อาทิตย์อับแสง (บทที่ 16) โดย มานัส

กระทู้สนทนา
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 16)



การสนทานากับดาราสาวเป็นไปอีกนานแค่ไหนก็สุดที่ภูเก็ตจะรับรู้ เขาจำไม่ได้แม้กระทั่งว่าคุยอะไรบ้าง

ตาปรืออ่อนลงโรยแรง ไม่ใช่เพียงเพราะฤทธิ์เหล้าที่เจ้าตัวยังคงเพิ่มให้ตัวเอง หากเป็นเพราะภาพที่ฝังอยู่ในความทรงจำ

ระรินจากไปกับข้าวของเพียงไม่กี่ชิ้น หากทิ้งของมีค่าไว้มากมาย

ทิ้งความทรงจำที่มันฝังลึกในจิต

สำหรับคนที่ถูกทิ้ง สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคงไม่พ้นความ…ไม่รู้

“ผมทำอะไรผิดไปหรือ ระริน…”

นั่นเป็นสิ่งที่เขาเฝ้าถามตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยที่ไม่มีวันไหนที่จะไม่ถวิลหาเธอผู้เป็นที่รัก

ผูกพัน อาวรณ์ ห่วงใย




“นี่ๆ คุ๊ณณณณ” เกษราเขย่าเรียกอย่างแรง เอื้อมไปตบมือของคนที่ยังพยายามคว้าแก้ววิสกี้ “โคม่าขนาดนี้แล้วยังคว้าหาเหล้าอยู่อีก”

เธอส่ายหัวมองคนที่ขยับเกร็งตัว เอื้อมมือไปสุดแขนเพื่อจะไขว่คว้าขวดเหล้าที่อยู่อีกด้านของโต๊ะเตี้ยไกลออกไป

และเมื่อคว้ามันมาไม่ได้ เขาจึงถอนหายใจ ผ่อนตัวทิ้งหลังพิงพนักโซฟา ค่อยๆ หลับตาลง

เมื่อนั้น เกษราจึงตัดสินใจ คว้าขวดเหล้านั่นเอาไปวางไว้บนเคาน์เตอร์ครัว ก่อนจะตามเก็บแก้วสองใบที่วางอยู่ จัดแจงล้างให้เสร็จสรรพ แล้วจึงเดินกลับมายังบริเวณห้องนั่งเล่นอีกครั้ง เห็นเขานั่งคอตกพิงพนักโซฟาในท่าเดิม ดวงตาที่มักเป็นประกายวาววับปิดสนิท คงมีเพียงการหายใจสม่ำเสมอที่ทำให้แผ่นอกหนาใต้เสื้อเชิ้ตสีแขนยาวสีอ่อนของเขาขยับขึ้นลงเป็นจังหวะช้าๆ

เกษราหันมองไปรอบๆ ตัว พยายามจะมองหานาฬิกาเพื่อดูเวลา เพียงแต่ว่า...ไม่มีสักเรือน

จนหญิงสาวต้องเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าสะพายราคาแพงของเธอ หยิบโทรศัพท์มือถืออกมา

ตีสอง...จวนเจียนตีสาม

ไม่คิดว่าจะใช้เวลาอยู่กับเขานานอย่างนี้


“ภูเก็ต”

หญิงสาวตัดสินใจเดินไปเขย่าตัวเรียก เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว

“ภูเก็ต...นี่” เสียงเรียกซ้ำไปมาดังขึ้นเรื่อย พร้อมการเขย่าตัวที่แรงขึ้น “จะนอนท่านี้เหรอ”

ท่านอน...น่าจะเป็นท่านั่งเสียมากกว่า เป็นท่าที่ไม่น่าจะสบายนัก

“ภูเก็ต”

เธอเห็นว่าเขาเริ่มขยับตัว ดวงตาปิดบัดนี้เปิดปรือๆ

“ยังไม่กลับเหรอ” เขาถามเสียงเบาเกือบจะเป็นกระซิบ “งั้นผมไปส่ง”

