โลกใบเล็กมหาศาลของมิตตี้ (วันนี้ยาวไป...ก็อ่านหน่อยนะ)
วอลเตอร์ มิตตี้ (มีบางส่วนสปอยด์แทรกๆ)
หนังกำกับและแสดงนำโดย เบน สติลเลอร์...ฮาหน้าเอ๋อนิ่ง พ่อตลกซีเรียสทุกสถาบัน
แม้อายุจะปาเข้าไป 48 แล้วแต่ฟอร์มยังไม่ตกตั้งแต่ Troppic thunder
เล่นหนังเดียวถึงไม่ถล่มทลายก็ไม่ขาดทุน ยังคงฟอร์มฮาหน้าเอ๋อเสมอต้นเสมอปลาย
คืองี้ครับ....แกค้นพบตัวเองมานานแล้วตาเนี่ย บทที่เล่นประจำคือ...หนุ่มซื่อๆ ไฟแรงบ้างตกบ้าง
แต่จะฮาแบบแก๊กซีเรียส...คือในหนังอะมันซีเรียส เอาจริงเอาจังกับชีวิต...แต่สถานการณ์ที่คนดูเห็นมันฮา
พี่เบนแกเลยรับบทแบบนี้ตลอด...ขายดิบขายดี
ไม่พอ...ตอนกำกับ Tropic thunder ช่วงออสการ์ยังเข้าชิงราวัลกับเขาไปทั่ว
Screen Actors Guild,
Broadcast Film Critics Association,
the Academy of Motion Picture Arts and Sciences.
แต่ไม่ได้สักอันก็เถอะ...โคตรเก๋าเลย อันนั้นฮาจริง
อวยเท่านี้พอก่อน
ผมเชื่อเสมอว่าคนตลกเวลาเล่าเรื่องดราม่า...มันจะมีมิติหนักหน่วงกว่าคนทั่วไป
เรื่องนี้ตานี่กำกับเองเล่นเอง...ทำออกมาแนวนี้เหนือความคาดหมาย
และทำได้ดีเกินกว่าที่หวังไว้มากพอสมควร
--------------------------------------------------------------
หนังเล่าเรื่องราวของตาวอลเตอร์ที่มีจินตนาการหลุดโลกบ่อยๆเวลาเกิดความคาดหวังอะไรสักอย่าง
เป็นพนักงานล้างฟิล์มแล้วดันไปชอบสาวเจ้าพนักงานใหม่
รู้ว่าเจ้าหล่อนชอบอะไร เป็นคนยังไงก็ติดตาม...พยายามเรียกร้องความสนใจ
จนมีงานใหญ่เข้ามาต้องปิดเล่มแมกาซีนเล่มสุดท้าย...ต้องใช้รูปของช่างภาพชื่อฌอน
อีตาฌอนจะถ่ายภาพส่งมาให้มิตตี้ล้างจัดเก็บแล้วลงนิตยสาร
มารอบสุดท้ายนี้เจือกติสแตก...ภาพที่จะเอาขึ้นเล่มสุดท้ายหายเลยลำบากวอลเตอร์ไปตามหา
ทำไมต้องตามหา...ก็โชว์สาว...ก็หน้าที่...ไม่ใช่ตามธรรมดา
แต่ตามแบบแฮนเซลกับเกรเทลเลย...เพราะอีตาฌอนนี่ไม่ใช้เครื่องมือสื่อสาร
จึงเกิดเป็นการเดินทางของมิตตี้ในช่วงชีวิตนึงที่มหัสจรรย์ของเขา
-----------------------------------------------------------
>>>>>ว่าด้วยเรื่องที่หนังอยากนำเสนอ
ความยอดเยี่ยมของหนังที่อยากนำเสนอมีมากมาย
ผมจะยกที่ประทับใจใหญ่ๆมาทีละอย่าง (เอาหลักๆ 3 ข้อ)
1.หนังบอกเราว่า... มีบางครั้งในชีวิตเรา
เราวิ่งตามเป้าหมายของคนอื่น...เพื่อจุดประสงค์หนึ่ง
เราวิ่งไปตามเส้นทางด้วยสารพัดความ(คาด)หวัง...
