ลืมตาตื่นขึ้นมาทุกเช้าก็ราวกับมีเชือกมามัดไว้ระหว่างคน2คนตลอดเวลา เข้าห้องน้ำแปรงฟันด้วยแปรงอันเดียว อาบน้ำพร้อมกันด้วยฝักบัวอันเดียวกัน แต่งตัวเหมือนกันยันถุงเท้าที่ดึงยืดเท่ากัน กินข้าวจานเดียวกันช้อนส้อมคู่เดียวกัน ไปเรียนพร้อมกันเรียนห้องเดียวกัน นั่งที่เดียวกัน มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ที่ตัวฉันรู้ว่าฉันชื่อวีคและรู้ว่าพี่ชายแฝดชื่อยัค ฉันกับยัคต้องไปไหนมาไหนทำอะไรเหมือนกันตลอดทุกอย่าง ถึงเราเป็นฝาแฝดกันมันก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องใช้อะไรด้วยกันและเหมือนกันซะหมดทุกอย่างหนิ เมื่อถึงโต๊ะอาหารทุกครั้งผมจะถามพ่อแม่ตั้งแต่ตอนเด็กด้วยความสงสัยว่า......
"ทำไมผมต้องอยู่กับพี่ชายตลอดและทำอะไรก็ต้องเหมือนกันตลอดเลยครับแม่ ผมไม่เข้าใจ"
แม่ตอบฉันด้วยคำตอบเดิมๆว่า......
"เพราะว่าแม่และพ่อรักลูกทั้ง2คนมากๆหน่ะสิ ลูกควรอยู่ด้วยกันตลอดเพราะมีเรื่องอะไรจะได้ช่วยกันแก้ปันหาได้นะ แม่อยากให้ลูกทั้ง2รักกันแนบแน่นมากกว่าพี่น้องคนอื่นๆทั่วๆไปและแม่คิดว่าลูกควรเลิกถามคำถามนี้ได้แล้วนะ เพราะแม่ได้บอกลูกไปเป็นร้อยๆรอบแล้ว พ่อก็คงไม่ชอบที่ลูกพูดแต่เรื่องเดิมๆไม่พูดเรื่องอื่นๆที่ลูกได้ไปเรียนรู้มาใหม่มั้ง ลูกรู้แค่ว่าพ่อกับแม่หวังดีกับลูกเสมอและรักลูกเหนือสิ่งอื่นใดและเมื่อโตขึ้นลูกจะรู้ว่าพ่อกับแม่ได้ให้สิ่งที่วิเศษแก่ลูก ที่พี่น้องคนไหนก็ไม่มี"
จนฉันอายุ15ปีก็น่าจะเรียกได้ว่าฉันโตแล้วนะ แต่ฉันกลับไม่เห็นความมหัศจรรย์อะไรแม้แต่น้อย ที่แม่พูดอาจจะหมายถึงความมหัศจรรย์สำหรับ"ยัค"พี่ชายของฉันมากกว่า
ตอนอยู่ในโรงเรียนระดับหอคอยงาช้าง ยัคก็จะเอาตามใจตัวเองหมดไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ฉันไม่มีสิทธิแม้แต่การออกความเห็น ในตอนกินข้าวยัคก็ใช้เงินฉันซื้อเสมอ หลายครั้งยัคจะเลือกกินข้าวมันไก่และเสิร์ฟแตงกวาชิ้นโตเข้าปากฉัน ทำฉันอ้วกทุกครั้งในช่วงแรกเพราะฉันเกลียดผักที่มีกลิ่นแรงทุกชนิดมาก จนฉันเริ่มชินกับแตงกวา ยัคก็เปลี่ยนเมนูเป็นข้าวผัดอเมริกันเพิ่มเนื้อมะเขือเทศกับน้ำมะเขือเทศปั่นอีก หลังกินข้าวเสร็จฉันก็อยากมีเพื่อนๆในห้องที่ฉันอยากรู้จักหลายคน แต่ยัคก็จะล่ามโซ่ข่มขู่ฉันไปห้องสมุดกับเขาเสมอ ไปนั่งอ่านนิยายเล่มเดิมของเขาเสมอที่อ่านจบไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ นิยายเล่มนั้นเป็นนิยายที่บรรณารักษ์ห้องสมุดแนะนำตั้งแต่วันแรกที่เราทั้ง2ได้เข้าห้องสมุด ในห้องสมุดมักเปิดเพลงบรรเลงเดิมๆเสมอ ซึ่งก็ทำให้ฉันเคลิ้มหลับทุกครั้งจนไม่ได้สนใจนิยายเล่มนั้นที่ยัคอ่านเลยซักนิด เมื่อมีการบ้านยัคก็จะบังคับกดดันให้ฉันทำคนเดียวตลอดไม่ว่าจะเยอะแค่ไหน ฉันอดทนการกดขี่เอาเปรียบจากยัคทุกรูปแบบ เพราะเลือกไม่ได้ที่จะไม่ทำ เพราะเราต้องไปไหนมาไหนทำอะไรเหมือนกันด้วยกันเสมอแม้แต่จังหวะหายใจ