ร่างสูงพยายามลุกขึ้น แต่ทำได้เพียงล้มๆ ลุกๆ สองสามครั้ง จนเกษราต้องปรามด้วยความตกใจ เพียงแต่ว่าในที่สุด เขาก็บังคับตัวยืนหยัดอยู่ได้ แม้ว่าจะมีอาการเซนิดๆ หากเมื่อจะก้าวขาอกไป แต่เขาก็กลับเซซัดอีกครั้ง ยังดีที่หญิงสาวคว้าร่างใหญ่ไว้ได้ทัน

“ถ้าจะเป็นแบบนี้ฉันไปส่งคุณที่เตียงดีกว่า” เธอบอกเช่นนั้นไม่รู้สึกขัดในคำพูด หากแต่รู้สึกถึงแขนของเขาที่พาดโอบไปด้านหลัง ไม่ต่างจากแขนของเธอที่โอบรอบเอวของคนตัวใหญ่ ค่อยๆ พาเขาเดินไปยังห้องนอน “ตัวหนักอย่างกับยักษ์วัดแจ้ง”

ยังดีที่เขาพอมีสติบ้างที่จะพยุงตัวและสาวเท้าเดินเองด้วย ไม่เช่นนั้นเกษราคงไม่มีทางทั้งลากทั้งพยุงเขาเข้ามา แล้วทิ้งร่างของเขาบนเตียงนอนใหญ่

หญิงสาวนั่งลงบนขอบเตียงพยายามเก็บอาการหอบ...เหนื่อยนัก

พักให้พอหายเหนื่อย ได้หายใจ เธอก็จัดแจงปรับท่านอนให้เขาเหยียดขาตรง แล้วรองหมอนหนานุ่มใต้ศีรษะของเขา

“ช่วยได้แค่นี้นะ” เกษรามองกับคนที่นอนนิ่ง เขายังอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ต และกางเกงทำงาน “ถ้าอยากเปลี่ยนเสื้อผ้าล่ะก็ โทรฯ หายัยชินนภาจอมราวีเองก็แล้วกัน”

แม้จะบอกเช่นนั้น แต่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้ากลับแลดูอ่อนโยน ก่อนที่หญิงสาวจะกอดอกกวาดสายตามองไปทั่วห้องนอน

เธอเข้ามาในห้องคอนโดนนี้หลายครั้งเพราะมิตรภาพที่เพิ่มขึ้น แต่จะอยู่ด้านนอกบริเวณห้องรับแขกเสียมากกว่า ครั้งนี้…ครั้งแรกที่เข้ามาถึงในห้องนอน

ห้องโล่งนัก ไม่มีอะไรเป็นที่น่าจดจำ ไม่มีอะไรที่จะบ่งบอกอดีตหรืออนาคตของเขา และไม่มีสิ่งไหนแสดงถึงความผูกพันที่เขามีหรือเคยมีแก่ใคร

สายตาของเธอกวาดมองไปรอบๆ อีกครั้ง จะมาหยุดก็ที่ร่างของเขาที่ยังคงหลับสนิทในท่าเดิมไม่มีทีท่าว่าได้ขยับ

ผู้ชายคนนี้…ใช้ของดี…ดูดี หากไม่ใช่สิ่งที่มีราคาเสมอไป

เกษราย่อมรู้ เพราะ…เงินที่เธอมีจากการทำงาน

การเป็นดาราดัง

การเป็นนางเอกสาวผู้เป็นที่หมายปองของคนทั้งประเทศ

ทำให้…เงิน เป็นปัญหาเล็กน้อยสำหรับเธอ

เงิน…บรรดาทุกสิ่ง เนรมิตทุกอย่างที่เธอใคร่อยากได้

ดังนั้นหญิงสาวจึงรู้ เพียงแค่แวบแรกทีเห็น

อะไร…ดี ไม่ดี

อะไร…มีราคา แต่ไร้ค่า







เกษราเดินออกมาด้านนอก

เดินเข้าออก วนไปมา พอจะรับรู้ในความคุ้นเคยกับสถานที่ว่า ภายในห้องของของเขานอกจากเสื้อผ้าราคาแพงและเครื่องใช้ส่วนตัวแล้ว เขา…ไม่มีแทบอะไรเลย

ไม่มีดีวีดี หรือแผ่นซีดี ไม่มีหนังสือนอกจากหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องงาน หรือเรื่องอะไรอย่างอื่น จนดูไม่ออกว่าเขาสนใจอะไร หรือใคร...สิ่งใดมีความสำคัญในชีวิต

