คือผมเห็นกระทู้รีวิวลดความอ้วนเยอะนะครับ แต่ผมก็อยากจะขอรีวิวของผมบ้าง เผื่อเป็นอีกมุมนึงในการลดความอ้วนหรือคนที่อยากดูดี (ไม่ได้ขายสินค้าแต่อย่างใด)
เริ่มเลยนะครับ เกิดมาที่บ้านผมไปฝากญาติเลี้ยงอยู่ในชุมชนๆหนึ่ง แล้วเมื่อพ่อกับอาม่าไปเยี่ยม อาม่าเห็นผม ผอมมมมมมแห้ง ทั้งอ้วกทั้งอาเจียน หัวโตๆ เขาทนไม่ได้ครับ เลยรับผมกลับมาเลี้ยงเอง ขุน อย่างดิบดี ผมจำความได้ก็คือตอนผม อ้วน(ตั้งแต่เกิดแล้วอาม่ารับมาเลี้ยงแล้ว)
หลังจากนั้นผมก็รู้สึกเป็นเด็กที่กินเก่งมากๆ กินตลอดเวลา กินทีเยอะๆแอบย่องไปกินตอนกลางคืน(อาม่าทำกับข้าวอร่อย อีกแล้ว) ใครห้ามไม่ได้ งอน ไม่พอใจ ที่บ้านก็เลยต้องตามใจ ผมจำได้ว่าช่วง ป.6 ผมหนัก 90 กว่าแล้ว ซึ่งตอนนั้นยังไม่คิดที่จะ ลดน้ำหนัก ทุกคนก็คอยห้ามคอยเตือน ผมก็ไม่สนใจครับ เมื่อเข้าสู่ ยุค มัธยมต้น ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ " เราเริ่มมีกลิ่นตัว พอใส่เสื้อนักเรียนมันจะเหลืองๆ คือสกปรกอ่ะช่วงที่อ้วนไขมัน ยิ่งเยอะ แน่นอน ข้างขาเบียดเสียดจนดำแสบ รักแร้เวลาเหงื่อออกทีก็ขึ้นเป็นผื่นแสบ เหมือนข้างขาครับ คอดำ !! แล้วเราเป็นพวกเสียเซ้วอ่ะ เวลาใส่เสื้อไปข้างนอกก็ต้องใส่เสื้อคอปก เพื่อนก็ชอบล้อ คอดำๆๆ ไออ้วนๆ เห็นเพื่อนๆนั่งไขว้ห้าง แม่มนั่งยังไงวะ เรานี่แค่เอาขาขึ้นก็ลำบากแล้วอ่ะ เห็นเพื่อน วิ่งขึ้นบันไดทีละ2ขั้น ไอเราเดินก็หอบจะรับประทานอยู่แล้ว อยากวิ่งได้แบบเขาบ้าง " ช่วงม1.-ม.3 น้ำหนัก พีคสุด 120 ก.ก. ครับ
ช่วงม.ปลาย อายุ 16 ผมไปต่อสายอาชีวะ แล้วเรียนไม่จบ ตัดสินใจครับ ตอนนั้นผมตัดสินใจเลยว่าจะมาต่อ ม.4ใหม่ที่ รร.เดิม ดรอปออกมาทำงาน เราจะขอใช้ชีวิตที่เหลือก่อนเข้าม.4 ลดน้ำหนัก ให้ได้ ผมทำงานกับที่บ้าน เป็นจับกังดีๆนี่ล่ะ แบกของวิ่งขึ้นชั้น2ชั้น3 ซึ่งตอนนั้น น้ำหนักลดลงมา อยู่ที่ 92กิโลกรัม ถือว่าเยอะพอสมควรจาก 120
ทำงานหนักมากเพราะเรารู้ว่ามันเป็นงานใช้แรง เดินมันเข้าไป เค้าจะเอาอะไร เราก็วิ่งไปหยิบ เดินไปแบก เพราะรู้ว่ามันได้ออกแรง และนี่คือการออกกำลังกายครั้งแรกในชีวิตของผม (ซึ่งตอนนั้นผมคิดงั้นนะว่ามันผอมแน่ๆ) ซึ่งมันก็ผอมจริงๆครับ ประหลาดใจ ทำอะไรได้ดีขึ้น แต่ มันยังไม่พอ...
