บุพเพข้ามภพ (ตอน อวสาน)

กระทู้สนทนา


และแล้วก็เดินทางมาถึงจุดจบ ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ติดตามอ่านนะคะ

ตอนที่ 30 (อวสาน)

    หลังจากที่ แม่หญิงวิลันดาฟื้นขึ้นมาแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตหล่อนได้เปลี่ยนไป ท่านปุโรหิตศรีวิชัยก็ออกบวช โดยท่านได้บอกลากับมณีจันทร์หรือวิลันดาบุตรีของท่านว่า ท่านได้ทำหน้าที่ของท่านสำเร็จแล้ว คือการชุบชีวิตใหม่ให้กับวิลันดา ชีวิตต่อจากนี้ท่านจักขอปลีกวิเวกหันหลังให้กับทางโลกโดยสิ้นเชิง ท่านจะขออุทิศตนให้กับศาสนาจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แม้วิลันดาอยากจะให้ท่านอยู่กับนางต่อไป แต่ก็ต้องยอมทำตามความประสงค์ของท่าน เพราะท่านเองได้ทำเพื่อหล่อนมากมายเสียเหลือเกิน     
                    
ก่อนท่านจากไปยังได้สั่งวิลันดาเรื่องการเลือกคู่ ขอให้หล่อนเลือกด้วยหัวใจของหล่อนเอง

    “แม่หญิงทำกระไรอยู่รึ”
                    
วิลันดาละสายตาจากสระบัวตรงหน้า หันตามเสียงที่เรียกมาหล่อนก็พบกับใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้านที่แสนจะคุ้นเคย ในยามนี้รอยยิ้มจริงใจที่เฝ้าแวะเวียนมาเยี่ยมหล่อนทุกเมื่อเชื่อวันเกือบเดือนแล้ว หลังจากที่หล่อนฟื้นขึ้นมา

    “น้องนั่งคิดเรื่อยเปื่อยหนาเจ้าค่ะมิมีอันใดดอก”     
        
หล่อนยิ้มบาง ๆ ให้เขา แต่ใบหน้างดงามดูหม่นลง วิลันดาสำนึกอยู่ตลอดว่าเขาเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่แก่หล่อน หล่อนถึงได้หนักอกหนักใจ มิรู้จักบอกเรื่องหล่อนกับขุนไกรให้เขารู้เยี่ยงไรดี

    “พี่นึกว่าเจ้าคิดถึงขุนไกรเสียอีกหนา”

    วิลันดารอยยิ้มหุบลง เพราะในใจคิดถึงเขาจริง ๆ เกือบเดือนแล้วเขามิส่งข่าวคราวอันใดมาเลย  ทั้งนางและคุณท้าวเฟื่องต่างเป็นห่วงร้อนใจนัก เพราะได้ข่าวมิดี บัดนี้พวกพม่าได้ล้อมค่ายบางกุ้งไว้แล้ว

    “พี่ล้อเจ้าเล่นหนา แม่หญิงอย่าทำหน้าเยี่ยงนี้พี่เห็นแลมิสบายใจ”        

พ่อเพ็งเห็นว่า ตั้งแต่หล่อนฟื้นขึ้นมา หล่อนดีกับเขามาก ดูเต็มใจพูดคุยด้วยทุกครั้งที่เขามาพบนาง จึงคิดว่านางคงจักมีใจให้เขาบ้างแล้วในเพลานี้
    “วันนี้พี่เพ็งมาเร็วกว่าทุกวันหนาเจ้าค่ะ”

    “พี่มีเรื่องมาหารือกับแม่หญิง”

    “เรื่องอันใดรึเจ้าคะ”

    พ่อเพ็งเอื้อมมือมาจับมือหล่อนไปกุมเอาไว้

    “ท่านพ่อกับท่านแม่พี่หาฤกษ์แต่งงานได้แล้วหนาแม่หญิง”

