พอดีเพื่อนฝากมาแบ่งปั่นครับ ต้องยอมรับใจเธอเลย จริงๆผมก็อยากจะแนะนำให้ซ้อมนานกว่านี้นะครับ แต่ใจเธอไม่เคยยอมแพ้เลย
เล่าเรื่องเส้นทางสู่มาราธอนแรกของชีวิตของผู้ไม่เคยมีทักษะ และผู้ไม่เคยออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาใดๆ เป็นเลย @ สสส.จอมบึงมาราธอน ปีที่ 29 วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2557
เริ่มต้นจากการเป็นนักวิ่งสายพานเครื่องออกกำลังกายที่ฟิสเนสของคอนโด เหตุผลที่หันมาเริ่มออกกำลังกายเพราะว่าเป็นคนขี้โรคสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ละเดือนต้องหาหมอตลอด
ลองผิดลองถูกกับการซื้อรองเท้ามาก็หลายคู่ ไม่รู้ถึงขนาดว่าซื้อรองเท้า Training มาวิ่งบ้าง (ผลลัพธ์คือเจ็บเข่า แล้วก็อดทนใส่แล้วเจ็บอยู่อย่างนั้น)ไม่มีความรู้ใดๆ ไม่มีโค้ช ไม่เคยหาข้อมูลใดๆ (- -‘’)
มาดูแผนการวิ่งออกกำลังกายกันบ้าง
สถิติเมื่อ วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2554
· เดิน 5 นาที ระดับความเร็ว 3 - 5.5
· วิ่ง 10 นาที ระดับความเร็ว 6 – 9
· เดิน 5 นาที ระดับความเร็ว 5.5 – 6
· วิ่ง 10 นาที ระดับความเร็ว 6 – 8
· Cool down 3 นาที รวมวิ่งราวๆ 33 นาที ระยะทาง 3 กิโลเมตร
ผลที่ได้ทั้งเจ็บเข่าทั้งเหนื่อยแทบขาดใจ
อันนี้สถิติ วันอังคารที่ 16 ตุลาคม 2555
เดิน 8-10 นาที ระดับความเร็ว 3 - 6.2
วิ่งราวๆ 45 นาที ระดับความเร็ว 6.5 - 9
Cool down 3 นาที
รวมวิ่งราวๆ 59 นาที ระยะทาง 6.2 - 6.6 กิโลเมตร
1 ปีต่อมา (พอดีเป็นคนชอบเขียนไดอะรี่เลยมีสถิติเก่าเก็บไว้และวันที่อย่างชัดเจน) ด้วยวิ่งแล้วเจ็บเข่าก็พยายามหาความรู้มากขึ้น อย่างที่เห็นมีการ Warm Up มากขึ้น
สนามแรกที่ไปวิ่งแบบได้เหรียญงานแรกคืองานวัดเมตตาธรรม กาญจนบุรี ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร จำวันที่ไปวิ่งไม่ได้แต่เป็นปี 2555 จำได้ดีว่างานนี้มีเด็กประถมตัวน้อยๆ วิ่งแซงแล้วแซงอีกจนน่าอนารถใจตัวเอง ปี 55 เป็นงานวิ่งงานเดียวที่ได้ไปงาน แล้วก็เหนื่อยแทบขาดใจเหมือนเดิมแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ “ที่ไกลๆ อย่างนี้ยังมีคนมาวิ่งกันตั้งเยอะตั้งแยะขนาดนี้เชียวหรือ ฉันไปอยู่ไหนมา” อ้อ...อีกเรื่องที่ไม่เคยรู้คือตอนไปสมัครคนเจ้าหน้าที่รับสมัครถามว่าจากชมรมไหนคะ ? ก็ตอบเค้าไปว่าไม่มีค่ะ ว่าแต่ว่าจะสมัครวิ่งต้องมีชมรมด้วยหรือเปล่าคะ เค้าบอกไม่ต้องก็ได้
แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่รู้จักการยืดเหยียดร่างกายอยู่ดี ทุกครั้งที่วิ่งเสร็จจะปวดระบม ก็อดทนอยู่อย่างนั้น จนในที่สุดก็มีรุ่นน้องผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานมาบอกว่าต้องยืดเหยียดทั้งก่อนและหลังออกกำลังกายนะ
ประกอบกับได้เริ่มหาข้อมูลและมีความรู้เรื่องรองเท้าวิ่งและท่าวิ่งต่างๆ จากกูรูที่มาเขียนแชร์ประสบการณ์ตามเพจต่างๆ มากขึ้น ชีวิตการวิ่งเริ่มสนุกขึ้นไม่ค่อยเจ็บเข่าแล้วเพราะไปซื้อรองเท้าใหม่แล้วปรับท่าวิ่งด้วย แต่ก็วิ่งไม่ได้ดีนัก และที่จำได้ดีอีก 1 อย่างคือตอนไป Outing กับที่ทำงาน เค้าให้เขียน Mission แล้วส่ง Post card หาตัวเองว่าอยากทำอะไรให้ได้บ้างในอนาคต ข้อ 1 ที่เขียนไว้คือ อยากวิ่งให้ได้ 10 km. ตอนที่เขียนนั้นเดือน กรกฏาคม ปี 2556 แล้วในปีนี้สนามแรกที่ได้วิ่งคืองาน King of the road 2013 ระยะทางที่ลงคือ 5 km. (08.09.13) เหนื่อยแทบขาดใจอีกเหมือนเดิม แต่...แต่ความบ้ายังไม่หมดเพียงเท่านั้น หลังจากนั้น ดันไปฝันว่าอยากวิ่งกรุงเทพมาราธอนสักครั้งในชีวิต นั่งคิดนอนคิด แบบเครียดๆ ด้วยนะว่าจะทำได้ไม๊ 42.195 km. มันไกลเกินเอื้อมไปนะ สุดท้ายก็ตัดสินใจลง Half Marathon 21 Km. ขนาดว่าสมัครฮาร์ฟไปก็ยังกลัวมาก ว่าจะวิ่งไม่จบ ก็พยายามซ้อมวิ่งงานอื่นๆ อีกเช่น งาน PEA Mini marathon 10.5 Km. งานวิ่งเพื่อเด็กที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ 12 Km.
