ตอนที่ 22
“พ่อเพ็งนั่นเจ้าจักออกไปไหนแต่เช้ารึ”
คุณท้าวศรีประจัน เห็นบุตรชายกำลังจะเดินลงเรือนไปด้วยท่าทีรีบร้อนเขาหันใบหน้าหล่อเหลามายิ้มกับมารดา
“ลูกจักออกไปที่เรือนเจ้าพระยามิตรไมตรีขอรับ” จากนั้นจึงหยุดฟังว่ามารดาจะว่าอย่างไรต่อ
“ไปหาแม่หญิงวิลันดากระนั้นรึ” คุณท้าวศรีประจันมองบุตรชายด้วยความชื่นชม หากนางเป็นสาวแรกรุ่น มีชายหนุ่มหน้าตาดี พร้อมด้วยยศศักดิ์มาเกี้ยวพาแบบแม่หญิงวิลันดา นางคงคิดจะตกลงปลงใจอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าแม่หญิงผู้นั้นจะคิดเหมือนนางรึไม่
“ขอรับ”’
“แล้วเรื่องแม่หญิงวิลันดา เจ้าไปพูดกับนางแล้วรึที่จักให้ท่านพ่อไปสู่ขอนาง”
“ขอรับ ข้าพูดกับนางแล้ว แต่นางขอเวลาตัดสินใจ”
“นางเป็นหญิง การออกเหย้าออกเรือน จักต้องคิดให้รอบคอบเจ้าคงต้องจักให้เวลาแก่นางบ้าง”
“ลูกรอได้นานแค่ไหนลูกก็จักรอ ขอแค่ให้นางมีใจให้แก่ลูกบ้าง”
“ดีแล้ว หากนางตกลงปลงใจกับเจ้า แม่จักได้ไปทาบทามกับคุณท้าวเฟื่องและท่านเจ้าพระยา”
“แล้วท่านแม่มิติดใจรึขอรับว่า นางเป็นใคร”
จมื่นราชภักดีไม่คิดว่าแม่ของเขา จะอยากได้แม่หญิงวิลันดามาเป็นสะใภ้ ถึงขนาดนี้ หรืออีกนัยหนึ่ง ท่านคงกลัวขุนไกรจะแอบปันใจให้แม่หญิงวิลันดาจึงอยากจะตัดไฟแต่ต้นลม เพราะน้ำตาลใกล้มดใครจะอดใจได้ แต่หารู้ไม่ว่า ใจของขุนไกรได้ไปฝากไว้กับแม่หญิงวิลันดานานแล้ว
“หากเจ้ารักนาง แม่ก็มิคิดขัดขวาง แม่อยากให้นางตกลงปลงใจกับพ่อเพ็งเสียเร็ววันยิ่งดีนัก แม่จักได้เบาใจเรื่องแม่ดาวเรือง”
“แม่ดาวเรือง พูดถึงก็มาพอดี” คุณท้าวมองบุตรสาวที่วันนี้หล่อนแต่งตัวสวยงามเดินมาพอดี
“น้องจักไปไหนรึถึงได้แต่งตัวงามนัก”
“พี่เพ็งชมน้องแบบนี้ น้องก็เขินหมดซิเจ้าคะ”
“อย่าบอกหนา ว่าเจ้าจักไปเรือนพระยามิตรไมตรี”
“เจ้าค่ะ”
“นี่ขุนไกรกลับมาจากค่ายแล้วกระนั้นรึ” เขาแปลกใจ เพราะได้ยินข่าวลือมาว่า บัดนี้ค่ายบางกุ้งถูกทหารพม่าล้อมค่ายเอาไว้ ความเป็นอยู่ที่ค่ายอดอยากมาก “มิใช่เจ้าค่ะ”
“แล้วเยี่ยงนั้น แม่ดาวเรืองเจ้าจักไปหาใครที่เรือนนั่นกันรึ”
พ่อเพ็งสงสัยในตัวน้องสาว เพราะรู้ว่าน้องสาว มิญาติดีกับแม่หญิงวิลันดาอย่างแน่นอนและเหตุใดนางจึงจักไปหาแม่หญิง
“พี่เพ็งเจ้าขา ก็น้องจักไปชวนแม่หญิงวิลันดา ไปเดินชมตลาด ซื้อผ้าสักหน่อยตามประสาผู้หญิงด้วยกันก็เพียงเท่านั้น”