หลังจากเลิกเรียนลุงยศก็จะขับรถมารับเราทั้งคู่ไปกินขนมดูทีวีที่บ้านแกเสมอ ช่องสารคดีสัตว์โลกช่องเดิมทุกครั้ง บ้านแกอยู่ถัดจากเราไม่กี่หลัง แกเหมือนพ่อคนที่2ของเราเป็นคนสำคัญคนหนึ่ง เพราะถึงฐานะบ้านเรารวยและหลังใหญ่แต่ไม่มีทีวีและอินเตอร์เน็ตเลย พ่อแม่ไม่อยากให้เราทั้งคู่เหมือนเด็กคนอื่นที่เอาแต่เล่นไร้สาระไปวันๆ บ้านลุงยศเลยเป็นเหมือนสถานบันเทิงอารมณ์แห่งเดียวที่เรามี เมื่อลุงยศส่งเราทั้งคู่ถึงบ้าน พ่อแม่ก็เตรียมอาหารเย็นรอเรา หลังทานอาหารเย็นอาบน้ำเสร็จ พ่อและแม่จะเปิดเพลงบรรเลงเพลงเดิมที่คุ้นเคยลั่นบ้านเพื่อกล่อมฉันนอน สำหรับฉันมันเหมือนยานอนหลับชนิดเสียงดีๆนี่เอง ที่เมื่อขาดมันฉันจะรู้สึกอึดอัดนอนไม่หลับ ซึ่งมันเป็นสิ่งเดียวที่ฉันกับยัคจะแตกต่างกัน เพราะยัคจะไม่ง่วงและไม่ยอมนอนแต่จะอ่านนิยายเล่มเดิมจนดึกดื่นเสมอ
ชีวิตเราทั้งคู่วนเวียนเช่นนี้มาตลอดจนถึงวันนี้ ขณะพักเที่ยงยัคดิ่งตรงไปที่ห้องสมุดเช่นเคย แต่ในกระเป๋ายัคกลับไม่มีนิยายเล่มเดิมที่ยัคติดงอมแงม ยัคท่าทางทำอะไรไม่ถูกเมื่อนิยายเล่มนั้นหายไป เหมือนวงจรชีวิตที่คุ้นเคยเป็นเข็มนาฬิกาที่ติดขัดแล้วกระตุกๆอยุ่อย่างนั้น เข็มกระตุกเช่นนี้ไป1-2อาทิตย์ ยัคถึงหยุดหานิยายเล่มนั้นแล้วก็หยุดนิ่งตามเข็มนาฬิกา เปลี่ยนจากนิยายเล่มนั้นเป็นเขียนสมุดไดอารี่เล่มใหม่ในเวลาก่อนนอนทุกคืนแทน มันเป็นวันที่ฉันเข้าใจว่าอิสรภาพเป็นเช่นไร ฉันกลับกลายเป็นคนชี้ชะตาหรือเลือกชีวิตของเรา2ทั้งคู่ มันเปลี่ยนไปหมดทุกอย่าง ฉันมีอิสระ ฉันเริ่มมีเพื่อนๆที่รู้จักในห้อง ฉันกินอาหารจานเส้นทุกมื้อในแบบที่ฉันชอบ พักเที่ยงฉันก็ไปเตะบอลหรือเล่นบาสกับเพื่อน หลังเลิกเรียนก็หนีจากลุงยศที่ปกติจะมารับกลับบ้านไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆต่อ แต่ถึงจะเป็นยังงั้นเรา2พี่น้องก็ยังอยู่ด้วยกันตลอดทุกที่ไม่ว่าฉันจะเลือกทำอะไร ชีวิตฉันเริ่มมีความสุขอิสระแล้วชีวิตยัคล่ะ? ยัคจะรู้สึกยังไงบ้าง? แต่ฉันไม่เคยบังคับกดขี่ยัคเหมือนตอนมันทำกับฉันนะ แต่อยู่ดีๆยัคก็นิ่งเงียบไปเองซะงั้น ยัคเป็นแบบนี้จนผ่านไปหลายปี จนเราทั้งคู่เข้าเรียนมหาลัย
ตั้งแต่เข้ามหาลัยไม่นานนัก เราทั้งคู่เริ่มรู้สึกพักผ่อนไม่เพียงพอ สงสัยจะเพราะชีวิตวัยรุ่นที่เผาผลาญพลังงานมหาศาลและแสนจะสนุกสนาน กับโลกกว้าง จากการพักผ่อนไม่เพียงพอฉันต้องแอบหลับในชั่วโมงเรียนกับยัคเสมอ อะไรจะสันดานขนาดนั้น ตั้งแต่ก้าวเข้ารั้วมหาลัยยัคเริ่มมีส่วนร่วมมากขึ้นในชีวิตของเรา หลังจากที่ปกติฉันจะเป็นคนเลือกทำแทบทุกอย่าง ยัคเปลี่ยนไปจากตอนมอต้นกับมอปลายอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่ที่นิยายเล่มนั้นหาย ยัคเริ่มพูดคุยกับฉันดีๆจากที่เมื่อก่อนไม่เคยพูดดีด้วยเลย ยัคอาสาเป็นผู้ช่วยแม่ในการทำอาหาร โดยแนะนำร้านสุกี้ร้านหนึ่งและจะขี่จักรยานไปซื้อของมาช่วยกันทำอาหารเย็นกับพ่อและแม่บ่อยๆ ร้านสุกี้ร้านนั้นทำให้ฉันเจอ"โรส" ฉันกับยัคไปซื้อวัตถุดิบในการทำอาหารเย็นที่ร้านของเทอแทบทุกวัน