แล้วจู่ๆเป้าหมายก็หายไป...เหมือนโลกพัง...แสงไฟนำทางไม่มี
แต่กระนั้นเรายังอยู่บนเส้นทาง...จนปลายทางนั้น มันกลายเป็นเป้าหมายของเรา
วอลเตอร์ไร้เป้าหมาย...เหนื่อยหน่ายกับชีวิตจนพบมิเชล
เขาหลุดโลกจินตนาการบ่อยครั้งที่จะทำให้เธอปลื้มเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเธอ
ภารกิจตามหารูปที่หายไปจึงเป็นอย่างหนึ่งที่เขาพอทำได้(เพราะหน้าที่ส่วนนึง)
...จนกระทั่งเขาพบ(คิดไปเองเต๊อะ)ว่า...มิเชลสาวที่เขาหลงอยู่นั้น กลับไปคืนดีกับแฟนเก่า
เป้าหมายที่หวังจะเรียกร้องความสนใจหายไปทันทีจากจินตนาการอันล้ำเลิศของพี่แก
แต่...แต่!! ภารกิจตามหารูปยังคงอยู่(ไม่งั้นโดนไล่ออก)...ก็ยังมีเหตุให้เขาทำต่อไปแบบตกกระไดพลอยโจน
ตามไปแบบตอนนี้กรูเหลือแต่

เนี่ยฌอนน!!! ...จนมันกลายเป็นเป้าหมายตัวเองไปเมื่อไรไม่รู้
สุดท้ายแม้ปลายทางเป้าหมายเขาไม่พบภาพที่หวัง(เจือกทิ้งไปเอง)
...แต่เรื่องราวระหว่างทางของเขาเพียงไม่กี่สัปดาห์
กลับมีค่าน่าจดจำมากกว่า 16 ปีที่เขาล่องลอยไร้แรงบันดาลใจ
หนังอยากบอกว่า...ช่วงเวลาที่เราลงมือทำด้วยความมุ่งมั่น
...ไม่ว่าเป้าหมายอยู่ที่ใด...มันจะตอบแทนเราโดยการพาเราไปที่ที่วิเศษที่สุดเสมอ
(พี่ตูน บอดี้แสลมว่าไว้ทำนองนี้เช่นกัน)
2.งานบางงาน...ผลของความพยายามความตั้งใจเรา
ไม่สำเร็จออกดอกออกผลตอบแทนเราอย่างทันท่วงทีหรือน่าพอใจนัก
ถึงจะนาน...ถึงจะไม่มีวี่แววของผลลัพธ์
แต่!!มันไม่เคยหายไปไหน...มันจะถูกเห็นถูกค้นพบถูกประกาศ...เมื่อเราทำมันมากพอ
วอลเตอร์งักๆเงิ่นๆทำงานของเขา
ทั้งล้างภาพเป็นหมื่นเป็นแสนภาพ...จัดการไฟล์รูปทั้งหมด...ติดต่อกับช่างภาพที่ไม่มีอุปกรณ์สื่อสาร
ถึงจะทำไปเรื่อยๆอย่างไม่มีเป้าหมายนัก...แต่ก็ทำด้วยความรับผิดชอบ
ทำเพื่อผลลัพธ์ให้นิตยสารที่ทุกคนเหนื่อยยากทำออกมา
กระทั่งวันสุดท้าย...แม้เขาจะโดนไล่ออก
ก็ยังไปตามหาภาพที่เขาไม่แคร์แล้วว่ามันคืออะไรมาให้ หัวหน้าที่ไล่เขาออกเอาไปปิดเล่ม
ผลของความพยายามนั้นคือ...ภาพที่ฌอนแอบถ่ายวอลเตอร์ทำงาน
เป็นภาพแสดงความขอบคุณวอลเตอร์...เป็นรูปที่เขานั่งเช็คงานถ่ายของฌอนอย่างละเอียด
นี่คือผลตอบแทนที่ใช้เวลาตลอดระยะเวลา 16 ปี...กล่าวขอบคุณคนเบื้องหลังที่ทำให้ภาพที่ฌอนอุตส่าเดินทางทั่วโลกออกมาได้
หนังอยากบอกว่า...ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไร...มันเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จทั้งหมดเสมอ
และมันจะปรากฏต่อเมื่อคุณทำมันดีพอ...และมากพอที่จะทำให้คนบางคนยอมรับ
ที่จะทำให้สิ่งที่คุณทำมาตลอดตอบแทนคุณเป็นความรู้สึกอย่างอธิบายไม่ได้
ดังปกสุดท้ายของนิตยสารบริษัทที่ขอบคุณวอลเตอร์นั้น...ระยะเวลาที่ผ่านมายิ่งนานแค่เพียงได้ขึ้นปกขอบคุณทุกสิ่ง
มันยิ่งมีพลังคืนกลับมาให้วอลเตอร์มีความสุขที่สุดในชีวิต
3.เราเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆ...ในที่ทำงาน
เล็กจนหลายคนไม่เห็นหัวกระทั่งตัวเองยังเห็นว่าอาจจะไม่สำคัญ
ผลจากการที่เราเป็นอย่างนั้นคือเราจะโดนเขี่ยออกเมื่อไรก็ได้...มันไม่มีความมั่นคงเลย
สิ่งที่มั่นคงมีเพียงบริษัทที่ยังคงอยู่ต่อไปถึงจะไม่มีเรา....แต่!!
