จอมเวทอมตะ ตอนที่ 8

กระทู้สนทนา
*** ขออภัย ก่อนหน้านี้ไม่นานผมล้างและลงเครื่องใหม่ด้วยตัวเองแต่ลืมโหลดโฟโต้ช๊อปมาใช้ด้วย ด้วยความยุ่งกับตัวเองทั้งเรื่องงานและสุขภาพเลยดองยาวไปเลยหนูไม่ได้ขี้เกียจนะ แค่ไม่มีโอกาสพิมพ์เอง กว่าจะพิมพ์ตอนใหม่เสร็จเลยใช้เวลานานนิดนึง และยังกินเวลาอีกสองวันกว่าจะหาโหลดโฟโต้ช๊อปได้ ซึ่งเครื่องผมก็ไม่แรงอีกใช้ไม่ได้ เดี๋ยวต้องไปหาตัวเก่ากว่านี้มาลงแทน ดังนั้นตอนนี้ขอลงแบบนี้ไปก่อน บางคำโดนเซ็นจึงขอเปลี่ยนเล็กน้อย ขอบคุณที่รอจนไหดองแตกครับ ขอแก้ตัวแค่นี้แหละ***

    ทุกสิ่งยังเหมือนเดิม มนุษย์ผู้ยังดิ้นรนเพื่อใช้ชีวิตยังเดินขวักไขว่เพื่อหาเลี้ยงปากท้องเซ็ทส์ผู้เป็นอมตะก้าวเดินท่ามกลางฝูงชนที่อายุต่ำกว่าเขาอย่างเทียบกันไม่ได้ เวลาผ่านไปเป็นพันปีก็เปลี่ยนไปแค่ฉาก บทบาทต่างๆของผู้คนยังคงเดิม

    เขามองเห็นชายคนหนึ่งกำลังสั่งลูกน้องให้ขนเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นใหญ่ขึ้นพาหนะสี่ล้อ แม่กับลูกช่วยกันหอบข้าวของออกมาจากห้างสรรพสินค้าขนาดย่อม นักแสดงเร่ร้องบทละครอยู่ข้างทางโดยมีกล่องใส่เงินตั้งอยู่

    "ท่อนเมื่อกี้กล่าวถึงท่านผู้นั้นหรือเปล่านะ อสูรร้ายในร่างเทพ" เซ็ทส์พึมพำกับตัวเองเมื่อได้ฟังเนื้อเพลงชัดๆ

    แล้วตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่ป้ายรถประจำทาง เขาเขม้นมองอยู่หลายวินาทีแล้วถอนหายใจ ก็แค่คนหน้าเหมือนเท่านั้น เขาพบมาหลายครั้งแล้วครั้งนี้คงไม่ต่างกัน

    กระนั้น เขาก็ยังมองตามหญิงสาวจนนางขึ้นรถประจำทางสีแดงไป คำสาปที่ติดตรึงทำให้ความอาลัยไม่ห่างหายไปตามที่ควร อย่างน้อยเวลาพักที่ท่านผู้นั้นมอบให้ก็ยังมีสิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจบ้าง

    แล้วความสนใจของเขาก็ถูกดึงไปหาร้านหนังสือข้างทาง กลายเป็นนิสัยติดตัวไปแล้วสำหรับการอ่านหนังสือเพื่อจะได้เรียนรู้และทำตัวให้กลมกลืนเข้ากับยุคสมัย แม้ท่านผู้นั้นจะบอกว่าการหลิ่วตาเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วคือการดูและเลียนแบบการกระทำของคนในสังคมนั้นๆก็ตาม

    “ยังไม่ได้ไปแลกเงินเป็นกิจจะลักษณะเลยนี่นา” เซ็ทส์ถอนหายใจ ก่อนจะพบประธานาธิบดีและลักซูเรียเขามีเพียงเงินสดติดมือเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะต้องอยู่นาน ในกระเป๋าตอนนี้มีทองและเครื่องประดับโบราณที่ขายเป็นเงินได้ตลอดเวลาแม้จะผ่านไปเป็นพันปี เขาเพียงต้องหาร้านขายเครื่องประดับเพื่อแลกเป็นเงินสด

