หลายๆ คนมองการเมืองไทยโดยส่วนรวมว่า การเมืองไทยที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้
เหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง วนไปวนมาหาทางออกไม่ได้ แต่ความจริงการเมือง
เป็นสิ่งมีชีวิต มีวิญญาณ เปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลา ไม่ได้นิ่งอยู่กับที่ หลายๆ
คนจึงมองไปพบแต่ทางตัน หาทางออกไม่ได้
การเมืองขณะนี้เป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเรามาถึงทางตันแล้ว
เพราะหลังจากการยุบสภาการเลือกตั้งมีปัญหา การจัดเลือกตั้งทำให้เรียบร้อย
ไม่ได้เพราะมีฝ่ายต่อต้าน มีการขัดขวางไม่ให้มีการรับสมัคร 28 เขตเลือกตั้ง
บางเขตเลือกตั้งมีผู้สมัครเพียงคนเดียว บางเขตเลือกตั้งผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปใช้สิทธิ
เลือกตั้งไม่ได้ ดังนั้น จึงควรให้รัฐบาลนี้ออกไป จัดตั้งรัฐบาลคนกลางที่เป็น "คนดี"
เข้ามาบริหารประเทศ เข้ามาปฏิรูปการเมือง ถ้าให้มีการเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งก็
จะเหมือนเดิม แต่ก็ไม่มีการพูดตรงๆ ว่าอยากให้มีการรัฐประหารขับไล่รัฐบาลพรรค
เพื่อไทยให้พ้นไป แล้วจัดการปฏิรูป ขจัดพรรคเพื่อไทยให้พ้นไปก่อนจะมีการเลือกตั้ง
พรรคเพื่อไทยจะได้ไม่ชนะการเลือกตั้ง
ส่วนพรรครัฐบาล พรรคเพื่อไทยก็ทราบดีฝ่ายทหารมีข้อจำกัด ไม่สามารถจะทำรัฐประหาร
ได้อย่างราบรื่น เหมือนกับการทำรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย.2549 เนื่องจากข้อจำกัดทั้งภายใน
และภายนอกประเทศ จึงต้องเดินตามแนวทางประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ
การณ์จึงปรากฏว่า ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลกระทำการทุกอย่างที่ขัดกับวิถีทางหลักการ
ประชาธิปไตย และขัดกับกฎหมาย ตั้งแต่การชุมนุมที่ว่าเป็นการชุมนุมที่สงบและปราศจากอาวุธ
ไม่ละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นก็ไม่ใช่ เพราะการขู่เข็ญตัดน้ำตัดไฟ ปิดสถานที่ราชการ
ขัดขวางการเลือกตั้ง ขู่เข็ญเอาชีวิตผู้อื่น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยวิถีทางสันติประชาธิปไตย
และกฎหมายทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน ฝ่ายรัฐบาลก็ยึดรัฐธรรมนูญ ยึดกฎหมาย ไม่ใช้ความรุนแรง เจ้าหน้าที่ก็ไม่ให้
ติดอาวุธ เพราะเกรงว่าถ้ามีการเสียเลือดเนื้อแล้วจะ "เข้าทาง" ฝ่ายประท้วง เป็นข้ออ้างให้
ทหารทำการปฏิวัติ เมื่อฝ่ายรัฐบาลหลีกเลี่ยงการปะทะ ไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดอาวุธ
เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ย่อมจะไม่สามารถดำเนินการบังคับใช้กฎหมายได้
เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่สามารถดำเนินการบังคับใช้กฎหมายได้อำนาจรัฐก็ดูอ่อนแอลงในแง่การ
ป้องกันและปราบปรามผู้ชุมนุมที่กระทำการขัดต่อหลักประชาธิปไตยและกฎหมายแต่การ
บริหารราชการแผ่นดินก็ยังคงดำเนินต่อไปได้ไม่ขาดตอน แม้จะดูขลุกขลักไปบ้าง เช่น การ
ให้บริการของรัฐบางอย่าง เช่น การทำหนังสือเดินทาง การออกใบอนุญาต แต่ในที่สุดก็
สามารถดำเนินการต่อไปได้