พอถึงวันไปรับ Bib งาน กรุงเทพมาราธอน ก็เกิดมีความผิดพลาดของผู้จัดงานอีก สมัคร Half แต่ ชื่อ และ Tracking อยู่ที่ Full Marathon ถ้าใครได้ไปรับ Bib งานนี้เองก็จะรู้ว่าการที่จะขอเปลี่ยนมันยุ่งยากวุ่นวายใช้เวลามาก แอบไม่คาดคิดว่างานระดับประเทศที่ใฝ่ฝันจะโกลาหลได้ถึงเพียงนี้ ฝ่าดงม๊อบ ไปรับ Bib อีกต่างหาก ใช้เวลาขอเปลี่ยนหลายชั่วโมง ต่อแถวนี้ แถวโน้นก็ไม่ได้เจอ “คุณน้อยซะที” เอาเถอะนะแต่ก็ผ่านมาได้โดยที่คุณน้อยใช้ปากกาเมจิกขีด 42.195 km. แล้วเขียนเลข 21 แทน (- -“) แต่งานนี้ไม่ได้วิ่งคนเดียวงานนี้มี Buddy วิ่งประกบไปด้วยให้อุ่นใจ ว่ายังไงหากเป็นลมไปก่อนก็จะมีคนช่วยแน่นอน แต่สุดท้ายก็ผ่านพ้นมา Half Marathon มาได้ด้วยระยะเวลา 2.55 Hr. แบบเหนื่อยมากเช่นเดิม แต่งานนี้ได้จุดประกายฝันว่าอยากจะวิ่ง Full Marathon ให้ได้สักครั้ง ถึงเอาโบชัวร์งานยูนิครันนิ่งอยุธยามาราธอนมาแปะหน้าห้อง(น้ำ) แล้วนั่งเพ่งมันทุกวัน แต่น้องผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานท่านเดิมก็บอกว่า รอขยับเป็นงานจอมบึงไม๊ ไกลไปอีกหน่อยจะได้มีเวลาซ้อมขึ้นอีก ก็เอาเป็นว่าตกลง วันที่ 27 พ.ย. 56 ได้ทำการสมัคร Full Marathon 42.915 km. โดยที่ Buddy ส่วนตัวบอกว่างานนี้ขอลงแค่ฮาร์ฟก็พอนะ...เอิ่ม !!! เอาละซิทีนี้ ถ้าฉันเป็นลมตายกลางทางใครจะช่วยดูช่วยหามล่ะ แต่ก็ยังมีหวังว่าจะชวนน้องผู้รู้ท่านเดิมวิ่งประกบด้วย แต่เพราะน้องยังเจ็บเท้าจากงานกรุงเทพฯ มาราธอนอยู่จึงขอลงแค่ Half Marathon อีกเช่นกัน เอาละสิทีนี้ ตายแน่ๆๆๆๆ จบเรื่องของการตัดสินใจและสมัครเป็นที่เรียบร้อยคราวนี้ก็มาถึงการซ้อม ตามตารางที่น้องผู้นั้นหาได้จากเวปต่างๆ แต่การซ้อมก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด แต่ก็มีโอกาศได้ซ้อมยาววิ่ง 30 KM. อยู่หนึ่งครั้ง แบบแทบก้าวขาไม่ออกในกิโลที่ 30 คิดๆๆๆๆๆ ว่าจะไหวไม๊หนอเรา
ตอนช่วงปีใหม่ก็ได้ไปวิ่ง Half Marathon ที่เมืองแกน อ. แม่แตง จ. เชียงใหม่ ถือว่าเป็น Half Marathon ครั้งที่สองของชีวิต ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่เหนื่อยกระอักเลือดเท่าครั้งแรก แต่ด้วยความที่ระยะ Half มีคนลงประมาณ 30 คนได้ ทุกคนวิ่งเก่งๆ กันหมด เราเลยเป็นนักวิ่งที่มีรถพยาบาลกู้ภัยตามตรูดดดดดดด ตลอดเวลา มันช่างเป็นความกดดันเอามากๆ ทีเดียวที่มีรถพยาบาลตามเช่นนี้ แต่ถ้าคิดอีกที หากเราเป็นลมเค้าคงเข้าชาจต์ได้ถึงตัวแบบทันทีทันใด ก็เป็นข้อดีอีกข้อนะ อ้อ...งานนี้มีคนวิ่งประกบด้วย แบบลากเราถูลู่ถูกังตอนวิ่งขึ้นสันเขื่อน

ัด แต่แล้วก็วิ่งจนจบ (หากใครอยากวิ่งชมวิวอากาศดีๆ แนะนำงานนี้ ดอกไม้สวย วิวสวย แนะนำค่ะ) ชนิดที่เค้าเก็บงานแจกถ้วยรางวัลกันไปเรียบร้อย