“แน่ใจรึว่า เจ้ามิได้คิดแผนการอันใดอยู่” เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าน้องสาวจะมาไม้ไหน
“พี่เพ็ง พูดเยี่ยงนี้ หาว่าน้องคิดมิดีต่อนางรึเจ้าค่ะ น้องเสียใจนักอุตส่าห์คิดว่าจักทำดีต่อนาง เพราะอีกมินาน นางจักมาเป็นพี่สะใภ้แล้วก็เพียงเท่านั้น” พลางทำท่าทางกระเง้ากระงอด
“เอาเถิด พ่อเพ็งก็ไปว่าน้อง น้องคงจักคิดได้แล้ว มิดีรึ เจ้าจักได้มิต้องลำบากใจ”
คุณท้าวศรีประจันรีบพูดตัดบท เพราะมิอยากให้พี่น้องคู่นี้ต้องบาดหมางใจกัน เพราะเรื่องแม่หญิงวิลันดา
“หากเป็นดังที่น้องพูด คิดเยี่ยงนั้นจริง ๆ พี่ก็ดีใจนัก” แต่ความคิดของเขาคิดว่าแม่ดาวเรือง ต้องมีแผนการอันใดเป็นแน่
++++++++++++++++++
ย่ำรุ่งอรุโณทัย เช้านี้อากาศค่อนข้างเย็น แต่วิลันดากลับตื่นแต่เช้า หล่อนอาบน้ำสระผมด้วยมะกรูดเผาไฟ ซึ่งหล่อนเริ่มจะคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตแบบนี้มากขึ้นทุกที ไม่ต้องพึ่งแชมพูที่มีแต่สารเคมี จนผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มดุจเส้นไหมของหล่อนเริ่มแห้ง หล่อนใช้หวีไม้สักทองขัดมันหวีเบา ๆ กลับพบว่า ผมร่วงมาก จนเริ่มประหลาดใจ
“นี่ตัวเราเป็นอะไรไป” พลางนึกถึงเรื่องที่ท่านปุโรหิตศรีวิชัย หรืออีกนัยหนึ่งคือพ่อของหล่อนในอดีต ได้บอกว่า ยิ่งหล่อนอยู่ที่นี่นาน ๆ ร่างกายจะค่อย ๆ เสื่อมลงไปจนสูญสลาย คิดได้ดังนั้น ใบหน้าของขุนไกรก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดคำนึง
“พี่ขุนจะรู้รึไม่ว่า กว่าท่านจะกลับมา เราอาจมิได้พบกันอีกแล้ว” หล่อนพูดเบา ๆ อยู่หน้าคันฉ่อง ซึ่งหล่อนสังเกตเช่นกันว่า ใบหน้าของตนแลหมองคล้ำลง ถึงแม้ว่าความงามยังมิได้ลดน้อยลงมากนักก็ตามที
“แม่หญิงเจ้าคะ”
วิลันดาได้ยินเสียงมะลิบ่าวคนสนิทมาเคาะห้องเรียกหล่อน
“เข้ามาได้มะลิ เรามิได้ขัดประตูไว้ดอกหนา”
“เจ้าค่ะ แม่หญิง”
มะลิเข้ามาในห้อง เห็นหล่อนกำลังหวีผม จึงคลานเข้ามาจะช่วยหวีผมให้วิลันดา แต่เห็นผมที่ร่วงจำนวนมาก มะลิคิดว่าแม่หญิงคงจักแพ้มะกรูด
“ผมร่วงมากหนาเจ้าค่ะ แม่หญิงแพ้มะกรูดรึเจ้าคะ”
“อย่างนั้นกระมัง เจ้ามีอันใดรึมะลิ”
“คุณท้าว ให้บ่าวมาแจ้งว่า จมื่นราชภักดีกับน้องสาวมาขอพบเจ้าค่ะ”
“แม่ดาวเรืองมาด้วยรึ”
“เจ้าค่ะ”
“เยี่ยงนั้นเจ้าจงไปเรียนคุณท้าวว่าประเดี๋ยวเราจักออกไป”
“เจ้าค่ะ” ++++++++++++++++++