การเรียกร้องให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พร้อมกันหยุดงานโดยการออกคำสั่งของ
ผู้นำการชุมนุมก็ไม่เป็นผล ราชการก็ยังดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งเป็นการแสดงถึงความแข็ง
แกร่งและมั่นคงของระบบราชการไทยที่ไม่โอนเอียง ไม่อ่อนแอไปตามกระแสของการเมือง
แม้จะมีการตัดน้ำตัดไฟบ้างหรือการหยุดงานของพนักงานรัฐวิสาหกิจบางส่วน แต่ระบบขนส่ง
ระบบโทรคมนาคม ระบบคอมพิวเตอร์ ระบบจัดเก็บภาษี ระบบการเบิกจ่ายเงินของทางราชการ
ระบบการชำระเงินของสถาบันการเงิน ก็ยังสามารถดำเนินการไปได้อย่างปกติ ระบบการส่ง
ออกสินค้าและบริการก็ยังดำเนินการไปตามปกติ สามารถกล่าวได้อย่างชัดเจนว่าโดยรวมแล้ว
ทุกอย่างยังดำเนินไปได้อย่างเป็นปกติ
แต่ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการทั้งคนไทยและคนต่างประเทศมีน้อย
ลงเงินทุนจึงไหลออกจากตลาดทุนเช่น ตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตรและตลาดทุนอย่างอื่น บัดนี้
ผลก็ปรากฏขึ้นมาแล้วและอาจจะลุกลามต่อไปถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์และอื่นๆ ถ้าโชคไม่ดี
เศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น จีน ขยายตัวในอัตราช้าลง หรืออินโดนีเซีย มีปัญหาทางการเงิน
เศรษฐกิจของเราแม้ว่าจะมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง เพราะมีทุนสำรองระหว่างประเทศเพียงพอ
ก็อาจจะมีปัญหาได้แต่ขณะนี้ยังไม่มีปัญหา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าปล่อยให้ดำเนินไปตามธรรมชาติในกรอบของประชาธิปไตยและกฎหมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าฝ่ายทหารไม่อาจจะทำการปฏิวัติรัฐประหารได้แล้ว ฝ่ายอำนาจรัฐเก่า
อันได้แก่ องค์กรอิสระ กระบวนการยุติธรรมต่างๆ ยอมเปลี่ยนท่าที กลับมาตั้งสติใหม่ ว่าวิธีการ
ที่เคยกระทำมาในรอบเกือบหนึ่งทศวรรษใช้ไม่ได้ผล รังแต่จะสร้างความเสียหายกับเศรษฐกิจ
ของชาติ รังแต่จะได้รับการต่อต้าน คัดค้านจากประชาคมระหว่างประเทศ แม้จะปลอบใจตนเอง
ว่าต่างชาติไม่เข้าใจความสลับซับซ้อนของโครงสร้างอำนาจของ "รัฐไทย" นั่นเป็นการหลอกตัวเอง
สื่อมวลชนต่างชาติเข้าใจความสลับซับซ้อนของโครงสร้างอำนาจของรัฐไทยดีกว่าคนไทยเสียอีก
เพราะเขาไม่ต้องเซ็นเซอร์ตัวเองเหมือนกับสื่อมวลชนของไทย
การที่มีคน "ชั้นสูง" กลุ่มนั้น กลุ่มนี้ ออกมาเสนอความเห็นหรือทางออก โดยให้รัฐบาลถอย
ออกไป เพื่อให้เกิดทางตัน จะได้จัดตั้งรัฐบาลนอกรัฐธรรมนูญ เพื่อมาปฏิรูปการเมือง ปรับปรุง
กฎหมาย ปรับปรุงรัฐธรรมนูญ รวมทั้งกฎหมายเลือกตั้งหรือกฎหมายอื่นๆ แล้วจัดให้มีการ
เลือกตั้งใหม่ พรรคเพื่อไทยจะได้ไม่ชนะการเลือกตั้ง จึงเป็นการพายเรือในอ่าง เป็นข้อเสนอที่
ไร้ประโยชน์ ปฏิบัติไม่ได้ รังแต่จะสร้างความเสียหาย รังแต่จะทำให้ขบวนการประชาชนและ
พรรคเพื่อไทยเข้มแข็งยิ่งขึ้น ทำให้การอยู่ในอำนาจของพรรคเพื่อไทยยืนยาวยิ่งขึ้น ถ้าเราปล่อย
ให้ประชาธิปไตยพัฒนาตัวเองไปโดยธรรมชาติ ไม่มีขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
มาขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตย ไม่มีรัฐประหาร 19 กันยา 49 ไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