    “แต่ในยามนี้อยู่ในช่วงสงครามหนาเจ้าค่ะ ดูเหมือนบัดนี้พวกพม่าจักเข้าล้อมค่ายบางกุ้งแล้ว เราจัดงานมงคลดูมิเหมาะมิควรหนาเจ้าค่ะ”            

“แต่เราควรจักจัดงานแต่งงานหนาแม่หญิง แต่งงานแก้เคล็ด” มันเป็นเพียงข้ออ้างของเขา ที่จริงแล้วเขาอยากแต่งงานกับหล่อนเพราะหัวใจร่ำร้อง

    “เป็นเยี่ยงไรเจ้าคะ แต่งงานแก้เคล็ด” หล่อนไม่รู้มาก่อน

    “ก็แม่หญิงเจ้าเหมือนกับคนได้ตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ จักต้องมีงานมงคลให้แก่ตนเอง เยี่ยงนั้นแล้วจักอายุมิยืนหนา ท่านแม่พี่จึงได้มาเจรจาด้วยคุณท้าวเฟื่องอยู่บนเรือนในเพลานี้ จักให้เราทั้งคู่แต่งงานกันในเดือนหน้า”

    “เดือนหน้ารึเจ้าคะ” จะบ่ายเบี่ยงยังไงดีนะวิลันดาเอ๋ย หล่อนคิดอยู่ในใจ

    “พี่หวังว่าเจ้าคงมิปฏิเสธพี่หนา”

    หล่อนเข้าใจดีแล้วสำหรับคำพูดที่ว่า กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หล่อนอยากจะปฏิเสธก็สงสารและรู้ซึ้งถึงความรักที่เขามีให้ แต่กระนั้นก็ยังรักขุนไกรผู้ที่ชื่อว่าเป็นเจ้าของหัวใจและร่างกายของหล่อน

                               ++++++++++++++++++
คุณท้าวเฟื่องเดินขึ้นเรือนมา เห็นแม่หญิงวิลันดานั่งเหมือนคนเหม่อลอย ชะรอยคงคิดเรื่องการแต่งงานเป็นแน่ นางจึงเดินเข้าไปถาม                
“แม่หญิง พ่อเพ็งคงจักบอกเจ้าแล้วเรื่องการแต่งงานใช่รึไม่”    
    แม่หญิงหันหน้ามาหาคุณท้าว หน้าตาของนางดูไม่ดีใจนัก เมื่อรู้ว่าตัวเองจักได้แต่งงาน    
                            
“เจ้าค่ะ”
    “นี่ขุนไกรจักกลับมาทันงานแต่งเจ้ารึไม่”     
        
    คุณท้าวเฟื่องคิดถึงบุตรชายนัก นางแสนเป็นห่วง อยากให้ศึกครั้งนี้จบสักที นี่ก็ได้ข่าวว่าทัพหลวงกำลังจัดส่งทหารและทัพเรือลงไปช่วย

    “คุณท้าวเฟื่องเจ้าคะ ดิฉันสมควรจักแต่งงานกับพี่เพ็งรึไม่เจ้าค่ะ”

    “ไยเจ้าถามแม่เยี่ยงนี้” คุณท้าวเฟื่องทรุดตัวนั่งลงข้างๆ แม่หญิง คุณท้าวมิเข้าใจว่าแม่หญิงเป็นอันใดไป ช่วงนี้นางเห็นพ่อเพ็งกับแม่หญิงก็ดี ๆ กันอยู่ ในความคิดของคุณท้าวเฟื่อง นางกำลังเข้าใจผิดไป ตั้งแต่ขุนไกรกลับไปที่ค่ายบางกุ้งครั้งที่แล้ว นางคิดว่าขุนไกรคงจักทำใจเรื่องแม่หญิงได้แล้ว นางยังมิรู้เรื่องที่ว่าในคืนนั้น พ่อเพ็งกับแม่หญิงยังมิได้เป็นอันใดกัน แต่คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าแม่หญิงได้ตกเป็นของเขาแล้ว ชายผู้นั้นที่แท้คือพ่อขุนไกรลูกชายของนางเอง             