บุพเพข้ามภพ (ตอนที่ 22)
“พ่อเพ็งนั่นเจ้าจักออกไปไหนแต่เช้ารึ”
คุณท้าวศรีประจัน เห็นบุตรชายกำลังจะเดินลงเรือนไปด้วยท่าทีรีบร้อนเขาหันใบหน้าหล่อเหลามายิ้มกับมารดา
“ลูกจักออกไปที่เรือนเจ้าพระยามิตรไมตรีขอรับ” จากนั้นจึงหยุดฟังว่ามารดาจะว่าอย่างไรต่อ
“ไปหาแม่หญิงวิลันดากระนั้นรึ” คุณท้าวศรีประจันมองบุตรชายด้วยความชื่นชม หากนางเป็นสาวแรกรุ่น มีชายหนุ่มหน้าตาดี พร้อมด้วยยศศักดิ์มาเกี้ยวพาแบบแม่หญิงวิลันดา นางคงคิดจะตกลงปลงใจอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าแม่หญิงผู้นั้นจะคิดเหมือนนางรึไม่
“ขอรับ”’
“แล้วเรื่องแม่หญิงวิลันดา เจ้าไปพูดกับนางแล้วรึที่จักให้ท่านพ่อไปสู่ขอนาง”
“ขอรับ ข้าพูดกับนางแล้ว แต่นางขอเวลาตัดสินใจ”
“นางเป็นหญิง การออกเหย้าออกเรือน จักต้องคิดให้รอบคอบเจ้าคงต้องจักให้เวลาแก่นางบ้าง”
“ลูกรอได้นานแค่ไหนลูกก็จักรอ ขอแค่ให้นางมีใจให้แก่ลูกบ้าง”
“ดีแล้ว หากนางตกลงปลงใจกับเจ้า แม่จักได้ไปทาบทามกับคุณท้าวเฟื่องและท่านเจ้าพระยา”
“แล้วท่านแม่มิติดใจรึขอรับว่า นางเป็นใคร”
จมื่นราชภักดีไม่คิดว่าแม่ของเขา จะอยากได้แม่หญิงวิลันดามาเป็นสะใภ้ ถึงขนาดนี้ หรืออีกนัยหนึ่ง ท่านคงกลัวขุนไกรจะแอบปันใจให้แม่หญิงวิลันดาจึงอยากจะตัดไฟแต่ต้นลม เพราะน้ำตาลใกล้มดใครจะอดใจได้ แต่หารู้ไม่ว่า ใจของขุนไกรได้ไปฝากไว้กับแม่หญิงวิลันดานานแล้ว
“หากเจ้ารักนาง แม่ก็มิคิดขัดขวาง แม่อยากให้นางตกลงปลงใจกับพ่อเพ็งเสียเร็ววันยิ่งดีนัก แม่จักได้เบาใจเรื่องแม่ดาวเรือง”
“แม่ดาวเรือง พูดถึงก็มาพอดี” คุณท้าวมองบุตรสาวที่วันนี้หล่อนแต่งตัวสวยงามเดินมาพอดี
“น้องจักไปไหนรึถึงได้แต่งตัวงามนัก”
“พี่เพ็งชมน้องแบบนี้ น้องก็เขินหมดซิเจ้าคะ”
“อย่าบอกหนา ว่าเจ้าจักไปเรือนพระยามิตรไมตรี”
“เจ้าค่ะ”
“นี่ขุนไกรกลับมาจากค่ายแล้วกระนั้นรึ” เขาแปลกใจ เพราะได้ยินข่าวลือมาว่า บัดนี้ค่ายบางกุ้งถูกทหารพม่าล้อมค่ายเอาไว้ ความเป็นอยู่ที่ค่ายอดอยากมาก “มิใช่เจ้าค่ะ”
“แล้วเยี่ยงนั้น แม่ดาวเรืองเจ้าจักไปหาใครที่เรือนนั่นกันรึ”
พ่อเพ็งสงสัยในตัวน้องสาว เพราะรู้ว่าน้องสาว มิญาติดีกับแม่หญิงวิลันดาอย่างแน่นอนและเหตุใดนางจึงจักไปหาแม่หญิง
“พี่เพ็งเจ้าขา ก็น้องจักไปชวนแม่หญิงวิลันดา ไปเดินชมตลาด ซื้อผ้าสักหน่อยตามประสาผู้หญิงด้วยกันก็เพียงเท่านั้น”