ตอน92 ก.ก. ครับ
แต่เราก็คิดไว้ในใจว่า "เราอยากใส่กางเกงยีนส์ขายาว เพราะเราชอบแต่งตัว แต่ตอนอ้วนเราใส่ได้แค่ กางเกงสามส่วนเอวยืด เสื้อตัวใหญ่ๆ อยากมีแฟน อยากวิ่งขึ้นบันได2ขั้นได้ อยากนั่งไขว่ห้างได้ อยากมีบุคลิกที่ดี อยาก อยาก อยาก ต่างๆนานา จะไปเดินให้ไอพวกที่เคยด่าเรา หยามเรา ให้มันเงิบให้ได้" ไฟลุกโชนมากครับ ถ้าเรามี attitude ที่ + จินตนาการว่าถ้าเราผอมเราจะเป็นไง สิ่งที่เราคิดว่าเราผอม มันมีแต่ ข้อดีทั้งนั้นเลย มีแต่คิดแล้วยิ้ม แต่ตอนที่ลงมือทำ มันทรมาณมากๆ จบม.6 ผมเริ่มเข้าฟิตเนต เล่นเวท เพื่อกระชับกล้ามเนื้อเพราะตอนที่ ทำงานเราลดแบบผิดๆทำให้กล้ามเนื้อถูกทำลาย เกิดอาการเหี่ยว หลวม ผมเริ่มจาก เล่นเวท ทุกส่วน เล่นเสร็จ มา เบิร์นต่อ ไม่วิ่งนะครับเพราะผมมีปัญหาเรื่องหัวเข่า ผมใช้ เดินชัน เอา เดิน วันละ 1 ชั่วโมง (วิถีการลดของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปผมอาจจะไม่ได้เจาะลึกเพราะถ้าเจาะลึกคงยาวมากๆครับไว้จะตอบที่ละประเด็นละกัน)
ตอนนั้น น้ำหนัก 92 ลดลงมา เหลือ 83 ตอนที่ผมอยู่บน ลู่วิ่ง ผมเหนื่อยนะ เหนื่อยมาก เจ็บขาด้วย เพราะหัวเข่าและฝ่าเท้าผมมีปัญหาเนื่องจากตอนอ้วน ทำให้น้ำหนักเยอะมัน ทิ้งมาที่หัวเข่า ทำให้ขาเก (ที่หัวเข่าแบะๆชิดกันน่ะครับ) ผมเบิร์นไป แสบฝ่าเท้าไป แต่ผมก็ฟังเพลงที่มันค่อนข้างเดือดๆ ระหว่างที่อยู่บน ลู่วิ่ง ผมจินตนาการตลอดว่า "เดี๋ยวเจอกู" แล้วก็โวยวายๆตามเพลงเดือดๆ+กับเบิร์นมันต่อไป ทรมาณครับทรมาณมากๆ แต่มัน สะใจ เมื่อเราได้คิด ได้จินตนาการถึงผลที่มันจะตามมา ว่ามันต้องเจ๋ง เดี๋ยวเจอกัน อะไรประมาณนี้ (แต่ไม่รู้เจอใคร) 55555555555 ผมเริ่มหันมาสนใจอาหารการกินมากขึ้น ตัดของจุกจิกทุกอย่าง กินข้าว 3-4-5 มื้อ แล้วแต่วัน
ผมจะอธิบายถึง อาหารการกินสักนิดนะครับ หลายคนหิว ซัดเลย สั่งพิเศษมื้อใหญ่ (ผมก็เป็นเมื่อก่อนไม่มีคำว่าธรรมดา ป้า พิเศษตลอด ! ) ผมจะอธิบายให้ว่า การกินบ่อยมื้อแต่ปริมาณน้อยๆพอดี พออิ่ม + กับ อาหารที่ร่างกายจำเป็น มันเหมือน.... ร่างกายเรา เปรียบดั่ง เตาเผาไฟครับ เราค่อยๆหย่อน กระดาษไปทีละใบ สองใบ มันก็ค่อยๆเผาไปเรื่อยๆไฟลุกติดเรื่อยๆ แต่ถ้าเมื่อเราหิววๆๆๆ มาถึงซัดโคร่มๆๆ มันเหมือนเอา สมุดเล่มเหลือง(ไอที่เล่มหนาๆมีเบอร์โทรเยอะๆ) โยนเข้าไปใน เตาเผา ควั่บ ! ไฟดับครับ ร่างกายเราอิ่มจริง แต่มันรับไม่หมดหรอกครับถ้าเรากินเข้าไปเยอะขนาดนั้น มันก็เป็นส่วนเกินที่ไปสะสมตามร่างกายของเรา ทำให้เราอ้วน กินน้อยมื้อรู้จักกิน รู้จักใช้ ว่าร่างกายต้องการอะไร ใช้อะไร น้ำหวาน น้ำอัดลม หมูกรอบ พิซซ่า ลูกชิ้นทอดโง่ๆ เลิกครับ ของจุกจิกทุกอย่าง เลิกเสียครับ ตอนนี้ผมอายุ 22 นี่คือรูปปัจจุบันของผม