ไม่มีขบวนการล้มรัฐบาลนอกกรอบรัฐสภาและรัฐธรรมนูญ ไม่มีการปลุกระดมชุมนุมต่อหลังประสบ
ชัยชนะในการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย ไม่มีข้อเสนอเรื่องนายกฯคนกลางที่ดี
แต่ไร้สาระ ขณะเดียวกันพรรคฝ่ายค้าน คือพรรคประชาธิปัตย์ก็ทำการปฏิวัติปฏิรูปตัวเอง เปลี่ยนผู้นำ
พรรค เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนทัศนคติ หันมายึดมั่นในวิถีทางประชาธิปไตย เข้าถึงประชาชนรากหญ้า
ในภาคอื่นๆ นอกจากกรุงเทพฯและภาคใต้ คนที่ยังเลือกพรรคประชาธิปัตย์ก็เพราะเคยเลือกกันมา
ไม่ใช่เพราะชื่นชมในผลงานหรือเชื่อมั่นในนโยบายพรรคว่าจะทำให้ชีวิตดีขึ้น
ส่วนคนกรุงเทพฯก็เลือกพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้วเพราะถูกกับรสนิยมของคนเมืองกรุงคนกรุงเทพฯ
ไม่ต้องพึ่งประชาธิปไตยไม่ต้องพึ่งผู้แทนราษฎร
สำหรับคนภาคใต้ ดูจะเสียเปรียบกว่าคนภาคอื่น เพราะการที่เลือกพรรคฝ่ายค้านอยู่ตลอดเวลา
ทำให้ความกระตือรือร้นของผู้แทนของตนเฉื่อยชาในการดึงงบประมาณมาพัฒนาจังหวัดของตน
เราจึงเห็นได้ชัดว่าเครือข่ายคมนาคม ถนนหนทาง ระบบไฟฟ้า น้ำประปา โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
ในภาคใต้พัฒนาได้น้อยและช้ากว่าภาคอื่นๆ มาก
เหตุการณ์การเมืองครั้งนี้ ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง อย่างแรกลำพังกระแสการล้ม
รัฐบาลของคนกรุงเทพฯและคนภาคใต้ส่วนใหญ่คงทำไม่สำเร็จ หากปราศจากการแทรกแซง
ของกองทัพเข้ามาปิดเกม ทำปฏิวัติรัฐประหาร ประการที่สองทหารมีข้อจำกัดมากขึ้นในการทำ
ปฏิวัติรัฐประหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการรวมตัวจัดตั้งของคนในต่างจังหวัด การคัดค้านอย่าง
เปิดเผยของประชาคมโลก การเปิดตัวอย่างสมบูรณ์ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อย่างที่สาม
เป็นการพิสูจน์แล้วว่า การทำปฏิวัติเงียบขององค์กรในขบวนการยุติธรรมนั้นไม่ได้ผล นอกจาก
ไม่ได้ผลแล้วยังก่อให้เกิดความเสียหายกับตนเองและประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ผู้ที่ยังเรียกร้อง
ในแนวทางนี้ควรจะเลิกคิด แล้วมาช่วยกันทำการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงในแนวทางประชาธิปไตย
ในระบบการปกครองด้วยกฎหมาย ยอมรับเสียงส่วนใหญ่จะดีกว่า
ในขณะที่ยังปฏิวัติรัฐประหารไม่ได้ องค์กรอิสระทำงานไม่ได้ผล แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็กำลังเปลี่ยนไป
พรรคการเมือง เช่น ประชาธิปัตย์ก็ดี พรรคเพื่อไทยก็ดี พรรคอื่นๆ ก็ดี ต่างก็มีความคิดความเห็นใหม่ๆ
เกิดขึ้นในพรรค ความคิดความเห็นเปลี่ยนไปหลายเรื่อง การเป็นรัฐบาลโดยเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาด
(absolute majority) ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรได้ทุกอย่าง การดำเนินการทางการเมืองข้าง
ถนนก็ทำสำเร็จไม่ได้
สังคมก็ดี การเมืองก็ดี คนในกรุงก็ดี คนต่างจังหวัดก็ดี ล้วนเป็นสังคมที่มีชีวิต ย่อมเติบโตเปลี่ยน
แปลงเป็นพลวัตอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครหยุดยั้งได้แม้แต่กระบอกปืน
ปล่อยสังคมเติบโตตามธรรมชาติไปเองเถิด
............