    แค่ย่างเท้าเข้าไปในร้านขายทองก็ได้เรื่อง ลูกกรงเหล็กด้านหลังเลื่อนลงมาในพริบตา! ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นกับดัก พอมองไปทางพนักงานก็พบว่ามีคนร้ายกำลังใช้ปืนจ่อหัวพนักงานหญิงคนหนึ่ง ส่วนพนักงานรักษาความปลอดภัยก็ลงไปนอนกองไม่รู้ว่าสลบหรือตาย พนักงานอีกคนคงส่งสัญญาณปิดทางเข้าออกเพื่อขังโจรรอผู้รักษากฎหมาย

    เซ็ทส์กุมขมับอย่างเหนื่อยหน่าย นับวันมีแต่เรื่องให้ปวดหัวหนักยิ่งขึ้น

    “คุณคนร้ายตรงนั้นน่ะ ข้าต้องการ เอ้อ ขอให้ผมขายเครื่องประดับให้เสร็จก่อนแล้วค่อยปล้นต่อได้ไหม แม้จะขัดขวางผมก็จะไม่ทำ” เขาพยายามพูดภาษาแบบยุคนี้สุดชีวิต แล้วก็เหลวอีกตามเคย การพูดแบบสมัยก่อนมันสะดวกปากกว่าจริงๆ

    แล้วเขาก็ต้องหงุดหงิดซ้ำสองเมื่อโจรปล้นร้านทองหันกลับไปเร่งให้พนักงานหยิบสิ่งมีค่าใส่กระเป๋าขนาดใหญ่โดยไม่ใส่ใจเขาสักนิด

    “สุดท้ายก็ไม่แคล้ว...”

    ก่อนที่เซ็ทส์จะเอ่ยปากเรียกให้ไอวี่ช่วยประตูสำนักงานด้านในพลันเปิดผาง! คลื่นเวทมนตร์เย็นยะเยือกปกคลุมพื้นที่เหมือนมีคนเร่งเครื่องทำความเย็นจนสุด แล้วโจรสามนายก็ถูกผนึกไว้ในเสาน้ำแข็งในฉันพลัน แท่งน้ำแข็งใส่แจ๋วขนาดใหญ่ปล่อยกลิ่นเหมือนดอกไม่ป่าฉุนกึกไปในอากาศ และบางสิ่งที่ทำให้เขาขนลุก พลังเวทกล้าแข็งแบบที่เขาเคยพบเมื่อหลายพันปีก่อน ในช่วงแรกๆที่เขาเป็นอมตะ

    ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ไอวี่ประท้วงเสียงแข็ง

    “ต้องขอขอบคุณจริงๆ หากไม่ได้คุณช่วยคงแย่” ผู้จัดการร้านก้าวออกมาจากประตูที่เปิดอยู่พร้อมกับชายอีกคนหนึ่ง สายเลือดของท่านผู้นั้น!

    “อย่างนั้นก็ช่วยพิจารณาเรื่องเงินทุนที่ทางเราขอเอาไว้ด้วย ผมรับรองว่าคุณจะ...” บุรุษผู้มีดวงตาสีพระจันทร์แดงกล่าวอย่างเป็นกันเอง กระทั่งชายตามาเห็นเซ็ทส์ยืนค้างด้วยความประหลาดใจ “เจอกันอีกแล้วสิเนี่ย ถ้าเป็นสาวๆคงอยากพูดว่ามันเป็นชะตากรรมหรอกนะ”

    “คนรู้จักหรือ” ผู้จัดการร้านผมบางหันมามองทางเซ็ทส์กับสายเลือดของท่านผู้นั้นสลับกัน

    “ใช่ ผมพยายามชวนเขาเข้าเป็นพวกอยู่ ปรากฏว่าถูกปฏิเสธไม่เหลือเยื่อใย” สายเลือดของท่านผู้นั้นยักไหล่ “ส่วนเจ้าสามคนที่มากวนตอนเรากำลังคุยธุรกิจผมจะปล่อยให้คุณจัดการเอง น้ำแข็งนี่จะแตกสลายไปหมดเมื่อผู้รักษากฎหมายมาถึง”

    “นี่คือฝีมือของเจ้าหรือ”

    สายเลือดของท่านผู้นั้นพยักหน้า

    “จะทำให้ทั้งห้องปกคลุมด้วยน้ำแข็งก็ยังได้ ในอดีตนักรบเทพอิกริดเคยแช่แข็งน้ำในทะเลสาบแล้วสลักมันเป็นปราสาทแก้วมาแล้ว ผมทำไม่ได้ขนาดนั้นแต่ก็ใกล้เคียงที่เคยทำก็แค่ เปลี่ยนหินภายในหุบเขาหัวล้านให้กลายเป็นทองคำเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุให้ผมมาเจรจาตอนนี้”