ต่อมาช่วงปีใหม่ก็ประสบอุบัติเหตุล้มหัวเข่าขวากระแทกอีกเข้าใจว่าไม่เป็นอะไร แต่พอวันที่ 5 ม.ค. 57 มาวิ่งงานวิ่งสู่ชีวิตใหม่ 10 KM. กลับเจ็บเข่าที่กระแทกมาก และสุดท้าย DNF ใน กิโลที่ 6 เอาละสิ !!! แล้ว 42.195 ในไม่กี่วันข้างหน้าจะหายทันไม๊ !!!!
ความพยามยังไม่หมดเพียงแค่นั้น วันที่ 12 ม.ค. 57 ก็ไปวิ่งงาน SCG 10 KM. (งานนี้สมัครมานานแล้วถูกเลื่อนไปเลื่อนมา) แต่ก็วิ่งจบนะ 1.20 hr. ทั้งที่ก่อนหน้านั้นหนึ่งสัปดาห์ไม่ได้ซ้อมเลยเพราะเจ็บแผล
และแล้ววันที่ต้องวิ่ง 42.195 KM. ก็มาถึงจนได้ออกจากบ้านที่กรุงเทพฯ ตอน 9.30 น. ไปเรื่อยๆ ถึงหอประชุมเพื่อรับ Bib บ่ายโมงนิดๆ งานนี้ใช้เวลารับ Bib ไม่ถึง 5 นาที ดีสมคำร่ำลือว่าเป็นงานชาวบ้านที่จัดได้ดีไม่แพ้งานระดับประเทศ (ดีกว่ามากๆๆๆๆ) อ้อ...ด้วยความกังวลว่าจะใช้เวลานานมากกว่าจะลากสังขารกลับมาได้เลยได้ถามผู้จัดงานว่างานนี้จำกัดเวลาวิ่งระยะ Full ไม๊ แล้วก็ได้รับคำตอบอย่างรวดเร็วว่าไม่จำกัด พร้อมมีขบวนจักรยานปิดท้าย ก็คาดว่าเป็นคนสุดท้ายเหมือนเดิมนั่นหละ 555 ก็เตรียมตัวเข้านอนตอน 6 โมงเย็นเพื่อจะตื่นตี 2 เพราะปล่อยตัวตี 4 นอนหลับๆ ตื่นๆ ตื่นเต้น กังวล กลัว สารพัดความคิดที่สร้างขึ้นมาเองให้กลัว และนาฬิกาก็ปลุกตอนตี 2 ลุกขึ้นมากินๆๆๆ พร้อมทำธุระส่วนตัว และ Warm Up ในห้องนิดหน่อย แล้วก็วิ่งเบาจากที่พักมาจุดปล่อยตัว เข้าห้องน้ำอีกรอบ ก็ไม่มีอะไรออกมานะ คาดว่าตื่นเต้นนั่นเอง (- -)” พอได้เวลาปล่อยตัวก็ล่ำลากับ Buddy แล้วไปยืนๆ ประจำที่ปล่อยตัว มองซ้ายมองขวา เห็นแต่นักวิ่งหุ่นเก๋าๆ ทั้งนั้นเลย แต่พอเงยหน้ามาเห็นป้ายไฟ คำวา “Marathon” น้ำตาก็เอ่อขึ้นทันที แบบว่านี่ฉันจะวิ่งมาราธอนหรอ??? มันตื้นตัน ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกว่าคนที่วิ่งกระป๋องกระแป๋งอย่างเราจะวิ่งมาราธอนเสียงปล่อยตัวดังขึ้น นักวิ่งคนอื่นๆ ใส่เกียร์กันตามแผนที่เค้าซ้อมไว้ ส่วนเราก็วิ่งไปเรื่อยๆ แต่เท่าที่รู้มาเค้าบอกให้วิ่งช้าๆ ก่อนเพื่ออบอุ่นร่างกาย เราก็วิ่งช้าๆ ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่สามารถจะวิ่งเร็วไปได้มากกว่านี้หรอกนะ ฮ่าๆๆ วิ่งไปเรื่อยๆ คนเดียว บ่อยครั้งที่มีคนทักทายพร้อมถามว่าวิ่งระยะนี้ครั้งแรกหรือเปล่า เราก็ตอบว่าใช่ค่ะ ก็มีการถามต่อว่าแล้วเคยวิ่งฮาฟไม๊ ก็ตอบว่าเคย ก็ถามต่ออีกว่าเวลาเท่าไหร่ เราก็ตอบไป เสียงที่ได้ยินตอบกลับมาว่า โห...แล้วจะวิ่งจบหรอเนี่ย เอ้าๆๆๆ สู้ๆๆ นะ ใจแฟบไปเป็นกอง แต่ไม่ถอดใจนะ วิ่งไปเรื่อยๆ ในแบบของเรา จุดให้น้ำถี่มาก พร้อมมีเสียงเด็กน้อยกองเชียร์ “ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝากหัวใจ” แทบจะทุกจุดเชียร์ก็ว่าได้ น่ารักดีจังเด็กๆ ตัวน้อยๆ ^_^ ใส่เสื้อกันหนาวยื่นมือมาให้แปะ เป็นกำลังใจอย่างดีเยี่ยม วิ่งๆ ไปจำไม่ได้กิโลเมตรที่เท่าไหร่ ได้รับน้ำพระพุทธมนต์สบัดมาให้กำลังใจอีกหนึ่งระลอก