อันนี้ถ่ายก่อนว่ายน้ำ อยู่ที่ยิมครับ
อันนี้ให้เพื่อนถ่ายให้ครับ
ปัจจุบัน น้ำหนักผมอยู่ที่ 79-80 ก.ก. ครับ
สุดท้าย ผมรีวิวไม่ค่อยเก่งอ่ะครับ ผมอยากมาฝากเป็นแรงบันดาลให้พวกพี่ๆน้องๆ เพื่อนๆ ทุกคนดีกว่าครับที่กำลังจะลดน้ำหนัก ยาที่ดีที่สุดคือ จินตนาการ ของเราครับ แค่เราจินตนาการว่าเราผอม คุณก็ผอมแล้วครับ เหลือลงมือทำ ทำมัน มันอาจจะยาก ลำบาก ทรมาณ ผมเข้าใจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามันดีมากๆนะครับ ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่หลายๆกระทู้จากที่เขารีวิวกัน ผมอาจจะไม่ได้ เจาะลึก เรื่อง ข้อมูลโภชนามากเท่าไหร่ แต่ถ้าใครอยากทราบ เดี๋ยวผมจะมาเพิ่มเติมให้เท่าที่ผมรู้ล่ะกันครับ เรื่องอาหารการกิน แต่ส่วนใหญ่ผม อยากให้กำลังใจ ทำมันด้วยความสะใจ ! เปรียบเสมือนความคั่งแค้นมันสะสมอยู่ในใจเรามานานแสนนานๆ ถึงเวลาที่เราจะปลดปล่อยมันออกมาแล้ว พอเราทำได้แล้วเรามองย้อนกลับไปเราจะหัวเราะ (เชี่- สะใจว่ะ) ผมอาจจะหยาบคาย กวนๆ แต่นี่คือวิถีทางของผม ตอนนี้ผมกระชับขึ้น แข็งแรงขึ้น ใส่เสื้อผ้าได้หลากหลายมากขึ้น แต่หน้าท้องกับต้นขา ก็ยังหลวมอยู่นะครับแต่ไม่มากเหมือนเมื่อก่อน เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ อะไรที่ผิดพลาดไปหรือลงรายละเอียดไม่ครบ ถามได้ครับผมจะมาตอบทีละประเด็น เช่น
1.ออกกำลังกายยังไง 2.กินยังไง เพราะผมไม่ได้เจาะประเด็นพวกนี้มาก เพราะเดี๋ยวมันจะสลับกัน งงไปหมด ขอเน้นๆเรื่อง "แรงบันดาลใจ" ดีกว่า เลิกอ้างเลิกโทษชีวิตครับ ผมนี่ล่ะ อ้วนตั้งแต่เกิดจำความได้ ไม่ใช่กรรมพันธุ์ ชีวิตเราวิถีทางของเรา เราอยากเป็นแบบไหน เราเลือก ที่จะทำมันเอง สำหรับผมทำอะไร ผมทำให้สุด เก็บคำดูถูก ตำหนิ ด่าทอ มาเป็น พลังงานดีๆในการที่จะทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะลดความอ้วน หรืออะไรก็แล้วแต่ สู้ๆครับ ผมเป็นกำลังใจให้ มีอะไรสอบถามได้นะครับ จะตอบเท่าที่ผมเคยผ่านมันมา เรียนรู้มา ขอบคุณครับ
Make up one mind . Don't cry all things.