    หากนั่นไม่ใช่เรื่องยกเมฆ คงต้องยอมรับแล้วว่าชายตรงหน้าเป็นผู้สืบทอดทั้งสายเลือดและพลังของท่านผู้นั้นจริงๆแถมระดับความร้ายกาจยังสูงลิ่วอีกด้วย

    แค่นี้ทำมาคุยโอ่ เสียงค่อนขอดของท่านผู้นั้นแว่วเข้าหู นี่บอกว่าเขาพักได้ยังตามมาอีกหรือ สมัยก่อนข้าสร้างสะพานทรายเชื่อมทวีปข้ามมหาสมุทรใหญ่มาแล้วยังไม่อวดเลย การใช้เวทมนตร์เปลี่ยนธาตุจากหินเป็นทองข้าทำได้ตั้งแต่มารับตำแหน่งช่วงแรกๆแล้ว เหนื่อยแทบคลั่ง

    “แสดงว่ายังไม่เปลี่ยนความคิดอีกล่ะสิ” เซ็ทส์ถอนหายใจเฮือก “หัวแข็งเหมือนกันจริงๆ”

    “เหมือนใครหรือ? มันคือความทะเยอทะยานหนึ่งเดียวของผม โปรดเข้าใจด้วย” สายเลือดของท่านผู้นั้นเลิกคิ้ว “วันนี้ผมกลับก่อน หากตัดสินใจได้โปรดติดต่อกลับตามที่ผมแจ้งไว้ ทั้งคู่นั่นละ”

    ลูกกรงเลื่อนขึ้น สายเลือดของท่านผู้นั้นเดินออกไปยังแสงแดดจ้าภายนอกทิ้งไว้แค่ความเงียบ เซ็ทส์สบตากับผู้จัดการแล้วรีบขายเครื่องทองเก่าแก่เป็นเงินที่ใช้ในยุคปัจจุบัน...


    “ฝ่าบาทบอกเองว่าจะให้ข้าพักสองสามวันอย่างไรล่ะ เหตุใดจึงให้ออกเดินทางตอนนี้เลย”
    เซ็ทส์ผู้กลับมาห้องพักพร้อมหนังสือหอบใหญ่แยกเขี้ยว ร่างแยกของท่านผู้นั้นที่ทำหน้าที่แทนประธานาธิบดีกอดอกอย่างวางท่า รอยยิ้มโฉดๆระบายเต็มใบหน้า

    “กว่าเราจะไปถึงก็อีกหลายวันระหว่างนั้นเจ้าจะได้พัก จะได้หลีกนางมังกรครึ่งมนุษย์จอมแส่นั่นด้วย ข้ายังไม่เชื่อใจนางโดยสมบูรณ์”

    “แล้วเป้าหมายคราวนี้คือที่ใดขอรับ”

    “สถานีวิจัยใต้สมุทร ข้ามีแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ” เซ็ทส์ได้ฟังก็คิดไปถึงเสียงของชายที่เขามองไม่เห็นในคืนนั้น ท่านผู้นั้นใช้องค์กรชั่วร้ายให้รวบรวมข้อมูลให้หรือ “เปล่าหรอก คราวนี้ข้าอาศัยนักโบราณคดีในการหาข้อมูล สถานีวิจัยถูกโจมตีบ่อยครั้งโดยมังกรน้ำโบราณซึ่งมีชื่อในอารยธรรมเก่าแก่ มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นหนึ่งในเป้าหมายของเรา เอาไว้ไปคุยต่อบนเครื่องบิน อ้าว ข้าเข้าใจว่าเจ้าชอบเดินทางทางอากาศนี่นา”

    อย่างน้อยก็ดีกว่าหนอนยักษ์ที่เรียกว่ารถไฟล่ะนะ เขาเคยมีประสบการณ์เลวร้ายกับเจ้าสิ่งที่เรียกว่ารถไฟมาหลายครั้งแล้ว