จนฉันกับเทอสนิทกันและชอบกัน โดยยัคได้จะคอยสนับสนุนอยู่ห่างๆ ผมเลยขอโรสคบเป็นแฟน เรามีนิสัยค่อนข้างคล้ายๆกัน ชอบอะไรคล้ายๆกัน เหมือนเทพเจ้าโปรยกุหลาบให้เทอมาเจอฉัน เรามักมาเจอกันหลังเลิกเรียนไปเที่ยวด้วยกัน3คน มีเรื่องต่างๆมาเล่ามาปรึกษากัน พ่อแม่และลุงยศและยัคต่างยินดีกับเราทั้ง2ที่รักกันดีเพราะเราแทบไม่เคยทะเลาะกันเลย พ่อแม่และลุงยศต่างเข้าใจและสนับสนุนเราทั้งคู่ดี เทออายุมากกว่าฉัน4ปี แต่ตัวเลขไม่ใช่อุปสรรคของเราเลย สิ่งเดียวที่เป็นอุปสรรคคือเจ้าชีวิตของฝ่ายโรสคือแม่เทอนั่นเอง เทอเป็นครูที่ปรึกษาของผม ท่านยังไม่รู้เรื่องของเราทั้งคู่หรอก แต่โรสรู้ว่าแม่เทอยังไม่ยอมให้เทอมีความรักในวัยนี้ เพราะแม่เทอมองว่ามันเป็นความใคร่มากกว่าความรัก ในวัยที่อ่อนต่อโลกเช่นนี้ แม่เทอจึงคัดหนุ่มๆมารอเทอหลายต่อหลายคน แต่โรสรับไม่ได้ที่จะให้เป็นเช่นนี้ เราจึงต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับไม่ให้ใครรู้เด็ดขาดแม้แต่เพื่อนสนิท พ่อแม่และลุงยศต่างอุบปากเงียบกริบ กลัวอำนาจของลมจะพัดพาเรื่องราวของเราไประคายหูแม่ของเทอได้
วันนี้ก็เช่นเคยที่เราเที่ยวด้วยกันจนดึกดื่น ฉันคืนลูกสาวแสนรักให้คุณครูเกินเวลากลับบ้านไปไม่น้อย ท่านคงจะเป็นห่วงมากทีเดียว เมื่อผมกับยัคถึงบ้านพ่อแม่เราก็ต่อว่าเรายกใหญ่ด้วยความเป็นห่วงอย่างเป็นวาระพิเศษ เพราะช่วงนี้มีคนโดนฆาตกรรมตายในระแวกนี้เยอะมากโดยเฉพาะผู้หญิงเสร็จไปแล้ว5ศพ ซึ่งท่านก็อดเป็นห่วงเราไม่ได้อยู่ดีถึงเราทั้งคู่จะเป็นลูกชาย ด้วยความเหนื่อยล้าแต่ยัคก็คงยังไม่ยอมนอน นั่งเขียนไดอารี่เป็นปกติวิสัย ฉันเลยต้องพึ่งเพลงบรรเลงอันไพเราะของแม่หลับฝันดีไปอีกคืน
วันนี้เป็นวันศุกร์ช่างเป็นวันที่แสนสุขจริงๆเพราะใกล้วันเสาร์แล้วอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้!! แต่มันก็เป็นวันที่แสนแปลกที่สุดเช่นกัน เพราะวันนี้คุนแม่ของโรสหรือคุนครูที่ปรึกษาของฉัน ได้นัดฉันกับยัคไปทานข้าวในวันเสาร์พรุ่งนี้ตอนเที่ยงตรง เทอทำสายตาที่ดูอาการออกแต่ก็ฟอร์มเก็บอาการไว้ เทอพูดคุยชักชวนเราโดยใช้คำพูดเป็นนัยๆไม่พูดออกมาตรงๆ ผมกับพี่ก็ไม่ได้เด็กดีในสายตาแกเท่าไหร่นัก มักโดดเรียนหรือแอบหลับในวิชาแกบ่อยที่สุดด้วยซ้ำ มันคงมีไม่กี่เหตุผลที่ครูนัดฉันไปทานข้าวเที่ยงที่บ้าน เพราะเมื่อวานโรสกลับดึกจากการไปเที่ยวกันกับเรา แม่เทอคงคาดคั้นฟันศอกจนโรสยอมปริปาก ซึ่งก็ต้องไปตามที่แกนัดรับสภาพที่จะเกิด เพราะฉันได้ลิ้มชิมสวาทลูกสาวเทอไปแล้ว เป็นจันยาบรรณความรับผิดชอบที่เลี่ยงไม่ได้ ฉันก็ซ้อมพูดสนทนากับยัคเพื่อเตรียมคำพูดสวยๆเหตุผลดีๆ เพื่อที่จะยืดอายุความเป็นแฟนของเราให้อยุ่ต่อไปได้โดยไม่มีท่อนซุงจากแม่เทอมาขวางกั้น ครอบครัวเทอไม่ปลื้มฉันกับพี่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วซะด้วยสิ