เลือกแล้วอย่าร้อง
ปลั๊ก พุงยิ้ม.
[CR] ขอเป็นส่วนเล็กๆอีกส่วนหนึ่งสำหรับคน "อ้วน" ที่ต้องการ "แรงบันดาลใจ" ให้ตัวเองผอมและดูดี
เริ่มเลยนะครับ เกิดมาที่บ้านผมไปฝากญาติเลี้ยงอยู่ในชุมชนๆหนึ่ง แล้วเมื่อพ่อกับอาม่าไปเยี่ยม อาม่าเห็นผม ผอมมมมมมแห้ง ทั้งอ้วกทั้งอาเจียน หัวโตๆ เขาทนไม่ได้ครับ เลยรับผมกลับมาเลี้ยงเอง ขุน อย่างดิบดี ผมจำความได้ก็คือตอนผม อ้วน(ตั้งแต่เกิดแล้วอาม่ารับมาเลี้ยงแล้ว)
หลังจากนั้นผมก็รู้สึกเป็นเด็กที่กินเก่งมากๆ กินตลอดเวลา กินทีเยอะๆแอบย่องไปกินตอนกลางคืน(อาม่าทำกับข้าวอร่อย อีกแล้ว) ใครห้ามไม่ได้ งอน ไม่พอใจ ที่บ้านก็เลยต้องตามใจ ผมจำได้ว่าช่วง ป.6 ผมหนัก 90 กว่าแล้ว ซึ่งตอนนั้นยังไม่คิดที่จะ ลดน้ำหนัก ทุกคนก็คอยห้ามคอยเตือน ผมก็ไม่สนใจครับ เมื่อเข้าสู่ ยุค มัธยมต้น ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ " เราเริ่มมีกลิ่นตัว พอใส่เสื้อนักเรียนมันจะเหลืองๆ คือสกปรกอ่ะช่วงที่อ้วนไขมัน ยิ่งเยอะ แน่นอน ข้างขาเบียดเสียดจนดำแสบ รักแร้เวลาเหงื่อออกทีก็ขึ้นเป็นผื่นแสบ เหมือนข้างขาครับ คอดำ !! แล้วเราเป็นพวกเสียเซ้วอ่ะ เวลาใส่เสื้อไปข้างนอกก็ต้องใส่เสื้อคอปก เพื่อนก็ชอบล้อ คอดำๆๆ ไออ้วนๆ เห็นเพื่อนๆนั่งไขว้ห้าง แม่มนั่งยังไงวะ เรานี่แค่เอาขาขึ้นก็ลำบากแล้วอ่ะ เห็นเพื่อน วิ่งขึ้นบันไดทีละ2ขั้น ไอเราเดินก็หอบจะรับประทานอยู่แล้ว อยากวิ่งได้แบบเขาบ้าง " ช่วงม1.-ม.3 น้ำหนัก พีคสุด 120 ก.ก. ครับ
ช่วงม.ปลาย อายุ 16 ผมไปต่อสายอาชีวะ แล้วเรียนไม่จบ ตัดสินใจครับ ตอนนั้นผมตัดสินใจเลยว่าจะมาต่อ ม.4ใหม่ที่ รร.เดิม ดรอปออกมาทำงาน เราจะขอใช้ชีวิตที่เหลือก่อนเข้าม.4 ลดน้ำหนัก ให้ได้ ผมทำงานกับที่บ้าน เป็นจับกังดีๆนี่ล่ะ แบกของวิ่งขึ้นชั้น2ชั้น3 ซึ่งตอนนั้น น้ำหนักลดลงมา อยู่ที่ 92กิโลกรัม ถือว่าเยอะพอสมควรจาก 120
ทำงานหนักมากเพราะเรารู้ว่ามันเป็นงานใช้แรง เดินมันเข้าไป เค้าจะเอาอะไร เราก็วิ่งไปหยิบ เดินไปแบก เพราะรู้ว่ามันได้ออกแรง และนี่คือการออกกำลังกายครั้งแรกในชีวิตของผม (ซึ่งตอนนั้นผมคิดงั้นนะว่ามันผอมแน่ๆ) ซึ่งมันก็ผอมจริงๆครับ ประหลาดใจ ทำอะไรได้ดีขึ้น แต่ มันยังไม่พอ...