อีกทั้งหลังจากที่พ่อเพ็งได้ช่วยชีวิตแม่หญิง ทำให้คุณท้าวคิดว่าพ่อเพ็งกับแม่หญิงเองก็สมกันราวกิ่งทองใบหยก ทั้งยังมีเรื่องนั้นมาเกี่ยวสมควรแล้วที่จักแต่งงานกัน

    “ดิฉันมิแน่ใจเจ้าค่ะ”

    “แม่จักบอกเจ้าตามตรง คราแรกที่พ่อเพ็งก่อเรื่อง แม่เองมิอยากจักให้เจ้าตอบรับคำแต่ง แต่บัดนี้พ่อเพ็งได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่าเขารักเจ้ามากเพียงไร หากเจ้าแต่งออกไปแล้วแม่คิดว่าเจ้าจักมีความสุขกับพ่อเพ็งเป็นแน่”            

“เยี่ยงนั้นรึเจ้าคะ” หัวใจวิลันดาหล่นวูบ ขนาดคุณท้าวยังเห็นว่าหล่อนเหมาะสมกับพี่เพ็ง ถ้านางจักบอกว่าบัดนี้ได้ตกเป็นเมียขุนไกรลูกชายท่าน คุณท้าวเฟื่องจักรังเกียจนางรึไม่ จักมองเป็นหญิงสองใจเยี่ยงนางวันทองรึไม่ หลายสิ่งหลายอย่างวิ่งเข้ามาในหัว หล่อนควรตัดสินใจเยี่ยงไรจักถูกต้อง

    เพลานี้ ณ ค่ายบางกุ้ง ทัพหลวงได้ยกทัพมาช่วยทั้งสองฝ่ายทัพไทยและทัพพม่าต่างเข้ารบตะลุมบอนกัน ศึกครานี้ใหญ่หลวงนัก หากฝ่ายไทยเสียทีเพลี่งพล้ำไปจักทำให้ข้าศึกฮึกเหิม หมายเข้าบุกยึดกรุงธนบุรี เสียแต่ว่าศึกนี้มิได้ง่ายดายอย่างที่พวกพม่าคาดคิดไว้

    
“จะทำเยี่ยงไรดีขอรับท่าน” ทหารหลายนายเริ่มอ่อนแรงลงเพราะขาดข้าวปลาอาหาร พละกำลังที่มีเริ่มถดถอย ขุนไกรเกรงว่าหากทหารไม่มีกำลังใจแล้วจะทำให้ศึกครั้งนี้เพลี่ยงพล้ำกับพม่าได้  จึงหันไปปรึกษากับท่านเจ้าพระยาพิชิตชัย เห็นว่ากำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในยามนี้

    เสียงม้าศึกวิ่งกรุบกรับอยู่ไกล ๆ เสียงทหารพม่าตีกลอง โห่ร้องได้ยินมาอย่างเนือง ๆ  เป็นการข่มขวัญทัพไทยที่ถูกล้อมเอาไว้

    “จงฟังข้า เพลานี้ทัพหลวงนำทัพด้วยพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงทราบข่าวข้าศึก พระองค์ทรงโปรดให้พระยามหามนตรี บุญมาจัดกองทัพเรือ ร้อยลำเศษ ล่องลงมาด้วยศาสตราวุธ อีกมิกี่อึดใจข้างหน้า คงจักมาถึงแล้วหนา ขอทหารกล้าทุกคนจงฮึกเหิมขึ้นต่อสู้กับอ้ายพวกพม่าให้ราบเป็นหน้ากลอง”                 
ขุนไกรประกาศอย่างมั่นใจ เขาเชื่อว่าค่ายบางกุ้งอย่างไรเสีย จะต้องไม่แตกพ่ายอย่างที่แม่หญิงวิลันดาเคยเล่าให้ฟัง เขาดีใจที่ตนเองได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้