แต่...งานมันสำเร็จไม่ได้ครับถ้าขาดเรา...ฟันเฟืองตัวนึงพัง...งานมันอาจจะไม่สำเร็จเลยก็ได้
กระนั้นสิ่งที่ทำให้เรายังรู้สึกว่าตัวเองมีค่าและมั่นคง....คือความรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำ
จะด้วยความรักหรือจำเป็นก็แล้วแต่...ที่ได้แน่ๆคือความภูมิใจ
...ที่ช่วยให้งานที่เพื่อนหลายๆคนช่วยกันเหนื่อยยากทำมา...สำเร็จ!!
นอกเหนือจากนั้น (ที่วอลเตอร์ได้รับจากฌอน) คือกำไรล้วนๆครับ
4. ฌอนเห็นเสือหิมะในกล้องที่เฝ้ารอมานานกว่าจะออกมาให้เห็น...แต่ไม่ยักกดชัตเตอร์
จนวอลเตอร์ถาม...เมื่อไรเฮียจะถ่าย เดี๊ยวมันก็ไปหรอก
พี่แกบอกว่า..."ภาพบางภาพผมก็ไม่ถ่ายมัน อยากแค่นั่งมองเฉยๆ
เพียงเพื่อยืนยันและรับรู้ความรู้สึกว่า ครั้งหนึ่ง ได้เคยมาอยู่ในสถานที่นั้น ตรงนั้น ในเวลานั้น มากกว่า"
อูวววว ซี๊ดดดด....คือว่า
มันโคตรกินใจ...คือผมถ่ายรูปมาตั้งแต่ม.ปลาย ถ่ายเพื่อนถ่ายกิจกรรมมาตลอด
ถ่ายทุกวัน ทั้งปี...กระทั่งช่วงพิธีร่ำลาเพื่อนครูบาอาจารย์ก๊แวบออกไปถ่ายบรรยากาศเก็บไว้
คืองี้ครับ ผมเชื่อในภาพถ่ายว่า...มันหยุดเวลาตรงขณะนั้นไว้ให้เราดูได้คิดถึงมันตลอด
คือพลังของภาพ...มันเล่าเรื่องได้ชัดจากความเงียบ และดังกว่าคำพูด
ระลึกได้ชัดกว่าความทรงจำ
เพื่อนๆและผมมาดูภาพก็ยังสนุกสนาน...เล่าได้ชัดยังกับเกิดขึ้นเมื่อวาน
แต่พอผ่านมาเรื่อยๆ...มันรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป
ใช่ครับ...ภาพมันเล่าเรื่องได้ชัดเจน....ต่อยอดความคิดได้มากมาย...ดังกว่าคำพูดและอาจจะชัดกว่าภาพความทรงจำ
แต่สิ่งที่มันให้เราไม่ได้คือ...ความรู้สึก
หลายครั้งที่ภาพถ่ายที่นานๆมีครั้ง หาดูยาก มาแปร๊บเดียว...เกิดขึ้นโดยเราไม่ได้อยู่ร่วมกับมัน เพราะเก็บภาพสวยๆไว้
จนเมื่อลองวางมือจากปุ่มชัตเตอร์...ลดกล้องลงมาแล้วเข้าไปร่วมกับภาพนั้น
ฟีลมันคนละเรื่องเลย...อิ่มใจกว่ากันเยอะ
วอลเตอร์คือคนที่อยู่ในภาพที่ฌอนขอบคุณเขา...ไม่มีใครอิ่มเอมเท่าวอลเตอร์ ณ เวลานั้นแล้ว
5. สิ่งมหัสจรรย์ของวอลเตอร์ไม่ใช่อยู่ที่ปลายทางครับ...