เขาไม่มีแม้กระทั่งรูปของตัวเอง หรือว่ารูปครอบครัว

สิ่งที่เรียกว่าเป็นตัวเองที่สุด คือเปียโนไฟฟ้าที่ตั้งอยู่มุมของห้อง และแม้แต่เปียโนไฟฟ้านั่นก็ไม่มีหนังสือโน๊ตเพลงที่คนเล่นเปียโนส่วนใหญ่มักมี

สิ่งที่แปลกปลอมคงเป็นหนังสือปกเขียว…พระอภัยมณี

ที่เขาเคยชูขึ้นบอก

‘กำลังแปลไทยเป็นไทย’

คนโง่…ที่ไม่รู้จักแม้นิทานพื้นบ้านที่คนไทยส่วนใหญ่รู้ คงไม่รู้จักอะไรอย่างอื่น

ห้องของเขาไม่ได้สะอาดโล่ง…แบบผู้ชายของน้อย

แต่ห้อง…สะอาดโล่ง แบบคนที่ไม่มีสิ่งใดสำคัญในชีวิต เป็นห้องที่ไม่มีความทรงจำ ไม่มีชีวิตชีวา

มีแต่การใช้ชีวิตอยู่เท่านั้นเอง

เกษราเดินกลับเข้ามาในห้องนอน เห็นว่าร่างของคนเมายังคงนอนนิ่ง ไม่ได้ขยับไปจากเดิม เธอมองเขาเนิ่นนาน

ผู้ชายที่นอนนิ่ง…ก็คือผู้ชายที่ไร้พิษสง เธอย่อมรู้ เพราะมีหลายคราที่เธอต้อง ‘มอม’ เหล้าผู้ชาย…แบบนั้น เพื่อให้ตัวเอง...รอด

“ระ…ริน”

เสียงแผ่วแหบแห้งทำให้เธอขยับตัว เพราะได้ยินไม่ชัด หญิงสาวจึงก้มหน้าเข้าไปใกล้

“อย่าไป ระริน…ระ…ริน”

ดวงตาคมคู่นั้นเปิดออกเพียงนิด แต่ก็เป็นดวงตาของคนที่ไม่มีสติใดๆ เพียงแต่ว่าร่างที่งอตัวคดภายใต้ผ้าห่มหนานั้นบ่งบอกความรู้สึกบางอย่าง

เกษรามองร่างนั้น…พยายามสะกดอารมณ์อย่างยากเย็น

เห็นแล้วว่าเขาปิดตาลงอีกครั้ง

สิ่งที่เก็บซ่อนอยู่ข้างในที่ไม่มีใครเห็น ความทรงจำที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในกรอบรูป ความทรงจำที่วนเวียนอยู่ในหัว หลอนความรู้สึก เตือนทุกครั้งแม้นยามหลับหรือยามตื่น

ความทรงจำเหล่านั้นมันทรมานเพียงไหนหนอ

แม้กระทั่งในยามหลับเพราะฤทธิ์เหล้า เขายังกระสับกระส่าย ก่อนที่เจ้าตัวจะผงะขึ้นเพียงนิด ขยับตัวช้า เอื้อมมือไปทางโต๊ะหัวเตียงที่อยู่ด้านในสุด พยายามคว้าบางอย่างจนกระทั่งเจ้าตัวหมดแรงฟุบหลับไป

เกษราจัดตัวให้เขานอนเข้าที่ ทาบผ้าห่มผืนหนาลงบนตัวของเขา เธอมองดวงหน้าคมพลางคิด…ผู้ชายแบบไหนนะ ที่ทำให้ผู้หญิงที่ตนรักต้องหนีไปเช่นนั้น

หนี โดยที่เขาเองก็ยังไม่รู้สาเหตุ

ทำให้หลายปีที่ผ่านมา เขา จม อยู่กับความทุกข์

แต่ยามมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ภูเก็ตมักปิดบังร่องรอยของความทุกข์ทั้งหมดได้ดีนัก

โต๊ะหัวเตียงด้านในมีโคมไฟดวงเล็กวางอยู่ด้านบน ข้างล่างมีลิ้นชักเดียวที่มีกุญแจเสียบคาไว้ เพราะความสงสัยใคร่อยากรู้ หญิงสาวเดินไปนั่งยังขอบเตียงอีกด้าน มองลิ้นชักนั่นอยู่ครู่ ก่อนตัดสินใจดึงเปิดมันออก