(ที่มา:มติชนรายวัน 13กุมภาพันธ์2557)
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊กกับมติชนออนไลน์
www.facebook.com/MatichonOnline
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1392304989&grpid=01&catid=&subcatid=
นึกถึงอ.จ.วรเจตน์ ให้ข้อคิดเมื่อหลายปีก่อน ประชาธิปไตย ไม่ใช่อาหารจานด่วน ต้องมีการพัฒนา
ดีที่สุดคือผ่านการเลือกตั้ง ปชช. เรียนรู้ และรู้จัก ผู้แทนของเขา ผ่านการเลือกตั้ง ที่จะช่วยคัดกรอง
คนดีมาแบบค่อยเป็นค่อยไป
และ ขอเติมไปหน่อย ประชาธิปไตย จะพัฒนาได้ ต้องไม่มีการเว้นวรรค และปิดเทอม เหมือนอย่าง
ที่กปปส. กำลังเรียกร้องอยู่
กระทู้สุดท้ายแล้ว แต่วันนี้ได้คุยยาว ผปค.สาวน้อย ไม่อยู่บ้าน
พลวัตการเมืองไทย โดย วีรพงษ์ รามางกูร มติชนออนไลน์ ..... ปล่อยสังคมเติบโตตามธรรมชาติเถิด !!!!!!!!
เหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง วนไปวนมาหาทางออกไม่ได้ แต่ความจริงการเมือง
เป็นสิ่งมีชีวิต มีวิญญาณ เปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลา ไม่ได้นิ่งอยู่กับที่ หลายๆ
คนจึงมองไปพบแต่ทางตัน หาทางออกไม่ได้
การเมืองขณะนี้เป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเรามาถึงทางตันแล้ว
เพราะหลังจากการยุบสภาการเลือกตั้งมีปัญหา การจัดเลือกตั้งทำให้เรียบร้อย
ไม่ได้เพราะมีฝ่ายต่อต้าน มีการขัดขวางไม่ให้มีการรับสมัคร 28 เขตเลือกตั้ง
บางเขตเลือกตั้งมีผู้สมัครเพียงคนเดียว บางเขตเลือกตั้งผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปใช้สิทธิ
เลือกตั้งไม่ได้ ดังนั้น จึงควรให้รัฐบาลนี้ออกไป จัดตั้งรัฐบาลคนกลางที่เป็น "คนดี"
เข้ามาบริหารประเทศ เข้ามาปฏิรูปการเมือง ถ้าให้มีการเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งก็
จะเหมือนเดิม แต่ก็ไม่มีการพูดตรงๆ ว่าอยากให้มีการรัฐประหารขับไล่รัฐบาลพรรค
เพื่อไทยให้พ้นไป แล้วจัดการปฏิรูป ขจัดพรรคเพื่อไทยให้พ้นไปก่อนจะมีการเลือกตั้ง
พรรคเพื่อไทยจะได้ไม่ชนะการเลือกตั้ง
ส่วนพรรครัฐบาล พรรคเพื่อไทยก็ทราบดีฝ่ายทหารมีข้อจำกัด ไม่สามารถจะทำรัฐประหาร
ได้อย่างราบรื่น เหมือนกับการทำรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย.2549 เนื่องจากข้อจำกัดทั้งภายใน
และภายนอกประเทศ จึงต้องเดินตามแนวทางประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ
การณ์จึงปรากฏว่า ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลกระทำการทุกอย่างที่ขัดกับวิถีทางหลักการ
ประชาธิปไตย และขัดกับกฎหมาย ตั้งแต่การชุมนุมที่ว่าเป็นการชุมนุมที่สงบและปราศจากอาวุธ
ไม่ละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นก็ไม่ใช่ เพราะการขู่เข็ญตัดน้ำตัดไฟ ปิดสถานที่ราชการ