เมื่อเวลานัดมาถึง ฉันกับพี่ฉีดน้ำหอมใส่สูตรรูดซิปให้เนี๊ยบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปรึกษาพ่อแม่ก่อนไปตะลุยศึกหนัก ออกจากบ้านแบกอารมณ์ตื่นเต้นกังวลซีเรียสมันหนักจนขาสั่นไปหมด บ้านของเทอถัดจากบ้านฉันไประยะทางประมาณ2-3พันหลังคาบ้านได้ ฉันนั่งรถเมล์ลงหน้าซอยบ้านเทอ แวะซื้อสตอเบอรี่ปั่นของโปรดไปฝากเทอ ต่อมอไซร์ถึงหน้าบ้านเทอตรงเวลานัดเป๊ะ ฉันนั่งที่พื้นซ้อมพูดกับยัคที่ริมรั้วหน้าบ้านเทอก่อนจะเข้าไปเผชิญกับความจริงที่โหดร้าย แถวนั้นลมเย็นๆและมีเสียงเพลงบรรเลงผ่านหูมาทำให้ฉันเคลิ้มเผลอหลับไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ลุงยศแกผ่านมาแถวนั้นพอดี เห็นเลยปลุกฉันให้ตื่นมาก็บ่ายกว่าๆจะเย็นแล้ว ยัคก็บอกว่าตนเผลอหลับไปเช่นกัน ตายล่ะสิผิดนัดแม่เทอไปตั้งหลายชั่วโมง แม่เทอคงคิดว่าฉันไม่กล้ามาพบแน่ๆ ฉันสวมบทให้ลุงยศเป็นผู้ใหญ่กันกระแทกจากแรงกดดันจากแม่กับป้าของโรส ลุงยศก็ทำหน้างงๆแต่ลุงก็รับปากจะช่วย ฉันกับยัคเดินไปกดออด แต่ก็ไม่มีใครเปิด แกคงโกดจนไม่เปิดประตูให้เข้าแน่ๆ ลุงยศลองบิดประตูดู แต่ประตูไม่ได้ล็อค
ภาพที่เห็นข้างในบ้านทำให้เราต้องแจ้งตำรวจเรียกรถพยาบาลทันที คือโรสนอนหมดสติน้ำลายฟูปากในห้องครัว ข้างๆมีศพน้าสาวเทอนอนคว้ำอีโต้ปักแหวกกระโหลกลึกลงไปครึ่งด้าม ในห้องน้ำมีศพแม่ของเทอนอนสลบอยู่สันนิษฐานได่ว่าโดนของแข็งตีที่หัวจนกระโหลกร้าวหลายทีแล้วจับกดน้ำชักโครกขาดใจตาย ในห้องนอนพบน้องสาวเทอนอนหลับอยู่บนเตียง เดินเข้าไปปลุกกลับพบว่าน้องเทอตายแล้ว ในท้องตรวจพบน้ำยาล้างห้องน้ำและยานอนหลับชนิดรุนแรง ฉันทนกลั้นอารมณ์กลั้นน้ำตาไม่ไหวกับเหตุการณ์ตรงหน้าจึงชิงกลับบ้านกับยัคก่อน
ไม่นานเสียงร้องไห้ของแม่ทะลุกำแพงห้องฉันมา ฉันเล่าเรื่องราวต่างๆให้พ่อกับแม่ฟัง พ่อและแม่พยายามพูดให้ฉันรู้สึกดีกับเรื่องนี้และตกท้ายด้วยประโยคที่ตบหัวลูบหลังฉันอย่างจัง......
"ลูก ตะกี้ลุงยศโทรมาบอกแม่ว่า โรสอยู่โรงพยาบาลพ้นขีดอันตรายแล้วนะ แต่ตำรวจกล่าวหาว่าลูกเป็นผู้ต้องหาหลักในคดี ในฐานะที่เป็นผู้พบศพคนแรกและตำรวจอ้างว่าพบน้ำสตอเบอรี่ปั่นที่ลูกซื้อมามีสารไซยาไน้และยานอนหลับอยู่ที่โรสกินเข้าไป แต่ลูกไม่ต้องกังวลนะเพราะถ้าลูกบริสุทธิ์จริงถึงยังไงรอโรสฟื้นแล้วเป็นพยานให้ลูกได้ อย่ากังวลไปเลยนะลูก"
พอได้ยินเช่นนั้นฉันจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนแล้วพุ่งตรงไปยังไดอารี่ของยัค แต่ยัคดูไม่ร้อนรนอะไรเลย สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสมุดบันทึกคือเลข
ปริศนา 00 11 22 33 44 55 66 77 88 99 แต่ล่ะตัวเลขมีการเขียนรายละเอียดต่อท้ายไว้มากมายแก้ไขเพิ่มเติมยุ่งเหยิงไปหมด จับใจความได้ว่า เลขเหล่านี้คืออายุของคนตายที่โดนฆาตกรรมในข่าว2-3เดือนที่ผ่านมานี้.......44คือแม่ของโรส 33คือน้าสาวของโรส 22คือโรส 11คือน้องสาวของโรส แล้วเลข00มันคืออะไรกัน ทั้งหมดมันเหมือนเป็นพิธีกรรมอะไรบางอย่าง ฉันเค้นถามยัคด้วยความโกดและมึนงงว่า.....
"พี่ทำไปทำไม? เพื่ออะไรกัน?"