เห็นจากหนังคือเขาก็ยังเป็นแค่คนคนหนึ่ง....ที่ตกงาน...ไปรับเงินประกัน...หางานทำเหมือนเดิม
บล๊อกเรื่องราวสนุกๆขงเขาก็โดนลบหายไปแล้ว
แต่ "ระหว่างทาง"...ก่อนไปถึงจุดหมายที่อีตานี่กระโจนไปทำ
...สิ่งที่วอลเตอร์ได้รับ ได้สัมผัส ได้ถ่ายทอดให้คนดู
...คือสิ่งมหัสจรรย์ที่จะเป็นแรงบันดาลใจติดตัวไปชั่วชีวิตได้เลย
---------------------------------------------------------
>>>>>ว่าด้วยเรื่องของตัวโปรดักชั่น
สั้นๆเลยครับ
1.สวยโคตรรรรร ความฉลาดของหนังอย่างนึงคือ...ธรรมชาติบนโลกมันสวยอยู่แล้วครับ
ไปเอามาไว้บนจอสิครับ...มันตอบโจทย์คนที่อยากไปพักผ่อนมานั่งดูให้น้ำลายไหล
ฟินไปตามๆกันกับบรรยากาศสถานที่ต่างๆที่วอลเตอร์ไปผจญมา
CG สวยตามมาตรฐานฮอลลีวูดครับ...ช่วงจินตนาการ มีสโลว์ มีเปลี่ยนมู๊ดโทน
มีตัวละครไปฟีจเจอริ่งในหัววอลเตอร์...คือเฮ่ย...ไอ้หมอนี่มันหลุดโลกจริงๆด้วย
2. หนังไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจเรื่องเป้าหมายชีวิตเลยครับ...
ผมดูแล้วก็ไม่ได้อยากลาออกไปท่องโลก...หรือสร้างเป้าหมายชีวิตเพิ่มเติม
แต่!!
สิ่งที่หนังสร้างอย่างจัง!... คือแรงบันดาลใจในการทำงาน
การลุยทำสิ่งต่างๆด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ!!
เพื่อให้เราเก็บเกี่ยวระหว่างทาง...เพื่อสักวันนึงมันจะย้อนกลับมาตอบแทนเรา
ให้เรามีความสุขคุ้มค่าแก่ความเพียรพยายามแน่นอน!!!
3.นางเอกน่ารักครับ...ผมสังเกตุอย่าง
ฝรั่งเนี่ยเวลาเขาคุยกัน...แล้วมีช่วงเงียบ
คือบางคนเงียบหรือเงียบทั้งคู่...เขาจะอยู่ฟังหรือถามต่อ สนทนาต่อจนกว่าอีกฝ่ายจะบอกไปละน้า
ทั้งต่อหน้าและมือถือ
ต่างจากคนไทยที่สถาการณ์เดียวกัน...พอเงียบปุ๊บ
กดตัด...หรือรีบวาง ถ้าต่อหน้าก็รีบลา
อารมณ์แบบเขิน ไม่รู้พูดอะไรไปดีกว่า...ยังงี้อยู่มาก
...คือฝรั่งเค้าให้ความสนใจกับคู่สนทนาดีนะครับ
4.เพลงประกอบบ มันไม่ได้เพราะจนกังวานในหัวแบบ let it go ของ Frozen
แต่มันคลอไปตามหนังอย่างลงตัวในทุกๆช่วงชีวิตของวอลเตอร์
แล้วฟีลมันผจญภัยแบบมหากาพย์ได้เลย เพลงเนี่ย สุดยอด
------------------------------------------------------------
ส่วนที่ชอบ
-ข้างต้นทั้งหมด + มุขเอ๋อกับสถานการณ์+หน้าตายเหวอของพี่เบน
-ลุงฌอน เพน...โคตรเท่เลย
-ไอ้ฉากเล่นกีต้าร์ส่งวอลเตอร์ขึ้นเครื่องบินแมร่ง!!! ชอบมากกกก
ส่วนที่เสียดาย
-เนื่องจากเป็นหนังที่เกือบจะเล่าการเดินทางท่องเที่ยวโปรโมท...ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เพิ่มเวลาไปเถ๊อะ
อยากให้เล่นเรื่องสถานที่กับกิจกรรมที่วอลเตอร์ประสบให้สุดเหวี่ยงกว่านี้
เช่น อวกาศ/จระเข้/หนีโจร/ทะเลทราย/แกรนแคนยอน/ป่าดงดิบ/หมีติดมาสักตัว อะไรเงี้ย
โอ้แม่เจ้า หลุดโทนแน่ๆ...แต่น่าจะฮา
-การดำเนินเรื่องเนิบนาบไปหน่อย น่าจะมีจุดกระทุ้งพระเอกที่แรงกว่านี้...ที่จะขับดันให้มันกล้าไปโลดโผน