ขัดขวางการเลือกตั้ง ขู่เข็ญเอาชีวิตผู้อื่น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยวิถีทางสันติประชาธิปไตย
และกฎหมายทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน ฝ่ายรัฐบาลก็ยึดรัฐธรรมนูญ ยึดกฎหมาย ไม่ใช้ความรุนแรง เจ้าหน้าที่ก็ไม่ให้
ติดอาวุธ เพราะเกรงว่าถ้ามีการเสียเลือดเนื้อแล้วจะ "เข้าทาง" ฝ่ายประท้วง เป็นข้ออ้างให้
ทหารทำการปฏิวัติ เมื่อฝ่ายรัฐบาลหลีกเลี่ยงการปะทะ ไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดอาวุธ
เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ย่อมจะไม่สามารถดำเนินการบังคับใช้กฎหมายได้
เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่สามารถดำเนินการบังคับใช้กฎหมายได้อำนาจรัฐก็ดูอ่อนแอลงในแง่การ
ป้องกันและปราบปรามผู้ชุมนุมที่กระทำการขัดต่อหลักประชาธิปไตยและกฎหมายแต่การ
บริหารราชการแผ่นดินก็ยังคงดำเนินต่อไปได้ไม่ขาดตอน แม้จะดูขลุกขลักไปบ้าง เช่น การ
ให้บริการของรัฐบางอย่าง เช่น การทำหนังสือเดินทาง การออกใบอนุญาต แต่ในที่สุดก็
สามารถดำเนินการต่อไปได้
การเรียกร้องให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พร้อมกันหยุดงานโดยการออกคำสั่งของ
ผู้นำการชุมนุมก็ไม่เป็นผล ราชการก็ยังดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งเป็นการแสดงถึงความแข็ง
แกร่งและมั่นคงของระบบราชการไทยที่ไม่โอนเอียง ไม่อ่อนแอไปตามกระแสของการเมือง
แม้จะมีการตัดน้ำตัดไฟบ้างหรือการหยุดงานของพนักงานรัฐวิสาหกิจบางส่วน แต่ระบบขนส่ง
ระบบโทรคมนาคม ระบบคอมพิวเตอร์ ระบบจัดเก็บภาษี ระบบการเบิกจ่ายเงินของทางราชการ
ระบบการชำระเงินของสถาบันการเงิน ก็ยังสามารถดำเนินการไปได้อย่างปกติ ระบบการส่ง
ออกสินค้าและบริการก็ยังดำเนินการไปตามปกติ สามารถกล่าวได้อย่างชัดเจนว่าโดยรวมแล้ว
ทุกอย่างยังดำเนินไปได้อย่างเป็นปกติ
แต่ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการทั้งคนไทยและคนต่างประเทศมีน้อย
ลงเงินทุนจึงไหลออกจากตลาดทุนเช่น ตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตรและตลาดทุนอย่างอื่น บัดนี้
ผลก็ปรากฏขึ้นมาแล้วและอาจจะลุกลามต่อไปถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์และอื่นๆ ถ้าโชคไม่ดี
เศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น จีน ขยายตัวในอัตราช้าลง หรืออินโดนีเซีย มีปัญหาทางการเงิน
เศรษฐกิจของเราแม้ว่าจะมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง เพราะมีทุนสำรองระหว่างประเทศเพียงพอ
ก็อาจจะมีปัญหาได้แต่ขณะนี้ยังไม่มีปัญหา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าปล่อยให้ดำเนินไปตามธรรมชาติในกรอบของประชาธิปไตยและกฎหมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าฝ่ายทหารไม่อาจจะทำการปฏิวัติรัฐประหารได้แล้ว ฝ่ายอำนาจรัฐเก่า