แต่ยัคกลับนิ่งเงียบไม่ยอมตอบคำถาม แต่กลับสารภาพผิดและสำนึกในสิ่งที่ทำมา ที่ทำให้ฉันมาเดือดร้อนด้วย โดยที่จริงๆไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้เลย พร้อมคุกเข่าร้องไห้ขอโทดฉันอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน เมื่อฉันเห็นเช่นนั้นฉันก็หมดอารมณ์ที่จะโวยวายด่าทอติเตียนต่อและไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดีกับเรื่องนี้ เพราะหลักฐานมันมัดตัวฉันจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ ได้แต่ภาวนาให้โรสอย่าได้จำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้เลยคือความหวังสุดท้ายของฉัน....
พี่ชายของฉัน...
"ทำไมผมต้องอยู่กับพี่ชายตลอดและทำอะไรก็ต้องเหมือนกันตลอดเลยครับแม่ ผมไม่เข้าใจ"
แม่ตอบฉันด้วยคำตอบเดิมๆว่า......
"เพราะว่าแม่และพ่อรักลูกทั้ง2คนมากๆหน่ะสิ ลูกควรอยู่ด้วยกันตลอดเพราะมีเรื่องอะไรจะได้ช่วยกันแก้ปันหาได้นะ แม่อยากให้ลูกทั้ง2รักกันแนบแน่นมากกว่าพี่น้องคนอื่นๆทั่วๆไปและแม่คิดว่าลูกควรเลิกถามคำถามนี้ได้แล้วนะ เพราะแม่ได้บอกลูกไปเป็นร้อยๆรอบแล้ว พ่อก็คงไม่ชอบที่ลูกพูดแต่เรื่องเดิมๆไม่พูดเรื่องอื่นๆที่ลูกได้ไปเรียนรู้มาใหม่มั้ง ลูกรู้แค่ว่าพ่อกับแม่หวังดีกับลูกเสมอและรักลูกเหนือสิ่งอื่นใดและเมื่อโตขึ้นลูกจะรู้ว่าพ่อกับแม่ได้ให้สิ่งที่วิเศษแก่ลูก ที่พี่น้องคนไหนก็ไม่มี"
จนฉันอายุ15ปีก็น่าจะเรียกได้ว่าฉันโตแล้วนะ แต่ฉันกลับไม่เห็นความมหัศจรรย์อะไรแม้แต่น้อย ที่แม่พูดอาจจะหมายถึงความมหัศจรรย์สำหรับ"ยัค"พี่ชายของฉันมากกว่า
ตอนอยู่ในโรงเรียนระดับหอคอยงาช้าง ยัคก็จะเอาตามใจตัวเองหมดไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ฉันไม่มีสิทธิแม้แต่การออกความเห็น ในตอนกินข้าวยัคก็ใช้เงินฉันซื้อเสมอ หลายครั้งยัคจะเลือกกินข้าวมันไก่และเสิร์ฟแตงกวาชิ้นโตเข้าปากฉัน ทำฉันอ้วกทุกครั้งในช่วงแรกเพราะฉันเกลียดผักที่มีกลิ่นแรงทุกชนิดมาก จนฉันเริ่มชินกับแตงกวา ยัคก็เปลี่ยนเมนูเป็นข้าวผัดอเมริกันเพิ่มเนื้อมะเขือเทศกับน้ำมะเขือเทศปั่นอีก หลังกินข้าวเสร็จฉันก็อยากมีเพื่อนๆในห้องที่ฉันอยากรู้จักหลายคน แต่ยัคก็จะล่ามโซ่ข่มขู่ฉันไปห้องสมุดกับเขาเสมอ ไปนั่งอ่านนิยายเล่มเดิมของเขาเสมอที่อ่านจบไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ นิยายเล่มนั้นเป็นนิยายที่บรรณารักษ์ห้องสมุดแนะนำตั้งแต่วันแรกที่เราทั้ง2ได้เข้าห้องสมุด ในห้องสมุดมักเปิดเพลงบรรเลงเดิมๆเสมอ ซึ่งก็ทำให้ฉันเคลิ้มหลับทุกครั้งจนไม่ได้สนใจนิยายเล่มนั้นที่ยัคอ่านเลยซักนิด เมื่อมีการบ้านยัคก็จะบังคับกดดันให้ฉันทำคนเดียวตลอดไม่ว่าจะเยอะแค่ไหน ฉันอดทนการกดขี่เอาเปรียบจากยัคทุกรูปแบบ เพราะเลือกไม่ได้ที่จะไม่ทำ เพราะเราต้องไปไหนมาไหนทำอะไรเหมือนกันด้วยกันเสมอแม้แต่จังหวะหายใจ