    ใช้เวลาไม่นานเขาก็เลือกเอาไปเฉพาะเล่มที่สนใจที่สุดกับเสื้อผ้าอีกเล็กน้อย การไปทะเลฟังดูเหมือนไปพักตากอากาศมากกว่าตามล่าหนึ่งในเจ็ดมังกรร้าย ผลึกแก้วที่ห้อยบนหน้าอกสว่างขึ้นแวบหนึ่งราวเป็นสัญลักษณ์ของบางสิ่ง อาจเป็นเพราะแสง หรือไม่ก็เพราะเจ้าอวาร์ริเทียที่อยู่ใต้ดิน

    “เดี๋ยวก่อน! รอนี่ก่อน!” เสียงร้องด้วยความรีบร้อนดังแข่งกับเสียงใบพัดเครื่องบิน เซ็ทส์ผู้กำลังหนีกลิ่นเผาไหม้ไปหาหนังสือหันขวับตามเสียงเรียก หญิงสาวคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในลานจอดเครื่องบินพร้อมเอกสารปึกหนึ่ง

    “พี่ชายให้ฉันเอาบันทึกนี้มาให้คุณด้วย คุณผู้ช่วย” หญิงสาวยื่นเอกสารให้ท่านผู้นั้นพร้อมคำขอโทษขอโพย “เขาฝากมาขอโทษด้วยที่ลืมเอาส่วนนี้มาให้ ความจริงเขาเพิ่งได้รับเมื่อสิบห้านาทีก่อนนี่เอง”

    เป็นอีกครั้งที่เซ็ทส์พบกับคนหน้าเหมือน ใบหน้ารูปไข่กระจ่างชัดใต้แสงตะวัน เส้นผมสีดำยาวสลวย คิ้วเรียงยาวรับกับดวงตาสีอำพัน เครื่องหน้าต่างกับที่เขาจำได้ แต่หากให้ออกความเห็น ทั้งคู่คงเหมือนกันราวฝาแฝด แต่แล้วเซ็ทส์ก็หลับตาสะบัดหัวในความคิด คราวนี้คงเป็นคนหน้าเหมือนอีกนั่นละ!

    “ฝากบอกขอบคุณด้วย สิ่งนี้จะช่วยเราได้มาก” ท่านผู้นั้นกล่าวขอบคุณ เซ็ทส์เพิ่งรู้ตัวว่าจ้องหญิงสาวจนเสียมารยาทจึงกลับไปจัดการเบาะนั่งต่อเพื่อให้สบายที่สุดในเที่ยวบินที่กินเวลานาน “ขอเวลาข้าอ่านสักนิด คงเป็นรายละเอียดปลีกย่อยน่ะ”

    เซ็ทส์ต้องตั้งสมาธิอย่างหนักระหว่างรอเครื่องบินเหินขึ้นไปบนท้องฟ้า กลิ่นเครื่องยนต์เผาไหม้กับแรงสั่นของเครื่องยนต์ทำลายประสาทรับรู้ของเขาได้อย่างดีเยี่ยม เทียบไม่ได้กับการนั่งบนหลังวิหควิเศษที่พิณเรียกออกมามันทำให้ไม่ประมาท และอาจถูกสุขลักษณะมากกว่าด้วย

    “ตำนานบ้าบอคอแตกมันมีอยู่เรื่อยๆสิน่า!” ท่านผู้นั้นขู่ฟ่อใส่เอกสารเพิ่มเติม “สัตว์เลี้ยงของยายนั่นมีแต่สัตว์ปีกพวกนกไม่มีมังกร แถมยังขนไปอีกมิติหนึ่งจนหมดแล้วด้วย แล้วข้าก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างมังกรธาตุน้ำจ้าววารี...”

    แล้วคำสบถมากมายก็หลุดออกมาจากปากท่านผู้นั้น บางคำเป็นคำเก่าแก่ที่กล่าวถึงการเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลานในตัวคน จนคนขับเครื่องบินทนไม่ไหวต้องปิดที่กั้นระหว่างนักบินกับผู้โดยสารตามคำของเซ็ทส์ ส่วนเขานั้นปิดหูตัวเองตั้งแต่ได้ยินท่านผู้นั้นส่งเสียงไม่ชอบใจในลำคอแล้ว

    “นี่มันขยะชัดๆ...หูหายชาหรือยังเซ็ทส์ ข้าจะเล่าเรื่องคร่าวๆเกี่ยวกับเจ้าตัวที่เราเจอให้ฟัง” แล้วท่านผู้นั้นก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยตามเดิม ผู้เป็นอมตะคั่นหนังสือรอฟังอย่างสงบเสงี่ยม