อันได้แก่ องค์กรอิสระ กระบวนการยุติธรรมต่างๆ ยอมเปลี่ยนท่าที กลับมาตั้งสติใหม่ ว่าวิธีการ
ที่เคยกระทำมาในรอบเกือบหนึ่งทศวรรษใช้ไม่ได้ผล รังแต่จะสร้างความเสียหายกับเศรษฐกิจ
ของชาติ รังแต่จะได้รับการต่อต้าน คัดค้านจากประชาคมระหว่างประเทศ แม้จะปลอบใจตนเอง
ว่าต่างชาติไม่เข้าใจความสลับซับซ้อนของโครงสร้างอำนาจของ "รัฐไทย" นั่นเป็นการหลอกตัวเอง
สื่อมวลชนต่างชาติเข้าใจความสลับซับซ้อนของโครงสร้างอำนาจของรัฐไทยดีกว่าคนไทยเสียอีก
เพราะเขาไม่ต้องเซ็นเซอร์ตัวเองเหมือนกับสื่อมวลชนของไทย
การที่มีคน "ชั้นสูง" กลุ่มนั้น กลุ่มนี้ ออกมาเสนอความเห็นหรือทางออก โดยให้รัฐบาลถอย
ออกไป เพื่อให้เกิดทางตัน จะได้จัดตั้งรัฐบาลนอกรัฐธรรมนูญ เพื่อมาปฏิรูปการเมือง ปรับปรุง
กฎหมาย ปรับปรุงรัฐธรรมนูญ รวมทั้งกฎหมายเลือกตั้งหรือกฎหมายอื่นๆ แล้วจัดให้มีการ
เลือกตั้งใหม่ พรรคเพื่อไทยจะได้ไม่ชนะการเลือกตั้ง จึงเป็นการพายเรือในอ่าง เป็นข้อเสนอที่
ไร้ประโยชน์ ปฏิบัติไม่ได้ รังแต่จะสร้างความเสียหาย รังแต่จะทำให้ขบวนการประชาชนและ
พรรคเพื่อไทยเข้มแข็งยิ่งขึ้น ทำให้การอยู่ในอำนาจของพรรคเพื่อไทยยืนยาวยิ่งขึ้น ถ้าเราปล่อย
ให้ประชาธิปไตยพัฒนาตัวเองไปโดยธรรมชาติ ไม่มีขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
มาขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตย ไม่มีรัฐประหาร 19 กันยา 49 ไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
ไม่มีขบวนการล้มรัฐบาลนอกกรอบรัฐสภาและรัฐธรรมนูญ ไม่มีการปลุกระดมชุมนุมต่อหลังประสบ
ชัยชนะในการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย ไม่มีข้อเสนอเรื่องนายกฯคนกลางที่ดี
แต่ไร้สาระ ขณะเดียวกันพรรคฝ่ายค้าน คือพรรคประชาธิปัตย์ก็ทำการปฏิวัติปฏิรูปตัวเอง เปลี่ยนผู้นำ
พรรค เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนทัศนคติ หันมายึดมั่นในวิถีทางประชาธิปไตย เข้าถึงประชาชนรากหญ้า
ในภาคอื่นๆ นอกจากกรุงเทพฯและภาคใต้ คนที่ยังเลือกพรรคประชาธิปัตย์ก็เพราะเคยเลือกกันมา
ไม่ใช่เพราะชื่นชมในผลงานหรือเชื่อมั่นในนโยบายพรรคว่าจะทำให้ชีวิตดีขึ้น
ส่วนคนกรุงเทพฯก็เลือกพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้วเพราะถูกกับรสนิยมของคนเมืองกรุงคนกรุงเทพฯ
ไม่ต้องพึ่งประชาธิปไตยไม่ต้องพึ่งผู้แทนราษฎร
สำหรับคนภาคใต้ ดูจะเสียเปรียบกว่าคนภาคอื่น เพราะการที่เลือกพรรคฝ่ายค้านอยู่ตลอดเวลา
ทำให้ความกระตือรือร้นของผู้แทนของตนเฉื่อยชาในการดึงงบประมาณมาพัฒนาจังหวัดของตน
เราจึงเห็นได้ชัดว่าเครือข่ายคมนาคม ถนนหนทาง ระบบไฟฟ้า น้ำประปา โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