สรุป
จริงๆก็ลงตัวแล้วล่ะครับ....แค่รู้สึกมันเนื่อยๆไปบ้างบางช่วง
ผมชอบเรื่องนี้เพราะส่วนตัวเห็นอะไรเป็นไปได้ในหัวก็หลุดโลกไปโน้นนนนนเหมือนกัน ฮา
แต่โดยเนื้อหาแล้วให้ 8.1/10 เลย
สนุกควรแก่การไปดูครับ
น่าซื้อเก็บ...ดูรอบ 2 ได้ รอบ 3 ไม่ดู
สุดท้าย...คารวะ พี่เบน สติลเลอร์ครับ (แว๊บกลับไปดู Tropic thunder)
[CR] รีวิว ....the secret life of walter mitty มหัสจรรย์ของการเดินทาง
วอลเตอร์ มิตตี้ (มีบางส่วนสปอยด์แทรกๆ)
หนังกำกับและแสดงนำโดย เบน สติลเลอร์...ฮาหน้าเอ๋อนิ่ง พ่อตลกซีเรียสทุกสถาบัน
แม้อายุจะปาเข้าไป 48 แล้วแต่ฟอร์มยังไม่ตกตั้งแต่ Troppic thunder
เล่นหนังเดียวถึงไม่ถล่มทลายก็ไม่ขาดทุน ยังคงฟอร์มฮาหน้าเอ๋อเสมอต้นเสมอปลาย
คืองี้ครับ....แกค้นพบตัวเองมานานแล้วตาเนี่ย บทที่เล่นประจำคือ...หนุ่มซื่อๆ ไฟแรงบ้างตกบ้าง
แต่จะฮาแบบแก๊กซีเรียส...คือในหนังอะมันซีเรียส เอาจริงเอาจังกับชีวิต...แต่สถานการณ์ที่คนดูเห็นมันฮา
พี่เบนแกเลยรับบทแบบนี้ตลอด...ขายดิบขายดี
ไม่พอ...ตอนกำกับ Tropic thunder ช่วงออสการ์ยังเข้าชิงราวัลกับเขาไปทั่ว
Screen Actors Guild,
Broadcast Film Critics Association,
the Academy of Motion Picture Arts and Sciences.
แต่ไม่ได้สักอันก็เถอะ...โคตรเก๋าเลย อันนั้นฮาจริง
อวยเท่านี้พอก่อน
ผมเชื่อเสมอว่าคนตลกเวลาเล่าเรื่องดราม่า...มันจะมีมิติหนักหน่วงกว่าคนทั่วไป
เรื่องนี้ตานี่กำกับเองเล่นเอง...ทำออกมาแนวนี้เหนือความคาดหมาย
และทำได้ดีเกินกว่าที่หวังไว้มากพอสมควร
--------------------------------------------------------------
หนังเล่าเรื่องราวของตาวอลเตอร์ที่มีจินตนาการหลุดโลกบ่อยๆเวลาเกิดความคาดหวังอะไรสักอย่าง
เป็นพนักงานล้างฟิล์มแล้วดันไปชอบสาวเจ้าพนักงานใหม่
รู้ว่าเจ้าหล่อนชอบอะไร เป็นคนยังไงก็ติดตาม...พยายามเรียกร้องความสนใจ
จนมีงานใหญ่เข้ามาต้องปิดเล่มแมกาซีนเล่มสุดท้าย...ต้องใช้รูปของช่างภาพชื่อฌอน
อีตาฌอนจะถ่ายภาพส่งมาให้มิตตี้ล้างจัดเก็บแล้วลงนิตยสาร
มารอบสุดท้ายนี้เจือกติสแตก...ภาพที่จะเอาขึ้นเล่มสุดท้ายหายเลยลำบากวอลเตอร์ไปตามหา
ทำไมต้องตามหา...ก็โชว์สาว...ก็หน้าที่...ไม่ใช่ตามธรรมดา
แต่ตามแบบแฮนเซลกับเกรเทลเลย...เพราะอีตาฌอนนี่ไม่ใช้เครื่องมือสื่อสาร
จึงเกิดเป็นการเดินทางของมิตตี้ในช่วงชีวิตนึงที่มหัสจรรย์ของเขา
-----------------------------------------------------------
>>>>>ว่าด้วยเรื่องที่หนังอยากนำเสนอ
ความยอดเยี่ยมของหนังที่อยากนำเสนอมีมากมาย
ผมจะยกที่ประทับใจใหญ่ๆมาทีละอย่าง (เอาหลักๆ 3 ข้อ)
1.หนังบอกเราว่า... มีบางครั้งในชีวิตเรา
เราวิ่งตามเป้าหมายของคนอื่น...เพื่อจุดประสงค์หนึ่ง
เราวิ่งไปตามเส้นทางด้วยสารพัดความ(คาด)หวัง...