    “เมื่อยี่สิบปีก่อนสถานีวิจัยใต้สมุทรเคยลอยอยู่บนพื้นน้ำ แต่เนื่องจากประธานาธิบดีต้องการเปลี่ยนแผนให้ศึกษาใต้ทะเลด้วยจึงสร้างเครื่องมือเพิ่มขึ้นเพื่อให้ลงไปฝังรากครอบแก้วอยู่ก้นมหาสมุทรปลายสุดทวีปใหญ่ ตอนลงไปนี่ละที่เกิดปัญหา

    “จุดที่สถานีวิจัยลงไปตั้งอยู่อย่างถาวรคงเป็นอาณาเขตของมังกรโบราณ เมื่อฝุ่นทรายใต้ทะเลสงบก็ถูกโจมตีทันที เหล่านักวิจัยและพนักงานป้องกันไม่ทันรู้อะไรระบบรักษาความปลอดภัยก็ทำงานไปแล้ว มังกรโบราณที่บุกเข้ามามีสองตัว ตัวหนึ่งบาดเจ็บเจียนตายส่วนอีกตัวถูกแช่แข็งติดกับภูเขาใต้ทะเลบริเวณนั้น เนื่องจากไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ทั้งมังกรที่ถูกแช่แข็งและสถานีวิจัยจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้น้ำแข็งที่หุ้มตัวอยู่ละลายหมดแล้วไล่ให้หนีไป

    “ซึ่งมันเป็นอิสระมาแล้วเกือบสองปี หากมันยังคอยรังควาญไม่หยุดหย่อนราวกับต้องการแก้แค้นให้คู่ของมันเมื่อตอนนั้น ดูจากความแข็งแกร่งคงเป็นหนึ่งในเจ็ดมังกรที่เราตามล่า คราวนี้ของจริง”

    “แล้วสายสืบของฝ่าบาทว่าอย่างไรขอรับ”

    “ดูจากลักษณะต้นแบบของความสามารถและวิญญาณ คราวนี้ใช่แน่แต่เป็นตัวไหนไม่รู้ อวาร์ริเทียก็บอกได้แค่ตำแหน่งคร่าวๆ ไม่รู้แน่ชัดยกเว้นลักซูเรียที่สนิทที่สุด”

    “หากนางอยู่ด้วยคงช่วยได้บ้าง”

    “แล้วนางก็จะทำให้คำสาปของเจ้าปรากฏอีกครั้ง จากนั้นก็เก็บข้าแล้วผนึกเจ้าไปอยู่ในมิติแห่งการหลับใหลไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”

    “ฝ่าบาทมีจุดอ่อนด้วยหรือขอรับ” เซ็ทส์นึกภาพตอนท่านผู้นั้นพ่ายแพ้ล้มลุกคลุกคลานไม่ออกเลยสักนิด ไม่เคยเห็นเลยตลอดสองพันปี

    “ทุกสิ่งในโลกนี้มีของที่แก้กันตกอยู่เสมอ แม้แต่ข้าก็ไม่มีข้อยกเว้น” ท่านผู้นั้นใช้น้ำเสียงบางเบาเหมือนขนนก “แต่จะทำได้หรือเปล่าก็อีกเรื่อง”

    “แล้วข้าต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เราจะลงไปสู้ใต้ทะเลหรือ”

    “ข้าเชื่อว่าสามารถล่อมันขึ้นมาต่อสู้เหนือผิวน้ำได้ เจ้าตัวนี้สามารถควบคุมน้ำได้ดังใจ การต่อสู้ใต้น้ำมีแต่จะเสียเวลาเปล่า”

    “แล้วอวาร์ริเทียบอกอะไรกับฝ่าบาทอีก”

    “ความโศกเศร้าและโกรธแค้นหลั่งไหลจากทะเลขึ้นสู่ผืนดิน แหล่งกำเนิดคือหนึ่งในพวกมัน เจ้าไม่ต้องคิดอะไรเหมือนเดิมนอกจากทำตามคำสั่งแรกเริ่ม จัดการสังหารให้ได้ หากสี่เสาหลักต้องการจับเป็นพวกเขาจะลงมาเอง”

    เซ็ทส์หรี่ตามองท่านผู้นั้น เพราะเรื่องของลักซูเรียกระมัง เบื้องบนจึงไม่ปล่อยให้ท่านผู้นั้นทำตามอำเภอใจ...

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่