หลังจากเลิกเรียนลุงยศก็จะขับรถมารับเราทั้งคู่ไปกินขนมดูทีวีที่บ้านแกเสมอ ช่องสารคดีสัตว์โลกช่องเดิมทุกครั้ง บ้านแกอยู่ถัดจากเราไม่กี่หลัง แกเหมือนพ่อคนที่2ของเราเป็นคนสำคัญคนหนึ่ง เพราะถึงฐานะบ้านเรารวยและหลังใหญ่แต่ไม่มีทีวีและอินเตอร์เน็ตเลย พ่อแม่ไม่อยากให้เราทั้งคู่เหมือนเด็กคนอื่นที่เอาแต่เล่นไร้สาระไปวันๆ บ้านลุงยศเลยเป็นเหมือนสถานบันเทิงอารมณ์แห่งเดียวที่เรามี เมื่อลุงยศส่งเราทั้งคู่ถึงบ้าน พ่อแม่ก็เตรียมอาหารเย็นรอเรา หลังทานอาหารเย็นอาบน้ำเสร็จ พ่อและแม่จะเปิดเพลงบรรเลงเพลงเดิมที่คุ้นเคยลั่นบ้านเพื่อกล่อมฉันนอน สำหรับฉันมันเหมือนยานอนหลับชนิดเสียงดีๆนี่เอง ที่เมื่อขาดมันฉันจะรู้สึกอึดอัดนอนไม่หลับ ซึ่งมันเป็นสิ่งเดียวที่ฉันกับยัคจะแตกต่างกัน เพราะยัคจะไม่ง่วงและไม่ยอมนอนแต่จะอ่านนิยายเล่มเดิมจนดึกดื่นเสมอ
ชีวิตเราทั้งคู่วนเวียนเช่นนี้มาตลอดจนถึงวันนี้ ขณะพักเที่ยงยัคดิ่งตรงไปที่ห้องสมุดเช่นเคย แต่ในกระเป๋ายัคกลับไม่มีนิยายเล่มเดิมที่ยัคติดงอมแงม ยัคท่าทางทำอะไรไม่ถูกเมื่อนิยายเล่มนั้นหายไป เหมือนวงจรชีวิตที่คุ้นเคยเป็นเข็มนาฬิกาที่ติดขัดแล้วกระตุกๆอยุ่อย่างนั้น เข็มกระตุกเช่นนี้ไป1-2อาทิตย์ ยัคถึงหยุดหานิยายเล่มนั้นแล้วก็หยุดนิ่งตามเข็มนาฬิกา เปลี่ยนจากนิยายเล่มนั้นเป็นเขียนสมุดไดอารี่เล่มใหม่ในเวลาก่อนนอนทุกคืนแทน มันเป็นวันที่ฉันเข้าใจว่าอิสรภาพเป็นเช่นไร ฉันกลับกลายเป็นคนชี้ชะตาหรือเลือกชีวิตของเรา2ทั้งคู่ มันเปลี่ยนไปหมดทุกอย่าง ฉันมีอิสระ ฉันเริ่มมีเพื่อนๆที่รู้จักในห้อง ฉันกินอาหารจานเส้นทุกมื้อในแบบที่ฉันชอบ พักเที่ยงฉันก็ไปเตะบอลหรือเล่นบาสกับเพื่อน หลังเลิกเรียนก็หนีจากลุงยศที่ปกติจะมารับกลับบ้านไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆต่อ แต่ถึงจะเป็นยังงั้นเรา2พี่น้องก็ยังอยู่ด้วยกันตลอดทุกที่ไม่ว่าฉันจะเลือกทำอะไร ชีวิตฉันเริ่มมีความสุขอิสระแล้วชีวิตยัคล่ะ? ยัคจะรู้สึกยังไงบ้าง? แต่ฉันไม่เคยบังคับกดขี่ยัคเหมือนตอนมันทำกับฉันนะ แต่อยู่ดีๆยัคก็นิ่งเงียบไปเองซะงั้น ยัคเป็นแบบนี้จนผ่านไปหลายปี จนเราทั้งคู่เข้าเรียนมหาลัย
ตั้งแต่เข้ามหาลัยไม่นานนัก เราทั้งคู่เริ่มรู้สึกพักผ่อนไม่เพียงพอ สงสัยจะเพราะชีวิตวัยรุ่นที่เผาผลาญพลังงานมหาศาลและแสนจะสนุกสนาน กับโลกกว้าง จากการพักผ่อนไม่เพียงพอฉันต้องแอบหลับในชั่วโมงเรียนกับยัคเสมอ อะไรจะสันดานขนาดนั้น ตั้งแต่ก้าวเข้ารั้วมหาลัยยัคเริ่มมีส่วนร่วมมากขึ้นในชีวิตของเรา หลังจากที่ปกติฉันจะเป็นคนเลือกทำแทบทุกอย่าง ยัคเปลี่ยนไปจากตอนมอต้นกับมอปลายอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่ที่นิยายเล่มนั้นหาย ยัคเริ่มพูดคุยกับฉันดีๆจากที่เมื่อก่อนไม่เคยพูดดีด้วยเลย ยัคอาสาเป็นผู้ช่วยแม่ในการทำอาหาร โดยแนะนำร้านสุกี้ร้านหนึ่งและจะขี่จักรยานไปซื้อของมาช่วยกันทำอาหารเย็นกับพ่อและแม่บ่อยๆ ร้านสุกี้ร้านนั้นทำให้ฉันเจอ"โรส" ฉันกับยัคไปซื้อวัตถุดิบในการทำอาหารเย็นที่ร้านของเทอแทบทุกวัน จนฉันกับเทอสนิทกันและชอบกัน โดยยัคได้จะคอยสนับสนุนอยู่ห่างๆ ผมเลยขอโรสคบเป็นแฟน เรามีนิสัยค่อนข้างคล้ายๆกัน ชอบอะไรคล้ายๆกัน เหมือนเทพเจ้าโปรยกุหลาบให้เทอมาเจอฉัน เรามักมาเจอกันหลังเลิกเรียนไปเที่ยวด้วยกัน3คน มีเรื่องต่างๆมาเล่ามาปรึกษากัน พ่อแม่และลุงยศและยัคต่างยินดีกับเราทั้ง2ที่รักกันดีเพราะเราแทบไม่เคยทะเลาะกันเลย