ด้วยความที่วิ่งแบบไม่มีแผน และไม่มีโค้ชเลยรับน้ำแทบทุกจุด เป็นอันได้ใช้บริการห้องสุขาเคลื่อนที่ใน กม. 15 ก็วิ่งไปเรื่อยหลายคนวิ่งมาประกบให้กำลังใจ แล้วก็วิ่งจากไป คนแล้วคนเล่า เราก็ยังคงวิ่งในแบบของเราไปเรื่อยๆ เมื่อนักวิ่งท่านอื่นที่กลับตัวกันแล้วสวนกลับมาทุกคนหันมายิ้มให้ ให้กำลังใจ แล้วก็บอกว่าสู้ๆ นะ อีกนิดเดียวจะได้กลับตัวแล้ว เป็นความประทับจากๆ อีกอย่างนอกจากเสียงเชียร์ของน้องๆ พอมาถึงกิโลที่ 25 ได้คุณลุงท่านนึงวิ่งประกบเราไปเกือบ 10 กิโล ต้องขอบคุณ คุณลุงท่านนั้นมากที่ลากเราไปด้วยไม่งั้นเราอาจจะช้ากว่านี้ และเราก็หยุดยืดขาแล้วบอกให้คุณลุงก็วิ่งจากไป เราก็วิ่งเตาะแตะๆ ของเราต่อไปตามสภาพ พอเหลือ 5 กิโลสุดท้ายก็เหนื่อยมากยกขาไม่ค่อยจะขึ้น ก็เลยคิดว่าจะเดินเข้าเส้นชัยเอาแล้วกันนะ เดินไปได้สักพักน้องท่านเดิมก็ขับรถมาดูสภาพ คาดว่าคงจะมาเก็บซากเรากลับนั่นเอง ^^” ซึ่งเราก็โบกมือแล้วบอกว่าไปเถอะขอเดินเข้าเส้นชัยแล้วกันนะ ยังไหวอยู่ไม่ต้องห่วง พอเจอโปรตุ้ม โปรก็บอกว่าเอ้าวิ่งหน่อยขอจะได้ถ่ายรูป วิญญาณบ้ากล้องก็เข้าสิงทันที ขาที่ยกไม่ค่อยไหวกลับยกขึ้นมาได้วิ่งยิ้มสู้กล้อง พอพ้นโค้งก็เห็นเส้นชัยพร้อมเสียงดนตรีสนุกๆ เชียร์ รออยู่ ก่อนเข้าเส้นชัยมีพี่สาวนักวิ่งจากชมรมไหนก็ไม่แน่ใจเอาพวกมาลัยมาคล้องคอให้แล้วบอกว่าเก่งมา เราก็ไหว้แล้วขอบคุณสำหรับมิตรภาพดี แล้วก็วิ่งต่อไปเข้าเส้นชัยด้วยดาการมึนๆ งงๆ พอเห็นBuddy เท่านั้นหละโผเข้ากอดคอเค้าแล้วร้องให้โฮเลย สะอึกสะอึ้นตื้นตันแบบบอกไม่ถูกว่ามันจบแล้ว ฉันทำได้แล้ว ไปรับเหรียญ พร้อมเสื้อ “Finisher” ที่ไฝ่ฝัน แบบไม่ต้องมีรถพยาบาลตามเก็บ มีความสุขแบบที่ไม่คาดฝันว่าคนขี้โรค ไม่เคยออกกำลังกายอย่างเราจะทำได้ด้วยเวลา 6.15 hr. ชนะคนอื่นไปตั้งเกือบ 100 คนแน๊ะ^^
จอมบึง Finisher
เล่าเรื่องเส้นทางสู่มาราธอนแรกของชีวิตของผู้ไม่เคยมีทักษะ และผู้ไม่เคยออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาใดๆ เป็นเลย @ สสส.จอมบึงมาราธอน ปีที่ 29 วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2557
เริ่มต้นจากการเป็นนักวิ่งสายพานเครื่องออกกำลังกายที่ฟิสเนสของคอนโด เหตุผลที่หันมาเริ่มออกกำลังกายเพราะว่าเป็นคนขี้โรคสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ละเดือนต้องหาหมอตลอด
ลองผิดลองถูกกับการซื้อรองเท้ามาก็หลายคู่ ไม่รู้ถึงขนาดว่าซื้อรองเท้า Training มาวิ่งบ้าง (ผลลัพธ์คือเจ็บเข่า แล้วก็อดทนใส่แล้วเจ็บอยู่อย่างนั้น)ไม่มีความรู้ใดๆ ไม่มีโค้ช ไม่เคยหาข้อมูลใดๆ (- -‘’)
มาดูแผนการวิ่งออกกำลังกายกันบ้าง
สถิติเมื่อ วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2554
· เดิน 5 นาที ระดับความเร็ว 3 - 5.5
· วิ่ง 10 นาที ระดับความเร็ว 6 – 9