แล้วจู่ๆเป้าหมายก็หายไป...เหมือนโลกพัง...แสงไฟนำทางไม่มี
แต่กระนั้นเรายังอยู่บนเส้นทาง...จนปลายทางนั้น มันกลายเป็นเป้าหมายของเรา
วอลเตอร์ไร้เป้าหมาย...เหนื่อยหน่ายกับชีวิตจนพบมิเชล
เขาหลุดโลกจินตนาการบ่อยครั้งที่จะทำให้เธอปลื้มเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเธอ
ภารกิจตามหารูปที่หายไปจึงเป็นอย่างหนึ่งที่เขาพอทำได้(เพราะหน้าที่ส่วนนึง)
...จนกระทั่งเขาพบ(คิดไปเองเต๊อะ)ว่า...มิเชลสาวที่เขาหลงอยู่นั้น กลับไปคืนดีกับแฟนเก่า
เป้าหมายที่หวังจะเรียกร้องความสนใจหายไปทันทีจากจินตนาการอันล้ำเลิศของพี่แก
แต่...แต่!! ภารกิจตามหารูปยังคงอยู่(ไม่งั้นโดนไล่ออก)...ก็ยังมีเหตุให้เขาทำต่อไปแบบตกกระไดพลอยโจน
ตามไปแบบตอนนี้กรูเหลือแต่
สุดท้ายแม้ปลายทางเป้าหมายเขาไม่พบภาพที่หวัง(เจือกทิ้งไปเอง)
...แต่เรื่องราวระหว่างทางของเขาเพียงไม่กี่สัปดาห์
กลับมีค่าน่าจดจำมากกว่า 16 ปีที่เขาล่องลอยไร้แรงบันดาลใจ
หนังอยากบอกว่า...ช่วงเวลาที่เราลงมือทำด้วยความมุ่งมั่น
...ไม่ว่าเป้าหมายอยู่ที่ใด...มันจะตอบแทนเราโดยการพาเราไปที่ที่วิเศษที่สุดเสมอ
(พี่ตูน บอดี้แสลมว่าไว้ทำนองนี้เช่นกัน)
2.งานบางงาน...ผลของความพยายามความตั้งใจเรา
ไม่สำเร็จออกดอกออกผลตอบแทนเราอย่างทันท่วงทีหรือน่าพอใจนัก
ถึงจะนาน...ถึงจะไม่มีวี่แววของผลลัพธ์
แต่!!มันไม่เคยหายไปไหน...มันจะถูกเห็นถูกค้นพบถูกประกาศ...เมื่อเราทำมันมากพอ
วอลเตอร์งักๆเงิ่นๆทำงานของเขา
ทั้งล้างภาพเป็นหมื่นเป็นแสนภาพ...จัดการไฟล์รูปทั้งหมด...ติดต่อกับช่างภาพที่ไม่มีอุปกรณ์สื่อสาร
ถึงจะทำไปเรื่อยๆอย่างไม่มีเป้าหมายนัก...แต่ก็ทำด้วยความรับผิดชอบ
ทำเพื่อผลลัพธ์ให้นิตยสารที่ทุกคนเหนื่อยยากทำออกมา
กระทั่งวันสุดท้าย...แม้เขาจะโดนไล่ออก
ก็ยังไปตามหาภาพที่เขาไม่แคร์แล้วว่ามันคืออะไรมาให้ หัวหน้าที่ไล่เขาออกเอาไปปิดเล่ม
ผลของความพยายามนั้นคือ...ภาพที่ฌอนแอบถ่ายวอลเตอร์ทำงาน
เป็นภาพแสดงความขอบคุณวอลเตอร์...เป็นรูปที่เขานั่งเช็คงานถ่ายของฌอนอย่างละเอียด
นี่คือผลตอบแทนที่ใช้เวลาตลอดระยะเวลา 16 ปี...กล่าวขอบคุณคนเบื้องหลังที่ทำให้ภาพที่ฌอนอุตส่าเดินทางทั่วโลกออกมาได้
หนังอยากบอกว่า...ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไร...มันเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จทั้งหมดเสมอ
และมันจะปรากฏต่อเมื่อคุณทำมันดีพอ...และมากพอที่จะทำให้คนบางคนยอมรับ
ที่จะทำให้สิ่งที่คุณทำมาตลอดตอบแทนคุณเป็นความรู้สึกอย่างอธิบายไม่ได้