พ่อแม่และลุงยศต่างเข้าใจและสนับสนุนเราทั้งคู่ดี เทออายุมากกว่าฉัน4ปี แต่ตัวเลขไม่ใช่อุปสรรคของเราเลย สิ่งเดียวที่เป็นอุปสรรคคือเจ้าชีวิตของฝ่ายโรสคือแม่เทอนั่นเอง เทอเป็นครูที่ปรึกษาของผม ท่านยังไม่รู้เรื่องของเราทั้งคู่หรอก แต่โรสรู้ว่าแม่เทอยังไม่ยอมให้เทอมีความรักในวัยนี้ เพราะแม่เทอมองว่ามันเป็นความใคร่มากกว่าความรัก ในวัยที่อ่อนต่อโลกเช่นนี้ แม่เทอจึงคัดหนุ่มๆมารอเทอหลายต่อหลายคน แต่โรสรับไม่ได้ที่จะให้เป็นเช่นนี้ เราจึงต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับไม่ให้ใครรู้เด็ดขาดแม้แต่เพื่อนสนิท พ่อแม่และลุงยศต่างอุบปากเงียบกริบ กลัวอำนาจของลมจะพัดพาเรื่องราวของเราไประคายหูแม่ของเทอได้
วันนี้ก็เช่นเคยที่เราเที่ยวด้วยกันจนดึกดื่น ฉันคืนลูกสาวแสนรักให้คุณครูเกินเวลากลับบ้านไปไม่น้อย ท่านคงจะเป็นห่วงมากทีเดียว เมื่อผมกับยัคถึงบ้านพ่อแม่เราก็ต่อว่าเรายกใหญ่ด้วยความเป็นห่วงอย่างเป็นวาระพิเศษ เพราะช่วงนี้มีคนโดนฆาตกรรมตายในระแวกนี้เยอะมากโดยเฉพาะผู้หญิงเสร็จไปแล้ว5ศพ ซึ่งท่านก็อดเป็นห่วงเราไม่ได้อยู่ดีถึงเราทั้งคู่จะเป็นลูกชาย ด้วยความเหนื่อยล้าแต่ยัคก็คงยังไม่ยอมนอน นั่งเขียนไดอารี่เป็นปกติวิสัย ฉันเลยต้องพึ่งเพลงบรรเลงอันไพเราะของแม่หลับฝันดีไปอีกคืน
วันนี้เป็นวันศุกร์ช่างเป็นวันที่แสนสุขจริงๆเพราะใกล้วันเสาร์แล้วอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้!! แต่มันก็เป็นวันที่แสนแปลกที่สุดเช่นกัน เพราะวันนี้คุนแม่ของโรสหรือคุนครูที่ปรึกษาของฉัน ได้นัดฉันกับยัคไปทานข้าวในวันเสาร์พรุ่งนี้ตอนเที่ยงตรง เทอทำสายตาที่ดูอาการออกแต่ก็ฟอร์มเก็บอาการไว้ เทอพูดคุยชักชวนเราโดยใช้คำพูดเป็นนัยๆไม่พูดออกมาตรงๆ ผมกับพี่ก็ไม่ได้เด็กดีในสายตาแกเท่าไหร่นัก มักโดดเรียนหรือแอบหลับในวิชาแกบ่อยที่สุดด้วยซ้ำ มันคงมีไม่กี่เหตุผลที่ครูนัดฉันไปทานข้าวเที่ยงที่บ้าน เพราะเมื่อวานโรสกลับดึกจากการไปเที่ยวกันกับเรา แม่เทอคงคาดคั้นฟันศอกจนโรสยอมปริปาก ซึ่งก็ต้องไปตามที่แกนัดรับสภาพที่จะเกิด เพราะฉันได้ลิ้มชิมสวาทลูกสาวเทอไปแล้ว เป็นจันยาบรรณความรับผิดชอบที่เลี่ยงไม่ได้ ฉันก็ซ้อมพูดสนทนากับยัคเพื่อเตรียมคำพูดสวยๆเหตุผลดีๆ เพื่อที่จะยืดอายุความเป็นแฟนของเราให้อยุ่ต่อไปได้โดยไม่มีท่อนซุงจากแม่เทอมาขวางกั้น ครอบครัวเทอไม่ปลื้มฉันกับพี่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วซะด้วยสิ
เมื่อเวลานัดมาถึง ฉันกับพี่ฉีดน้ำหอมใส่สูตรรูดซิปให้เนี๊ยบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปรึกษาพ่อแม่ก่อนไปตะลุยศึกหนัก ออกจากบ้านแบกอารมณ์ตื่นเต้นกังวลซีเรียสมันหนักจนขาสั่นไปหมด บ้านของเทอถัดจากบ้านฉันไประยะทางประมาณ2-3พันหลังคาบ้านได้ ฉันนั่งรถเมล์ลงหน้าซอยบ้านเทอ แวะซื้อสตอเบอรี่ปั่นของโปรดไปฝากเทอ ต่อมอไซร์ถึงหน้าบ้านเทอตรงเวลานัดเป๊ะ ฉันนั่งที่พื้นซ้อมพูดกับยัคที่ริมรั้วหน้าบ้านเทอก่อนจะเข้าไปเผชิญกับความจริงที่โหดร้าย แถวนั้นลมเย็นๆและมีเสียงเพลงบรรเลงผ่านหูมาทำให้ฉันเคลิ้มเผลอหลับไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ลุงยศแกผ่านมาแถวนั้นพอดี