· เดิน 5 นาที ระดับความเร็ว 5.5 – 6
· วิ่ง 10 นาที ระดับความเร็ว 6 – 8
· Cool down 3 นาที รวมวิ่งราวๆ 33 นาที ระยะทาง 3 กิโลเมตร
ผลที่ได้ทั้งเจ็บเข่าทั้งเหนื่อยแทบขาดใจ
อันนี้สถิติ วันอังคารที่ 16 ตุลาคม 2555
เดิน 8-10 นาที ระดับความเร็ว 3 - 6.2
วิ่งราวๆ 45 นาที ระดับความเร็ว 6.5 - 9
Cool down 3 นาที
รวมวิ่งราวๆ 59 นาที ระยะทาง 6.2 - 6.6 กิโลเมตร
1 ปีต่อมา (พอดีเป็นคนชอบเขียนไดอะรี่เลยมีสถิติเก่าเก็บไว้และวันที่อย่างชัดเจน) ด้วยวิ่งแล้วเจ็บเข่าก็พยายามหาความรู้มากขึ้น อย่างที่เห็นมีการ Warm Up มากขึ้น
สนามแรกที่ไปวิ่งแบบได้เหรียญงานแรกคืองานวัดเมตตาธรรม กาญจนบุรี ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร จำวันที่ไปวิ่งไม่ได้แต่เป็นปี 2555 จำได้ดีว่างานนี้มีเด็กประถมตัวน้อยๆ วิ่งแซงแล้วแซงอีกจนน่าอนารถใจตัวเอง ปี 55 เป็นงานวิ่งงานเดียวที่ได้ไปงาน แล้วก็เหนื่อยแทบขาดใจเหมือนเดิมแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ “ที่ไกลๆ อย่างนี้ยังมีคนมาวิ่งกันตั้งเยอะตั้งแยะขนาดนี้เชียวหรือ ฉันไปอยู่ไหนมา” อ้อ...อีกเรื่องที่ไม่เคยรู้คือตอนไปสมัครคนเจ้าหน้าที่รับสมัครถามว่าจากชมรมไหนคะ ? ก็ตอบเค้าไปว่าไม่มีค่ะ ว่าแต่ว่าจะสมัครวิ่งต้องมีชมรมด้วยหรือเปล่าคะ เค้าบอกไม่ต้องก็ได้
แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่รู้จักการยืดเหยียดร่างกายอยู่ดี ทุกครั้งที่วิ่งเสร็จจะปวดระบม ก็อดทนอยู่อย่างนั้น จนในที่สุดก็มีรุ่นน้องผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานมาบอกว่าต้องยืดเหยียดทั้งก่อนและหลังออกกำลังกายนะ
ประกอบกับได้เริ่มหาข้อมูลและมีความรู้เรื่องรองเท้าวิ่งและท่าวิ่งต่างๆ จากกูรูที่มาเขียนแชร์ประสบการณ์ตามเพจต่างๆ มากขึ้น ชีวิตการวิ่งเริ่มสนุกขึ้นไม่ค่อยเจ็บเข่าแล้วเพราะไปซื้อรองเท้าใหม่แล้วปรับท่าวิ่งด้วย แต่ก็วิ่งไม่ได้ดีนัก และที่จำได้ดีอีก 1 อย่างคือตอนไป Outing กับที่ทำงาน เค้าให้เขียน Mission แล้วส่ง Post card หาตัวเองว่าอยากทำอะไรให้ได้บ้างในอนาคต ข้อ 1 ที่เขียนไว้คือ อยากวิ่งให้ได้ 10 km. ตอนที่เขียนนั้นเดือน กรกฏาคม ปี 2556 แล้วในปีนี้สนามแรกที่ได้วิ่งคืองาน King of the road 2013 ระยะทางที่ลงคือ 5 km. (08.09.13) เหนื่อยแทบขาดใจอีกเหมือนเดิม แต่...แต่ความบ้ายังไม่หมดเพียงเท่านั้น หลังจากนั้น ดันไปฝันว่าอยากวิ่งกรุงเทพมาราธอนสักครั้งในชีวิต นั่งคิดนอนคิด แบบเครียดๆ ด้วยนะว่าจะทำได้ไม๊ 42.195 km. มันไกลเกินเอื้อมไปนะ สุดท้ายก็ตัดสินใจลง Half Marathon 21 Km. ขนาดว่าสมัครฮาร์ฟไปก็ยังกลัวมาก ว่าจะวิ่งไม่จบ ก็พยายามซ้อมวิ่งงานอื่นๆ อีกเช่น งาน PEA Mini marathon 10.5 Km. งานวิ่งเพื่อเด็กที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ 12 Km.
