานนี้พี่สะใภ้เลือกไปลพบุรี ครอบครัวเราเลยไม่ต้องจ่าย 4 หมื่น ให้แกไป 2 หมื่นบาทเผื่อส่วนเกินค่าห้องพิเศษไปแทน ( ปล. มีค่าอาหารกระป๋องด้วยเพราะพี่ชายทานอาหารปกติไม่ได้อีกประมาณ 3 หมื่นบาท ป่วยรอบนี้ครอบครัวเรารับภาระ 1 แสนบาท )
4.4 ปัญหาที่เรากลัวบาปคือ ตอนนี้พี่ชายฉายรังสีครบแล้วกลับบ้าน แต่แกอยากมารับการรักษาต่อที่โรงบาลกทม.เหมือนเดิม แต่แกขับรถเองไม่ได้แล้ว เราก็ไม่รู้จะทำยังไง จะให้ไปรับไปส่งตลอดก็ไกลกันมาก จะให้มาอยู่ด้วยก็ไม่ไหว โรคของแกก็เยอะ แล้วถ้าอีกหน่อยต้องเข้าโรงพยาบาลอีกในกทม.เราก็เกรงเรื่องค่ารักษาค่ะ บอกตรง ๆ เราไม่ไหวเรื่องค่ารักษาส่วนเกินด้วย และเราไม่สามารถเดินไปรับส่งแกหาหมอได้อีกเพราะแกเป็นมากขึ้น ไม่ได้หาหมอทุก 3 เดือนเหมือนเดิมด้วย ตอนนี้ครอบครัวเราทำเฉย ๆ ไม่ยอมรับสิ่งที่แกพยายามบอก แกเองก็ไม่กล้าบอกตรง ๆ นะคะ แต่แกงอนค่ะ ส่วนพี่สะใภ้ก็พยายามโทรมาบอกยาเบาหวานหมด พี่มีไข้ด้วยจะทำไง เราเลย และแนะนำให้พี่สะใภ้พาแกไปตรวจกับโรงพยาบาลใกล้บ้านที่ลพบุรีแทน (ก็รู้นะคะว่าแกลำบากเพราะพี่สะใภ้ขับรถเองไม่ได้ มีรถแต่ต้องจอดทิ้งไว้ ต้องไปขอญาติพี่สะใภ้ให้มาช่วยขับ)
เลยอยากถามความเห็นของทุกท่านในนี้ค่ะ ยอมรับทั้งความเห็นบวกและลบค่ะ ว่าเราใจร้ายไปไหมกับคนป่วยที่เป็นเยอะและต้องการความช่วยเหลือด้านจิตใจ (แกเชื่อถือบ้านเราและรู้สึกปลอดภัยมากกว่าอยู่กับภรรยา ) แค่นี้ล่ะค่ะ
แบบนี้ เราจะบาปไหม ?
จะพยายามเล่าให้สั้นที่สุด และเพื่อให้คนอื่นเข้าใจที่สุดนะคะ ( ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นก็ขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วยค่ะ )
1. แนะนำตัวเอง : ตัวเราทำงานในโรงพยาบาล แต่ไม่ใช่คุณหมอ ไม่มีความรู้ทางแพทย์ แต่สามารถช่วยเหลือทำบัตรพาคนมาตรวจได้ สามารถอ้อนคุณหมอบางคนในโรงพยาบาลที่รู้จักส่วนตัวให้ช่วยดูแลได้ ดังนั้นตลอดชีวิตการทำงานของเราจึงมีโอกาสได้ช่วยเหลือคนอื่น ๆ ทั้งญาติและคนรู้จักเกี่ยวกับโรงพยาบาลตลอด ซึ่งปกติเราก็ยินดีทำเสมอมา จนมาถึงเรื่องที่จะปรึกษานี่ล่ะค่ะ
2. 6 ปีก่อนนี้ พี่ชายของสามีกลัวเป็นมะเร็งลำไส้เพราะมีผลเลือดมาจากรพ.ลพบุรีบอกว่าเสี่ยงสูง พี่ชายมาปรึกษาเรา (น้องสะใภ้ ) เราก็ช่วยพามาตรวจรพ.ที่เราทำงานซึ่งเป็นรพ.ใหญ่ในกทม. เรียบร้อยไม่เป็นมะเร็ง หลังจากนั้นพี่ชายก็อยากมาตรวจมารักษาที่กทม.ตลอด โดยขับรถไปมาระหว่างสิงห์บุรีกับกทม. (พี่ชายขับรถมาเอง) และมาพักคอนโดของเรา 1 คืน เราก็พาไปหาหมอตลอด 6 ปีผ่านไปไม่มีอะไรค่ะ
3. ประวัติพี่ชายสามี : สูบบุหรี่มาตลอดเพิ่งเลิกได้ประมาณ 3 ปี กินเหล้ามาตลอดจนติดเหล้าปัจจุบันก็ยังกินทุกวัน อายุ 66 ปี โรคประจำตัวคือเบาหวาน (ต้องฉีดยา) ไตเริ่มเสียจากเบาหวาน (หมอบอก) ตับไม่ค่อยดีนัก (หมอบอก) มีปอดนิดหน่อยไอเรื้อรัง และเหมือนหัวใจจะโตด้วย เผอิญทุกโรคนั้นหมอประจำตัวยัง เอาอยู่ ก็รักษากันไป พี่ชายกินยาต่อเนื่องดี อ้อ ! ขอเพิ่มประวัติครอบครัวเพื่อความเข้าใจ พี่ชายแต่งงานแล้วแต่ไม่มีลูก พี่สะใภ้ไม่เคยทำงานอยู่ได้ด้วยเงินเดือนสามีซึ่งเป็นข้าราชการเก่า คือเงินบำนาญ