เห็นเลยปลุกฉันให้ตื่นมาก็บ่ายกว่าๆจะเย็นแล้ว ยัคก็บอกว่าตนเผลอหลับไปเช่นกัน ตายล่ะสิผิดนัดแม่เทอไปตั้งหลายชั่วโมง แม่เทอคงคิดว่าฉันไม่กล้ามาพบแน่ๆ ฉันสวมบทให้ลุงยศเป็นผู้ใหญ่กันกระแทกจากแรงกดดันจากแม่กับป้าของโรส ลุงยศก็ทำหน้างงๆแต่ลุงก็รับปากจะช่วย ฉันกับยัคเดินไปกดออด แต่ก็ไม่มีใครเปิด แกคงโกดจนไม่เปิดประตูให้เข้าแน่ๆ ลุงยศลองบิดประตูดู แต่ประตูไม่ได้ล็อค
ภาพที่เห็นข้างในบ้านทำให้เราต้องแจ้งตำรวจเรียกรถพยาบาลทันที คือโรสนอนหมดสติน้ำลายฟูปากในห้องครัว ข้างๆมีศพน้าสาวเทอนอนคว้ำอีโต้ปักแหวกกระโหลกลึกลงไปครึ่งด้าม ในห้องน้ำมีศพแม่ของเทอนอนสลบอยู่สันนิษฐานได่ว่าโดนของแข็งตีที่หัวจนกระโหลกร้าวหลายทีแล้วจับกดน้ำชักโครกขาดใจตาย ในห้องนอนพบน้องสาวเทอนอนหลับอยู่บนเตียง เดินเข้าไปปลุกกลับพบว่าน้องเทอตายแล้ว ในท้องตรวจพบน้ำยาล้างห้องน้ำและยานอนหลับชนิดรุนแรง ฉันทนกลั้นอารมณ์กลั้นน้ำตาไม่ไหวกับเหตุการณ์ตรงหน้าจึงชิงกลับบ้านกับยัคก่อน
ไม่นานเสียงร้องไห้ของแม่ทะลุกำแพงห้องฉันมา ฉันเล่าเรื่องราวต่างๆให้พ่อกับแม่ฟัง พ่อและแม่พยายามพูดให้ฉันรู้สึกดีกับเรื่องนี้และตกท้ายด้วยประโยคที่ตบหัวลูบหลังฉันอย่างจัง......
"ลูก ตะกี้ลุงยศโทรมาบอกแม่ว่า โรสอยู่โรงพยาบาลพ้นขีดอันตรายแล้วนะ แต่ตำรวจกล่าวหาว่าลูกเป็นผู้ต้องหาหลักในคดี ในฐานะที่เป็นผู้พบศพคนแรกและตำรวจอ้างว่าพบน้ำสตอเบอรี่ปั่นที่ลูกซื้อมามีสารไซยาไน้และยานอนหลับอยู่ที่โรสกินเข้าไป แต่ลูกไม่ต้องกังวลนะเพราะถ้าลูกบริสุทธิ์จริงถึงยังไงรอโรสฟื้นแล้วเป็นพยานให้ลูกได้ อย่ากังวลไปเลยนะลูก"
พอได้ยินเช่นนั้นฉันจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนแล้วพุ่งตรงไปยังไดอารี่ของยัค แต่ยัคดูไม่ร้อนรนอะไรเลย สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสมุดบันทึกคือเลข
ปริศนา 00 11 22 33 44 55 66 77 88 99 แต่ล่ะตัวเลขมีการเขียนรายละเอียดต่อท้ายไว้มากมายแก้ไขเพิ่มเติมยุ่งเหยิงไปหมด จับใจความได้ว่า เลขเหล่านี้คืออายุของคนตายที่โดนฆาตกรรมในข่าว2-3เดือนที่ผ่านมานี้.......44คือแม่ของโรส 33คือน้าสาวของโรส 22คือโรส 11คือน้องสาวของโรส แล้วเลข00มันคืออะไรกัน ทั้งหมดมันเหมือนเป็นพิธีกรรมอะไรบางอย่าง ฉันเค้นถามยัคด้วยความโกดและมึนงงว่า.....
"พี่ทำไปทำไม? เพื่ออะไรกัน?"
แต่ยัคกลับนิ่งเงียบไม่ยอมตอบคำถาม แต่กลับสารภาพผิดและสำนึกในสิ่งที่ทำมา ที่ทำให้ฉันมาเดือดร้อนด้วย โดยที่จริงๆไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้เลย พร้อมคุกเข่าร้องไห้ขอโทดฉันอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน เมื่อฉันเห็นเช่นนั้นฉันก็หมดอารมณ์ที่จะโวยวายด่าทอติเตียนต่อและไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดีกับเรื่องนี้ เพราะหลักฐานมันมัดตัวฉันจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ ได้แต่ภาวนาให้โรสอย่าได้จำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้เลยคือความหวังสุดท้ายของฉัน....