    เมื่อทหารกล้าทั้งหลาย ผู้ปกป้องค่ายบางกุ้ง ได้ยินว่าทัพหลวงกำลังลงมาช่วย ก็มีกำลังใจขึ้นมาก อีกไม่กี่ชั่วยามตามที่ขุนไกรกล่าว ทัพหลวงก็เดินทางมาถึงกำลังใจของทหารกลับคืนมาเช่นเดิม พระมหามนตรีควงดาบสิงห์สุวรรณาวุธ ซึ่งทำด้ามและฝักนกหัวสิงห์ใหม่ ไล่ฆ่าฟาดฟันพม่ามากมาย ล้มตายจนเกลื่อนกลาด         

ขุนไกรต่อสู้กับทหารพม่าด้วยเชิงดาบและหมัดมวยฝีมือฉกาจ รวมทั้งมีดสั้นคืออาวุธคู่ใจ ขุนศรีเองก็เข้ามาสมทบ หลังพิงหลังเกลอรักทั้งคู่ รบทหารพม่าไปหลายสิบคน    
                            
“ขุนศรีเกลอรัก หากวันนี้ต้องสิ้นชีพเพราะปกป้องบ้านเมืองข้าก็จักมิเสียดาย”                                    
“ข้าก็คิดเยี่ยงเดียวกับเจ้า ชีวิตนี้ขอพลีเพื่อกรุงธนบุรี”


    ขุนไกรเข้าฟาดฟันกับทหารพม่านายหนึ่ง กำลังจะเพลี่ยงพล้ำ เพราะไม่เห็นว่ามีทหารพม่าอีกนายที่อยู่ด้านหลัง กำลังจะแทงหอกแหลมคมวาววับมาที่กลางหลังของเขา กลับมีคนในชุดดำใช้ดาบอันใหญ่มาขวางทางหอกเอาไว้ ไม่ให้ถึงตัวขุนไกร

    “นี่เจ้าช่วยข้าไว้รึ” ขุนไกรรู้ดีว่าคนชุดดำนั้นเป็นใคร แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไม ยะโมหนั่ยจึงคิดจะช่วยเขา ถึงอย่างไรหล่อนก็เป็นพวกพม่าเหมือนกัน        

ยะโมหนั่ย !    
                        
“บุญคุณของท่านกับข้าถือว่าจบกัน” นางหันหลังวิ่งฝ่าออกไป ขุนไกรเองก็ต้องรับมือกับทหารพม่าอีกหลายคนที่พุ่งอาวุธเข้าหาเขา
    
ยะโมหนั่ย รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจ แต่ก็รู้ตัวดี ถึงฝืนไปรักครั้งนี้ก็ไม่อาจจะสมหวังลงได้ นางกำลังเศร้าใจ แม้ฝีมือฉกาจเพียงไหน ยามที่เผอเรอย่อมเพลี่ยงพล้ำได้ ปลายดาบของทหารไทยนายหนึ่งพุ่งเข้ากลางดวงใจจากด้านหลังของหล่อน เพราะทหารนายนั้น ไม่รู้ว่านางเป็นหญิงร่างงามที่ไม่ค่อยมีใครได้ยลโฉมหน้าล้มลงจมกองเลือด                             
ขุนไกรไล่ฟาดฟันทหารพม่า จนมาถึงบริเวณที่ยะโมหนั่ยถูกแทงนางนอนจมกองเลือดสติลางเลือน
                            
“นี่เจ้า” ขุนไกรช้อนศีรษะของนางเอาไว้ในอ้อมอก            
“ขุนไกร”                            
“เจ้าถูกแทง” เขาเห็นอาวุธสั้นปักอยู่ที่ตัวนาง                 
“ข้าจะช่วยเจ้า”    
                        