ตอน92 ก.ก. ครับ
แต่เราก็คิดไว้ในใจว่า "เราอยากใส่กางเกงยีนส์ขายาว เพราะเราชอบแต่งตัว แต่ตอนอ้วนเราใส่ได้แค่ กางเกงสามส่วนเอวยืด เสื้อตัวใหญ่ๆ อยากมีแฟน อยากวิ่งขึ้นบันได2ขั้นได้ อยากนั่งไขว่ห้างได้ อยากมีบุคลิกที่ดี อยาก อยาก อยาก ต่างๆนานา จะไปเดินให้ไอพวกที่เคยด่าเรา หยามเรา ให้มันเงิบให้ได้" ไฟลุกโชนมากครับ ถ้าเรามี attitude ที่ + จินตนาการว่าถ้าเราผอมเราจะเป็นไง สิ่งที่เราคิดว่าเราผอม มันมีแต่ ข้อดีทั้งนั้นเลย มีแต่คิดแล้วยิ้ม แต่ตอนที่ลงมือทำ มันทรมาณมากๆ จบม.6 ผมเริ่มเข้าฟิตเนต เล่นเวท เพื่อกระชับกล้ามเนื้อเพราะตอนที่ ทำงานเราลดแบบผิดๆทำให้กล้ามเนื้อถูกทำลาย เกิดอาการเหี่ยว หลวม ผมเริ่มจาก เล่นเวท ทุกส่วน เล่นเสร็จ มา เบิร์นต่อ ไม่วิ่งนะครับเพราะผมมีปัญหาเรื่องหัวเข่า ผมใช้ เดินชัน เอา เดิน วันละ 1 ชั่วโมง (วิถีการลดของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปผมอาจจะไม่ได้เจาะลึกเพราะถ้าเจาะลึกคงยาวมากๆครับไว้จะตอบที่ละประเด็นละกัน)
ตอนนั้น น้ำหนัก 92 ลดลงมา เหลือ 83 ตอนที่ผมอยู่บน ลู่วิ่ง ผมเหนื่อยนะ เหนื่อยมาก เจ็บขาด้วย เพราะหัวเข่าและฝ่าเท้าผมมีปัญหาเนื่องจากตอนอ้วน ทำให้น้ำหนักเยอะมัน ทิ้งมาที่หัวเข่า ทำให้ขาเก (ที่หัวเข่าแบะๆชิดกันน่ะครับ) ผมเบิร์นไป แสบฝ่าเท้าไป แต่ผมก็ฟังเพลงที่มันค่อนข้างเดือดๆ ระหว่างที่อยู่บน ลู่วิ่ง ผมจินตนาการตลอดว่า "เดี๋ยวเจอกู" แล้วก็โวยวายๆตามเพลงเดือดๆ+กับเบิร์นมันต่อไป ทรมาณครับทรมาณมากๆ แต่มัน สะใจ เมื่อเราได้คิด ได้จินตนาการถึงผลที่มันจะตามมา ว่ามันต้องเจ๋ง เดี๋ยวเจอกัน อะไรประมาณนี้ (แต่ไม่รู้เจอใคร) 55555555555 ผมเริ่มหันมาสนใจอาหารการกินมากขึ้น ตัดของจุกจิกทุกอย่าง กินข้าว 3-4-5 มื้อ แล้วแต่วัน
ผมจะอธิบายถึง อาหารการกินสักนิดนะครับ หลายคนหิว ซัดเลย สั่งพิเศษมื้อใหญ่ (ผมก็เป็นเมื่อก่อนไม่มีคำว่าธรรมดา ป้า พิเศษตลอด ! ) ผมจะอธิบายให้ว่า การกินบ่อยมื้อแต่ปริมาณน้อยๆพอดี พออิ่ม + กับ อาหารที่ร่างกายจำเป็น มันเหมือน.... ร่างกายเรา เปรียบดั่ง เตาเผาไฟครับ เราค่อยๆหย่อน กระดาษไปทีละใบ สองใบ มันก็ค่อยๆเผาไปเรื่อยๆไฟลุกติดเรื่อยๆ แต่ถ้าเมื่อเราหิววๆๆๆ มาถึงซัดโคร่มๆๆ มันเหมือนเอา สมุดเล่มเหลือง(ไอที่เล่มหนาๆมีเบอร์โทรเยอะๆ) โยนเข้าไปใน เตาเผา ควั่บ ! ไฟดับครับ ร่างกายเราอิ่มจริง