พอถึงวันไปรับ Bib งาน กรุงเทพมาราธอน ก็เกิดมีความผิดพลาดของผู้จัดงานอีก สมัคร Half แต่ ชื่อ และ Tracking อยู่ที่ Full Marathon ถ้าใครได้ไปรับ Bib งานนี้เองก็จะรู้ว่าการที่จะขอเปลี่ยนมันยุ่งยากวุ่นวายใช้เวลามาก แอบไม่คาดคิดว่างานระดับประเทศที่ใฝ่ฝันจะโกลาหลได้ถึงเพียงนี้ ฝ่าดงม๊อบ ไปรับ Bib อีกต่างหาก ใช้เวลาขอเปลี่ยนหลายชั่วโมง ต่อแถวนี้ แถวโน้นก็ไม่ได้เจอ “คุณน้อยซะที” เอาเถอะนะแต่ก็ผ่านมาได้โดยที่คุณน้อยใช้ปากกาเมจิกขีด 42.195 km. แล้วเขียนเลข 21 แทน (- -“) แต่งานนี้ไม่ได้วิ่งคนเดียวงานนี้มี Buddy วิ่งประกบไปด้วยให้อุ่นใจ ว่ายังไงหากเป็นลมไปก่อนก็จะมีคนช่วยแน่นอน แต่สุดท้ายก็ผ่านพ้นมา Half Marathon มาได้ด้วยระยะเวลา 2.55 Hr. แบบเหนื่อยมากเช่นเดิม แต่งานนี้ได้จุดประกายฝันว่าอยากจะวิ่ง Full Marathon ให้ได้สักครั้ง ถึงเอาโบชัวร์งานยูนิครันนิ่งอยุธยามาราธอนมาแปะหน้าห้อง(น้ำ) แล้วนั่งเพ่งมันทุกวัน แต่น้องผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานท่านเดิมก็บอกว่า รอขยับเป็นงานจอมบึงไม๊ ไกลไปอีกหน่อยจะได้มีเวลาซ้อมขึ้นอีก ก็เอาเป็นว่าตกลง วันที่ 27 พ.ย. 56 ได้ทำการสมัคร Full Marathon 42.915 km. โดยที่ Buddy ส่วนตัวบอกว่างานนี้ขอลงแค่ฮาร์ฟก็พอนะ...เอิ่ม !!! เอาละซิทีนี้ ถ้าฉันเป็นลมตายกลางทางใครจะช่วยดูช่วยหามล่ะ แต่ก็ยังมีหวังว่าจะชวนน้องผู้รู้ท่านเดิมวิ่งประกบด้วย แต่เพราะน้องยังเจ็บเท้าจากงานกรุงเทพฯ มาราธอนอยู่จึงขอลงแค่ Half Marathon อีกเช่นกัน เอาละสิทีนี้ ตายแน่ๆๆๆๆ จบเรื่องของการตัดสินใจและสมัครเป็นที่เรียบร้อยคราวนี้ก็มาถึงการซ้อม ตามตารางที่น้องผู้นั้นหาได้จากเวปต่างๆ แต่การซ้อมก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด แต่ก็มีโอกาศได้ซ้อมยาววิ่ง 30 KM. อยู่หนึ่งครั้ง แบบแทบก้าวขาไม่ออกในกิโลที่ 30 คิดๆๆๆๆๆ ว่าจะไหวไม๊หนอเรา
ตอนช่วงปีใหม่ก็ได้ไปวิ่ง Half Marathon ที่เมืองแกน อ. แม่แตง จ. เชียงใหม่ ถือว่าเป็น Half Marathon ครั้งที่สองของชีวิต ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่เหนื่อยกระอักเลือดเท่าครั้งแรก แต่ด้วยความที่ระยะ Half มีคนลงประมาณ 30 คนได้ ทุกคนวิ่งเก่งๆ กันหมด เราเลยเป็นนักวิ่งที่มีรถพยาบาลกู้ภัยตามตรูดดดดดดด ตลอดเวลา มันช่างเป็นความกดดันเอามากๆ ทีเดียวที่มีรถพยาบาลตามเช่นนี้ แต่ถ้าคิดอีกที หากเราเป็นลมเค้าคงเข้าชาจต์ได้ถึงตัวแบบทันทีทันใด ก็เป็นข้อดีอีกข้อนะ อ้อ...งานนี้มีคนวิ่งประกบด้วย แบบลากเราถูลู่ถูกังตอนวิ่งขึ้นสันเขื่อน
ต่อมาช่วงปีใหม่ก็ประสบอุบัติเหตุล้มหัวเข่าขวากระแทกอีกเข้าใจว่าไม่เป็นอะไร แต่พอวันที่ 5 ม.ค. 57 มาวิ่งงานวิ่งสู่ชีวิตใหม่ 10 KM. กลับเจ็บเข่าที่กระแทกมาก และสุดท้าย DNF ใน กิโลที่ 6 เอาละสิ !!! แล้ว 42.195 ในไม่กี่วันข้างหน้าจะหายทันไม๊ !!!!