ดังปกสุดท้ายของนิตยสารบริษัทที่ขอบคุณวอลเตอร์นั้น...ระยะเวลาที่ผ่านมายิ่งนานแค่เพียงได้ขึ้นปกขอบคุณทุกสิ่ง
มันยิ่งมีพลังคืนกลับมาให้วอลเตอร์มีความสุขที่สุดในชีวิต
3.เราเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆ...ในที่ทำงาน
เล็กจนหลายคนไม่เห็นหัวกระทั่งตัวเองยังเห็นว่าอาจจะไม่สำคัญ
ผลจากการที่เราเป็นอย่างนั้นคือเราจะโดนเขี่ยออกเมื่อไรก็ได้...มันไม่มีความมั่นคงเลย
สิ่งที่มั่นคงมีเพียงบริษัทที่ยังคงอยู่ต่อไปถึงจะไม่มีเรา....แต่!!
แต่...งานมันสำเร็จไม่ได้ครับถ้าขาดเรา...ฟันเฟืองตัวนึงพัง...งานมันอาจจะไม่สำเร็จเลยก็ได้
กระนั้นสิ่งที่ทำให้เรายังรู้สึกว่าตัวเองมีค่าและมั่นคง....คือความรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำ
จะด้วยความรักหรือจำเป็นก็แล้วแต่...ที่ได้แน่ๆคือความภูมิใจ
...ที่ช่วยให้งานที่เพื่อนหลายๆคนช่วยกันเหนื่อยยากทำมา...สำเร็จ!!
นอกเหนือจากนั้น (ที่วอลเตอร์ได้รับจากฌอน) คือกำไรล้วนๆครับ
4. ฌอนเห็นเสือหิมะในกล้องที่เฝ้ารอมานานกว่าจะออกมาให้เห็น...แต่ไม่ยักกดชัตเตอร์
จนวอลเตอร์ถาม...เมื่อไรเฮียจะถ่าย เดี๊ยวมันก็ไปหรอก
พี่แกบอกว่า..."ภาพบางภาพผมก็ไม่ถ่ายมัน อยากแค่นั่งมองเฉยๆ
เพียงเพื่อยืนยันและรับรู้ความรู้สึกว่า ครั้งหนึ่ง ได้เคยมาอยู่ในสถานที่นั้น ตรงนั้น ในเวลานั้น มากกว่า"
อูวววว ซี๊ดดดด....คือว่า
มันโคตรกินใจ...คือผมถ่ายรูปมาตั้งแต่ม.ปลาย ถ่ายเพื่อนถ่ายกิจกรรมมาตลอด
ถ่ายทุกวัน ทั้งปี...กระทั่งช่วงพิธีร่ำลาเพื่อนครูบาอาจารย์ก๊แวบออกไปถ่ายบรรยากาศเก็บไว้
คืองี้ครับ ผมเชื่อในภาพถ่ายว่า...มันหยุดเวลาตรงขณะนั้นไว้ให้เราดูได้คิดถึงมันตลอด
คือพลังของภาพ...มันเล่าเรื่องได้ชัดจากความเงียบ และดังกว่าคำพูด
ระลึกได้ชัดกว่าความทรงจำ
เพื่อนๆและผมมาดูภาพก็ยังสนุกสนาน...เล่าได้ชัดยังกับเกิดขึ้นเมื่อวาน
แต่พอผ่านมาเรื่อยๆ...มันรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป
ใช่ครับ...ภาพมันเล่าเรื่องได้ชัดเจน....ต่อยอดความคิดได้มากมาย...ดังกว่าคำพูดและอาจจะชัดกว่าภาพความทรงจำ
แต่สิ่งที่มันให้เราไม่ได้คือ...ความรู้สึก
หลายครั้งที่ภาพถ่ายที่นานๆมีครั้ง หาดูยาก มาแปร๊บเดียว...เกิดขึ้นโดยเราไม่ได้อยู่ร่วมกับมัน เพราะเก็บภาพสวยๆไว้
จนเมื่อลองวางมือจากปุ่มชัตเตอร์...ลดกล้องลงมาแล้วเข้าไปร่วมกับภาพนั้น
ฟีลมันคนละเรื่องเลย...อิ่มใจกว่ากันเยอะ
วอลเตอร์คือคนที่อยู่ในภาพที่ฌอนขอบคุณเขา...ไม่มีใครอิ่มเอมเท่าวอลเตอร์ ณ เวลานั้นแล้ว
5. สิ่งมหัสจรรย์ของวอลเตอร์ไม่ใช่อยู่ที่ปลายทางครับ...