ในภาคใต้พัฒนาได้น้อยและช้ากว่าภาคอื่นๆ มาก
เหตุการณ์การเมืองครั้งนี้ ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง อย่างแรกลำพังกระแสการล้ม
รัฐบาลของคนกรุงเทพฯและคนภาคใต้ส่วนใหญ่คงทำไม่สำเร็จ หากปราศจากการแทรกแซง
ของกองทัพเข้ามาปิดเกม ทำปฏิวัติรัฐประหาร ประการที่สองทหารมีข้อจำกัดมากขึ้นในการทำ
ปฏิวัติรัฐประหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการรวมตัวจัดตั้งของคนในต่างจังหวัด การคัดค้านอย่าง
เปิดเผยของประชาคมโลก การเปิดตัวอย่างสมบูรณ์ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อย่างที่สาม
เป็นการพิสูจน์แล้วว่า การทำปฏิวัติเงียบขององค์กรในขบวนการยุติธรรมนั้นไม่ได้ผล นอกจาก
ไม่ได้ผลแล้วยังก่อให้เกิดความเสียหายกับตนเองและประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ผู้ที่ยังเรียกร้อง
ในแนวทางนี้ควรจะเลิกคิด แล้วมาช่วยกันทำการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงในแนวทางประชาธิปไตย
ในระบบการปกครองด้วยกฎหมาย ยอมรับเสียงส่วนใหญ่จะดีกว่า
ในขณะที่ยังปฏิวัติรัฐประหารไม่ได้ องค์กรอิสระทำงานไม่ได้ผล แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็กำลังเปลี่ยนไป
พรรคการเมือง เช่น ประชาธิปัตย์ก็ดี พรรคเพื่อไทยก็ดี พรรคอื่นๆ ก็ดี ต่างก็มีความคิดความเห็นใหม่ๆ
เกิดขึ้นในพรรค ความคิดความเห็นเปลี่ยนไปหลายเรื่อง การเป็นรัฐบาลโดยเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาด
(absolute majority) ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรได้ทุกอย่าง การดำเนินการทางการเมืองข้าง
ถนนก็ทำสำเร็จไม่ได้
สังคมก็ดี การเมืองก็ดี คนในกรุงก็ดี คนต่างจังหวัดก็ดี ล้วนเป็นสังคมที่มีชีวิต ย่อมเติบโตเปลี่ยน
แปลงเป็นพลวัตอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครหยุดยั้งได้แม้แต่กระบอกปืน
ปล่อยสังคมเติบโตตามธรรมชาติไปเองเถิด
............
(ที่มา:มติชนรายวัน 13กุมภาพันธ์2557)
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊กกับมติชนออนไลน์
www.facebook.com/MatichonOnline
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1392304989&grpid=01&catid=&subcatid=
นึกถึงอ.จ.วรเจตน์ ให้ข้อคิดเมื่อหลายปีก่อน ประชาธิปไตย ไม่ใช่อาหารจานด่วน ต้องมีการพัฒนา
ดีที่สุดคือผ่านการเลือกตั้ง ปชช. เรียนรู้ และรู้จัก ผู้แทนของเขา ผ่านการเลือกตั้ง ที่จะช่วยคัดกรอง
คนดีมาแบบค่อยเป็นค่อยไป
และ ขอเติมไปหน่อย ประชาธิปไตย จะพัฒนาได้ ต้องไม่มีการเว้นวรรค และปิดเทอม เหมือนอย่าง
ที่กปปส. กำลังเรียกร้องอยู่
กระทู้สุดท้ายแล้ว แต่วันนี้ได้คุยยาว ผปค.สาวน้อย ไม่อยู่บ้าน