“แน่ใจรึว่า เจ้ามิได้คิดแผนการอันใดอยู่” เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าน้องสาวจะมาไม้ไหน
“พี่เพ็ง พูดเยี่ยงนี้ หาว่าน้องคิดมิดีต่อนางรึเจ้าค่ะ น้องเสียใจนักอุตส่าห์คิดว่าจักทำดีต่อนาง เพราะอีกมินาน นางจักมาเป็นพี่สะใภ้แล้วก็เพียงเท่านั้น” พลางทำท่าทางกระเง้ากระงอด
“เอาเถิด พ่อเพ็งก็ไปว่าน้อง น้องคงจักคิดได้แล้ว มิดีรึ เจ้าจักได้มิต้องลำบากใจ”
คุณท้าวศรีประจันรีบพูดตัดบท เพราะมิอยากให้พี่น้องคู่นี้ต้องบาดหมางใจกัน เพราะเรื่องแม่หญิงวิลันดา
“หากเป็นดังที่น้องพูด คิดเยี่ยงนั้นจริง ๆ พี่ก็ดีใจนัก” แต่ความคิดของเขาคิดว่าแม่ดาวเรือง ต้องมีแผนการอันใดเป็นแน่
++++++++++++++++++
ย่ำรุ่งอรุโณทัย เช้านี้อากาศค่อนข้างเย็น แต่วิลันดากลับตื่นแต่เช้า หล่อนอาบน้ำสระผมด้วยมะกรูดเผาไฟ ซึ่งหล่อนเริ่มจะคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตแบบนี้มากขึ้นทุกที ไม่ต้องพึ่งแชมพูที่มีแต่สารเคมี จนผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มดุจเส้นไหมของหล่อนเริ่มแห้ง หล่อนใช้หวีไม้สักทองขัดมันหวีเบา ๆ กลับพบว่า ผมร่วงมาก จนเริ่มประหลาดใจ
“นี่ตัวเราเป็นอะไรไป” พลางนึกถึงเรื่องที่ท่านปุโรหิตศรีวิชัย หรืออีกนัยหนึ่งคือพ่อของหล่อนในอดีต ได้บอกว่า ยิ่งหล่อนอยู่ที่นี่นาน ๆ ร่างกายจะค่อย ๆ เสื่อมลงไปจนสูญสลาย คิดได้ดังนั้น ใบหน้าของขุนไกรก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดคำนึง
“พี่ขุนจะรู้รึไม่ว่า กว่าท่านจะกลับมา เราอาจมิได้พบกันอีกแล้ว” หล่อนพูดเบา ๆ อยู่หน้าคันฉ่อง ซึ่งหล่อนสังเกตเช่นกันว่า ใบหน้าของตนแลหมองคล้ำลง ถึงแม้ว่าความงามยังมิได้ลดน้อยลงมากนักก็ตามที
“แม่หญิงเจ้าคะ”
วิลันดาได้ยินเสียงมะลิบ่าวคนสนิทมาเคาะห้องเรียกหล่อน
“เข้ามาได้มะลิ เรามิได้ขัดประตูไว้ดอกหนา”
“เจ้าค่ะ แม่หญิง”
มะลิเข้ามาในห้อง เห็นหล่อนกำลังหวีผม จึงคลานเข้ามาจะช่วยหวีผมให้วิลันดา แต่เห็นผมที่ร่วงจำนวนมาก มะลิคิดว่าแม่หญิงคงจักแพ้มะกรูด
“ผมร่วงมากหนาเจ้าค่ะ แม่หญิงแพ้มะกรูดรึเจ้าคะ”
“อย่างนั้นกระมัง เจ้ามีอันใดรึมะลิ”
“คุณท้าว ให้บ่าวมาแจ้งว่า จมื่นราชภักดีกับน้องสาวมาขอพบเจ้าค่ะ”
“แม่ดาวเรืองมาด้วยรึ”
“เจ้าค่ะ”
“เยี่ยงนั้นเจ้าจงไปเรียนคุณท้าวว่าประเดี๋ยวเราจักออกไป”
“เจ้าค่ะ” ++++++++++++++++++