4. ปีนี้เอง พี่ชายพบก้อนที่ใต้ลิ้น สรุปเป็นมะเร็งในช่องปาก ก็ผ่าตัดและต้องรับการฉายรังสีต่อ ปัญหาเริ่มเกิดค่ะ ดังนี้
4.1 พวกเราใช้บริการคลินิกนอกเวลาของโรงพยาบาล ซึ่งเมื่อผ่าตัดต้องเป็นระบบนอกเวลามีรายจ่ายเพิ่ม พี่ชายบอกไม่มีเงินเตรียมในส่วนนี้ พยาบาลบอกต้องเตรียมไว้ประมาณ 5- 7 หมื่น ตกลงบ้านเราเลยช่วยออกให้ สรุปค่าผ่าตัดครั้งนี้บ้านดิฉันเสียส่วนเกินไป 5 หมื่นบาท
4.2 พี่สะใภ้ทำอะไรไม่เป็นเลย (หรือไม่อยากทำก็ไม่ทราบ) พยาบาลสอนให้อาหารทางสายยางก็ทำไม่ค่อยได้ ไม่กระตุ้นผู้ป่วยทำอะไรเลย ทั้งคู่มาพักอยู่กับครอบครัวเราที่กทม. แต่ก่อนฉายรังสีต้องนัดเจอหมอเบาหวาน หมอฟัน ฯลฯ พี่ชายนั้นอยากเกาะอยู่กับบ้านเราที่ดูแลได้ดีกว่า (แต่เรากำลังจะตายเพราะไหนจะต้องทำงานประจำ ไหนลูกยังเล็ก บ้านก็เป็นคอนโดแคบมาก ความเป็นส่วนตัวหายไปหมด )
4.3 ต่อมาก็เรื่องฉายรังสี ต้องเป็นแบบนอกเวลาอีกคิวในเวลายาวมากไม่ทันกับโรค ไหน ๆ ก็อุตส่าห์ผ่ากันไปแล้ว งานนี้ส่วนเกินคงราว ๆ 4 หมื่นบาท ก็โชคดีบุญของบ้านเราที่มีคุณหมอให้ความช่วยเหลือส่งต่อไปให้อยู่รพมะเร็งลพบุรีเพื่อช่วยค่ารักษา เราเลยเสนอให้พี่สะใภ้ว่าถ้าอยู่ในกทมได้ห้องพิเศษรวม แต่ไปอยู่ลพบุรีได้ห้องพิเศษเดี่ยวจะเอาไง พี่ชายอยากอยู่กทมแต่รู้แล้วว่าเราเริ่มไม่ชอบใจ งานนี้พี่สะใภ้เลือกไปลพบุรี ครอบครัวเราเลยไม่ต้องจ่าย 4 หมื่น ให้แกไป 2 หมื่นบาทเผื่อส่วนเกินค่าห้องพิเศษไปแทน ( ปล. มีค่าอาหารกระป๋องด้วยเพราะพี่ชายทานอาหารปกติไม่ได้อีกประมาณ 3 หมื่นบาท ป่วยรอบนี้ครอบครัวเรารับภาระ 1 แสนบาท )
4.4 ปัญหาที่เรากลัวบาปคือ ตอนนี้พี่ชายฉายรังสีครบแล้วกลับบ้าน แต่แกอยากมารับการรักษาต่อที่โรงบาลกทม.เหมือนเดิม แต่แกขับรถเองไม่ได้แล้ว เราก็ไม่รู้จะทำยังไง จะให้ไปรับไปส่งตลอดก็ไกลกันมาก จะให้มาอยู่ด้วยก็ไม่ไหว โรคของแกก็เยอะ แล้วถ้าอีกหน่อยต้องเข้าโรงพยาบาลอีกในกทม.เราก็เกรงเรื่องค่ารักษาค่ะ บอกตรง ๆ เราไม่ไหวเรื่องค่ารักษาส่วนเกินด้วย และเราไม่สามารถเดินไปรับส่งแกหาหมอได้อีกเพราะแกเป็นมากขึ้น ไม่ได้หาหมอทุก 3 เดือนเหมือนเดิมด้วย ตอนนี้ครอบครัวเราทำเฉย ๆ ไม่ยอมรับสิ่งที่แกพยายามบอก แกเองก็ไม่กล้าบอกตรง ๆ นะคะ แต่แกงอนค่ะ ส่วนพี่สะใภ้ก็พยายามโทรมาบอกยาเบาหวานหมด พี่มีไข้ด้วยจะทำไง เราเลย และแนะนำให้พี่สะใภ้พาแกไปตรวจกับโรงพยาบาลใกล้บ้านที่ลพบุรีแทน (ก็รู้นะคะว่าแกลำบากเพราะพี่สะใภ้ขับรถเองไม่ได้ มีรถแต่ต้องจอดทิ้งไว้ ต้องไปขอญาติพี่สะใภ้ให้มาช่วยขับ)
เลยอยากถามความเห็นของทุกท่านในนี้ค่ะ ยอมรับทั้งความเห็นบวกและลบค่ะ ว่าเราใจร้ายไปไหมกับคนป่วยที่เป็นเยอะและต้องการความช่วยเหลือด้านจิตใจ (แกเชื่อถือบ้านเราและรู้สึกปลอดภัยมากกว่าอยู่กับภรรยา ) แค่นี้ล่ะค่ะ