แต่มันรับไม่หมดหรอกครับถ้าเรากินเข้าไปเยอะขนาดนั้น มันก็เป็นส่วนเกินที่ไปสะสมตามร่างกายของเรา ทำให้เราอ้วน กินน้อยมื้อรู้จักกิน รู้จักใช้ ว่าร่างกายต้องการอะไร ใช้อะไร น้ำหวาน น้ำอัดลม หมูกรอบ พิซซ่า ลูกชิ้นทอดโง่ๆ เลิกครับ ของจุกจิกทุกอย่าง เลิกเสียครับ ตอนนี้ผมอายุ 22 นี่คือรูปปัจจุบันของผม
อันนี้ถ่ายก่อนว่ายน้ำ อยู่ที่ยิมครับ
อันนี้ให้เพื่อนถ่ายให้ครับ
ปัจจุบัน น้ำหนักผมอยู่ที่ 79-80 ก.ก. ครับ
สุดท้าย ผมรีวิวไม่ค่อยเก่งอ่ะครับ ผมอยากมาฝากเป็นแรงบันดาลให้พวกพี่ๆน้องๆ เพื่อนๆ ทุกคนดีกว่าครับที่กำลังจะลดน้ำหนัก ยาที่ดีที่สุดคือ จินตนาการ ของเราครับ แค่เราจินตนาการว่าเราผอม คุณก็ผอมแล้วครับ เหลือลงมือทำ ทำมัน มันอาจจะยาก ลำบาก ทรมาณ ผมเข้าใจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามันดีมากๆนะครับ ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่หลายๆกระทู้จากที่เขารีวิวกัน ผมอาจจะไม่ได้ เจาะลึก เรื่อง ข้อมูลโภชนามากเท่าไหร่ แต่ถ้าใครอยากทราบ เดี๋ยวผมจะมาเพิ่มเติมให้เท่าที่ผมรู้ล่ะกันครับ เรื่องอาหารการกิน แต่ส่วนใหญ่ผม อยากให้กำลังใจ ทำมันด้วยความสะใจ ! เปรียบเสมือนความคั่งแค้นมันสะสมอยู่ในใจเรามานานแสนนานๆ ถึงเวลาที่เราจะปลดปล่อยมันออกมาแล้ว พอเราทำได้แล้วเรามองย้อนกลับไปเราจะหัวเราะ (เชี่- สะใจว่ะ) ผมอาจจะหยาบคาย กวนๆ แต่นี่คือวิถีทางของผม ตอนนี้ผมกระชับขึ้น แข็งแรงขึ้น ใส่เสื้อผ้าได้หลากหลายมากขึ้น แต่หน้าท้องกับต้นขา ก็ยังหลวมอยู่นะครับแต่ไม่มากเหมือนเมื่อก่อน เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ อะไรที่ผิดพลาดไปหรือลงรายละเอียดไม่ครบ ถามได้ครับผมจะมาตอบทีละประเด็น เช่น
1.ออกกำลังกายยังไง 2.กินยังไง เพราะผมไม่ได้เจาะประเด็นพวกนี้มาก เพราะเดี๋ยวมันจะสลับกัน งงไปหมด ขอเน้นๆเรื่อง "แรงบันดาลใจ" ดีกว่า เลิกอ้างเลิกโทษชีวิตครับ ผมนี่ล่ะ อ้วนตั้งแต่เกิดจำความได้ ไม่ใช่กรรมพันธุ์ ชีวิตเราวิถีทางของเรา เราอยากเป็นแบบไหน เราเลือก ที่จะทำมันเอง สำหรับผมทำอะไร ผมทำให้สุด เก็บคำดูถูก ตำหนิ ด่าทอ มาเป็น พลังงานดีๆในการที่จะทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะลดความอ้วน หรืออะไรก็แล้วแต่ สู้ๆครับ ผมเป็นกำลังใจให้ มีอะไรสอบถามได้นะครับ จะตอบเท่าที่ผมเคยผ่านมันมา เรียนรู้มา ขอบคุณครับ