“ไม่ทันแล้ว ยังไงข้าก็ต้องตาย แต่ข้าดีใจที่จะได้ตายในอ้อมอกท่านขุนไกร”                                    
“เจ้าจะไม่ตายรับปากข้าสิ ข้าติดหนี้ชีวิตเจ้า”                
“ข้ามิอาจจะครอบครองหัวใจท่านได้ แต่ข้าก็ได้ตายในอ้อมอกท่านแค่นี้ข้าก็เป็นสุขแล้ว”                                

ก่อนที่นางจะหมดลมลงไป มโนภาพของนางรำลึกไปถึงงานบุญครั้งหนึ่งในวัดใหญ่ที่สวยงามอร่ามดั่งทองทา หล่อนไม่รู้ว่านั่นคือที่ไหน ชายคนหนึ่งแต่งกายดุจนักรบมาพร้อมหญิงงามที่สวยราวเทพธิดา หล่อนรู้สึกรักใคร่ชายคนนั้นตั้งแต่แรกเห็น ทั้งยังแอบอิจฉาหญิงงามผู้นั้น นางยกขันข้าวในมือขึ้นจบ ตั้งจิตอธิษฐาน หากชาติหน้าฉันใดเกิดมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง ขอให้ได้เกิดมาพบชายคนนี้ขอให้นางได้รักเขา ขอให้ได้เป็นตัวเลือกในหัวใจของเขา เสียแต่ว่าการทำบุญในครั้งนั้น คนหนาแน่นเบียดเสียดกัน จนนางไม่ได้เข้าใกล้เขาเลยสักนิด ได้แต่มองดูอยู่ไกล ๆ พอสิ้นภาพนั้น นัยน์ตาคู่สวยใต้ผ้าคลุมหน้าสีดำก็หลับลงปิดสนิทไปชั่วกาล                                     ท่านแม่ทัพพม่าเอง คงยังไม่รู้ว่าศึกครั้งนี้ นอกจากทัพพม่าจะแตกพ่ายยับเยิน แต่ลูกสาวที่มีสายเลือดชาวสยามอยู่ครึ่งหนึ่ง กลับต้องมาสังเวยชีพในศึกครั้งนี้ด้วย                                    

“ยะโมหนั่ย เจ้าหลับให้สบายเถิดนะ” ขุนไกรลูบเปลือกตานางให้ปิดลง
    

การรบครั้งนี้สองฝ่ายต่างเข้าตะลุมบอนกัน ข้าศึกแตกกระจาย แมงกี้มารหญ่าแม่ทัพพม่าครั่นคร้าม พระมหามนตรีจึงเลี่ยงเชิงดูศึกได้ยินเสียงในค่ายที่ล้อมไว้จุดประทัด ตีม้าล่อเปิดประตูค่ายมา ทำให้ทัพพม่าที่อยู่ในศึกกระหนาบ ซ้ำยังเห็นผงคลีมืดครึ้ม ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวทัพหนุนเนื่องของไทยอีก แน่ใจว่าทัพหลวงของไทยติดตามมายิ่งเสียขวัญ     
                
ฝ่ายไทยกลับฮึกเหิมไล่ฟาดฟันแทงข้าศึกล้มตายเป็นอันมาก ที่เหลือก็พากันแตกหนี พระยาทวายเห็นเหลือกำลังที่จะต่อสู้ จึงสั่งทัพถอยร่นรวบรวมไพร่พลกลับไปเมืองทวายทางด่านเจ้าขว้าว กองทัพพระเจ้ากรุงธนบุรีได้เรือรบของศัตรูทั้งหมดและได้เครื่องศาสตราวุธ ตลอดจนเสบียงอาหารเป็นอันมาก            

หลังจบศึกทางกองทัพได้ปูนบำเหน็จให้เหล่าทหารกล้าตามสมควรและให้เดินทางกลับบ้านไปพักได้เป็นแรมเดือน เพื่อเป็นการชดเชยที่พวกเขาปกบ้านป้องเมืองเอาไว้อย่างสุดกำลัง
                        ++++++++++++++++++
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่