ความพยามยังไม่หมดเพียงแค่นั้น วันที่ 12 ม.ค. 57 ก็ไปวิ่งงาน SCG 10 KM. (งานนี้สมัครมานานแล้วถูกเลื่อนไปเลื่อนมา) แต่ก็วิ่งจบนะ 1.20 hr. ทั้งที่ก่อนหน้านั้นหนึ่งสัปดาห์ไม่ได้ซ้อมเลยเพราะเจ็บแผล
และแล้ววันที่ต้องวิ่ง 42.195 KM. ก็มาถึงจนได้ออกจากบ้านที่กรุงเทพฯ ตอน 9.30 น. ไปเรื่อยๆ ถึงหอประชุมเพื่อรับ Bib บ่ายโมงนิดๆ งานนี้ใช้เวลารับ Bib ไม่ถึง 5 นาที ดีสมคำร่ำลือว่าเป็นงานชาวบ้านที่จัดได้ดีไม่แพ้งานระดับประเทศ (ดีกว่ามากๆๆๆๆ) อ้อ...ด้วยความกังวลว่าจะใช้เวลานานมากกว่าจะลากสังขารกลับมาได้เลยได้ถามผู้จัดงานว่างานนี้จำกัดเวลาวิ่งระยะ Full ไม๊ แล้วก็ได้รับคำตอบอย่างรวดเร็วว่าไม่จำกัด พร้อมมีขบวนจักรยานปิดท้าย ก็คาดว่าเป็นคนสุดท้ายเหมือนเดิมนั่นหละ 555 ก็เตรียมตัวเข้านอนตอน 6 โมงเย็นเพื่อจะตื่นตี 2 เพราะปล่อยตัวตี 4 นอนหลับๆ ตื่นๆ ตื่นเต้น กังวล กลัว สารพัดความคิดที่สร้างขึ้นมาเองให้กลัว และนาฬิกาก็ปลุกตอนตี 2 ลุกขึ้นมากินๆๆๆ พร้อมทำธุระส่วนตัว และ Warm Up ในห้องนิดหน่อย แล้วก็วิ่งเบาจากที่พักมาจุดปล่อยตัว เข้าห้องน้ำอีกรอบ ก็ไม่มีอะไรออกมานะ คาดว่าตื่นเต้นนั่นเอง (- -)” พอได้เวลาปล่อยตัวก็ล่ำลากับ Buddy แล้วไปยืนๆ ประจำที่ปล่อยตัว มองซ้ายมองขวา เห็นแต่นักวิ่งหุ่นเก๋าๆ ทั้งนั้นเลย แต่พอเงยหน้ามาเห็นป้ายไฟ คำวา “Marathon” น้ำตาก็เอ่อขึ้นทันที แบบว่านี่ฉันจะวิ่งมาราธอนหรอ??? มันตื้นตัน ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกว่าคนที่วิ่งกระป๋องกระแป๋งอย่างเราจะวิ่งมาราธอนเสียงปล่อยตัวดังขึ้น นักวิ่งคนอื่นๆ ใส่เกียร์กันตามแผนที่เค้าซ้อมไว้ ส่วนเราก็วิ่งไปเรื่อยๆ แต่เท่าที่รู้มาเค้าบอกให้วิ่งช้าๆ ก่อนเพื่ออบอุ่นร่างกาย เราก็วิ่งช้าๆ ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่สามารถจะวิ่งเร็วไปได้มากกว่านี้หรอกนะ ฮ่าๆๆ วิ่งไปเรื่อยๆ คนเดียว บ่อยครั้งที่มีคนทักทายพร้อมถามว่าวิ่งระยะนี้ครั้งแรกหรือเปล่า เราก็ตอบว่าใช่ค่ะ ก็มีการถามต่อว่าแล้วเคยวิ่งฮาฟไม๊ ก็ตอบว่าเคย ก็ถามต่ออีกว่าเวลาเท่าไหร่ เราก็ตอบไป เสียงที่ได้ยินตอบกลับมาว่า โห...