ลิ้นชักขนาดเล็กมีหนังสือภาษาอังกฤษเล่มเล็กเก่าๆ ที่แม้ไม่ขาดแต่ก็อ่อนยับไปตามกาลเวลา

The Catcher In The Rye

หนังสือเล่มบางที่เธอไม่รู้จัก คงมีความหมายสำหรับเขา เพราะเขาคว้าหามันแม้เมื่อยามหลับใหล ไม่ได้สติ

มือเล็กพลิกหน้าเปิด แล้วหยุดอยู่ระหว่างหน้าที่มีรูปถ่ายเก่าคั่น

รูปที่เห็นเป็นรูปของเขาเมื่อหลายปีมาแล้ว ดวงหน้าคมคาย แววตาฉายแววประกายกล้าบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นในตัวเองที่ปรากฏอยู่แม้ในทุกวันนี้

มือเรียวของหญิงสาวพลิกเปิดหน้าหนังสือ ลายมือตวัดบ่งบอก…วันเดือนปี และคำว่า…My Huckleberry Friend

เกษราพลันนิ่วหน้าคิด

We’re after the same rainbow’s end
My Huckleberry Friend…
Moon river and me.


หญิงสาวบรรจงวางหนังสือเล่มนั้นเก็บเข้าที่ รูปภาพของเขาก็ยังสอดวางไว้เหมือนเดิม

สิ่งเดียวที่ทำให้เขาเป็นเขา

ความรู้สึกที่ถูกล๊อคไว้ในตู้เล็กๆ เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของเขา

และเหมือนว่าเขาจะปิดซ่อนมันไว้ไม่ให้ใครได้รู้เห็นเลย

คนที่ เคย ได้เห็น คงมีเพียงแค่ Huckleberry Friend ของเขาเท่านั้น

เกษราหันมองคนเมาที่ยังคงนอนนิ่ง เสียงลมหายใจของเขาแผ่ว สลับกับเสียงครางเบาๆ ทอดถอนในลำคอ

การขยับและกระตุกตัวเป็นระยะๆ ของคนที่นอนอยู่ บ่งบอกว่ากำลังหลงร่อนเร่ในความฝัน

ฝัน…ที่ทำให้เขาขมุบขมิบปาก และพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะยกแขนขึ้น หากในที่สุดก็ดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถคว้าสิ่งที่ปรารถนามาได้

ร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียงใหญ่พลันหยุด สงบ…อีกครั้ง

คงเหลือเพียงลมหายใจแผ่วๆ จนหญิงสาวที่มองเขามานานต้องถอนหายใจ

มือเล็กแตะที่ลิ้นชักเพื่อที่จะปิด หากเสียงก๊อกแก็กกำลังบ่งบอกว่ามีสิ่งอื่นอยู่ด้านในของลิ้นชักนั่น

คิ้วเรียวราวคันศรของหญิงสาวขมวดด้วยความสงสัย ก่อนที่เธอตัดสินใจดึงลิ้นชักออกมาจนสุด มองกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินที่ซ่อนอยู่ด้านใน

เพราะความอยากรู้ ทำให้หญิงสาวตัดสินใจหยิบกล่องนั้นขึ้นมา พลางหันไปมองคนที่นอนนิ่งเพราะพิษเหล้า

ดวงหน้าของเขาสงบ คงมีแต่เปลือกตาที่ปิดสั่นไหวๆ ซึ่งอาจเป็นเพราะความฝัน หรือความทรงจำที่ยังเหลือของอดีต

เกษราตัดสินใจอยู่นาน จนในที่สุดเธอเลือกที่จะเปิดกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน

การ…มอง เนิ่นนาน

สำหรับบางคน การเมาเหล้าหรือเมารัก

เมาอารมณ์หรือเมาชีวิต

ก็คงแทบไม่ต่างกันเลย

เมา…ไม่ว่าอะไร ก็ทำให้เจ็บ ทำให้ช้ำ ทำให้ไร้ซึ่งสติที่จะคงไว้ว่า…พอ




(ต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่