แล้วจะวิ่งจบหรอเนี่ย เอ้าๆๆๆ สู้ๆๆ นะ ใจแฟบไปเป็นกอง แต่ไม่ถอดใจนะ วิ่งไปเรื่อยๆ ในแบบของเรา จุดให้น้ำถี่มาก พร้อมมีเสียงเด็กน้อยกองเชียร์ “ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝากหัวใจ” แทบจะทุกจุดเชียร์ก็ว่าได้ น่ารักดีจังเด็กๆ ตัวน้อยๆ ^_^ ใส่เสื้อกันหนาวยื่นมือมาให้แปะ เป็นกำลังใจอย่างดีเยี่ยม วิ่งๆ ไปจำไม่ได้กิโลเมตรที่เท่าไหร่ ได้รับน้ำพระพุทธมนต์สบัดมาให้กำลังใจอีกหนึ่งระลอก ด้วยความที่วิ่งแบบไม่มีแผน และไม่มีโค้ชเลยรับน้ำแทบทุกจุด เป็นอันได้ใช้บริการห้องสุขาเคลื่อนที่ใน กม. 15 ก็วิ่งไปเรื่อยหลายคนวิ่งมาประกบให้กำลังใจ แล้วก็วิ่งจากไป คนแล้วคนเล่า เราก็ยังคงวิ่งในแบบของเราไปเรื่อยๆ เมื่อนักวิ่งท่านอื่นที่กลับตัวกันแล้วสวนกลับมาทุกคนหันมายิ้มให้ ให้กำลังใจ แล้วก็บอกว่าสู้ๆ นะ อีกนิดเดียวจะได้กลับตัวแล้ว เป็นความประทับจากๆ อีกอย่างนอกจากเสียงเชียร์ของน้องๆ พอมาถึงกิโลที่ 25 ได้คุณลุงท่านนึงวิ่งประกบเราไปเกือบ 10 กิโล ต้องขอบคุณ คุณลุงท่านนั้นมากที่ลากเราไปด้วยไม่งั้นเราอาจจะช้ากว่านี้ และเราก็หยุดยืดขาแล้วบอกให้คุณลุงก็วิ่งจากไป เราก็วิ่งเตาะแตะๆ ของเราต่อไปตามสภาพ พอเหลือ 5 กิโลสุดท้ายก็เหนื่อยมากยกขาไม่ค่อยจะขึ้น ก็เลยคิดว่าจะเดินเข้าเส้นชัยเอาแล้วกันนะ เดินไปได้สักพักน้องท่านเดิมก็ขับรถมาดูสภาพ คาดว่าคงจะมาเก็บซากเรากลับนั่นเอง ^^” ซึ่งเราก็โบกมือแล้วบอกว่าไปเถอะขอเดินเข้าเส้นชัยแล้วกันนะ ยังไหวอยู่ไม่ต้องห่วง พอเจอโปรตุ้ม โปรก็บอกว่าเอ้าวิ่งหน่อยขอจะได้ถ่ายรูป วิญญาณบ้ากล้องก็เข้าสิงทันที ขาที่ยกไม่ค่อยไหวกลับยกขึ้นมาได้วิ่งยิ้มสู้กล้อง พอพ้นโค้งก็เห็นเส้นชัยพร้อมเสียงดนตรีสนุกๆ เชียร์ รออยู่ ก่อนเข้าเส้นชัยมีพี่สาวนักวิ่งจากชมรมไหนก็ไม่แน่ใจเอาพวกมาลัยมาคล้องคอให้แล้วบอกว่าเก่งมา เราก็ไหว้แล้วขอบคุณสำหรับมิตรภาพดี แล้วก็วิ่งต่อไปเข้าเส้นชัยด้วยดาการมึนๆ งงๆ พอเห็นBuddy เท่านั้นหละโผเข้ากอดคอเค้าแล้วร้องให้โฮเลย สะอึกสะอึ้นตื้นตันแบบบอกไม่ถูกว่ามันจบแล้ว ฉันทำได้แล้ว ไปรับเหรียญ พร้อมเสื้อ “Finisher” ที่ไฝ่ฝัน แบบไม่ต้องมีรถพยาบาลตามเก็บ มีความสุขแบบที่ไม่คาดฝันว่าคนขี้โรค ไม่เคยออกกำลังกายอย่างเราจะทำได้ด้วยเวลา 6.15 hr. ชนะคนอื่นไปตั้งเกือบ 100 คนแน๊ะ^^