เห็นจากหนังคือเขาก็ยังเป็นแค่คนคนหนึ่ง....ที่ตกงาน...ไปรับเงินประกัน...หางานทำเหมือนเดิม
บล๊อกเรื่องราวสนุกๆขงเขาก็โดนลบหายไปแล้ว
แต่ "ระหว่างทาง"...ก่อนไปถึงจุดหมายที่อีตานี่กระโจนไปทำ
...สิ่งที่วอลเตอร์ได้รับ ได้สัมผัส ได้ถ่ายทอดให้คนดู
...คือสิ่งมหัสจรรย์ที่จะเป็นแรงบันดาลใจติดตัวไปชั่วชีวิตได้เลย
---------------------------------------------------------
>>>>>ว่าด้วยเรื่องของตัวโปรดักชั่น
สั้นๆเลยครับ
1.สวยโคตรรรรร ความฉลาดของหนังอย่างนึงคือ...ธรรมชาติบนโลกมันสวยอยู่แล้วครับ
ไปเอามาไว้บนจอสิครับ...มันตอบโจทย์คนที่อยากไปพักผ่อนมานั่งดูให้น้ำลายไหล
ฟินไปตามๆกันกับบรรยากาศสถานที่ต่างๆที่วอลเตอร์ไปผจญมา
CG สวยตามมาตรฐานฮอลลีวูดครับ...ช่วงจินตนาการ มีสโลว์ มีเปลี่ยนมู๊ดโทน
มีตัวละครไปฟีจเจอริ่งในหัววอลเตอร์...คือเฮ่ย...ไอ้หมอนี่มันหลุดโลกจริงๆด้วย
2. หนังไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจเรื่องเป้าหมายชีวิตเลยครับ...
ผมดูแล้วก็ไม่ได้อยากลาออกไปท่องโลก...หรือสร้างเป้าหมายชีวิตเพิ่มเติม
แต่!!
สิ่งที่หนังสร้างอย่างจัง!... คือแรงบันดาลใจในการทำงาน
การลุยทำสิ่งต่างๆด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ!!
เพื่อให้เราเก็บเกี่ยวระหว่างทาง...เพื่อสักวันนึงมันจะย้อนกลับมาตอบแทนเรา
ให้เรามีความสุขคุ้มค่าแก่ความเพียรพยายามแน่นอน!!!
3.นางเอกน่ารักครับ...ผมสังเกตุอย่าง
ฝรั่งเนี่ยเวลาเขาคุยกัน...แล้วมีช่วงเงียบ
คือบางคนเงียบหรือเงียบทั้งคู่...เขาจะอยู่ฟังหรือถามต่อ สนทนาต่อจนกว่าอีกฝ่ายจะบอกไปละน้า
ทั้งต่อหน้าและมือถือ
ต่างจากคนไทยที่สถาการณ์เดียวกัน...พอเงียบปุ๊บ
กดตัด...หรือรีบวาง ถ้าต่อหน้าก็รีบลา
อารมณ์แบบเขิน ไม่รู้พูดอะไรไปดีกว่า...ยังงี้อยู่มาก
...คือฝรั่งเค้าให้ความสนใจกับคู่สนทนาดีนะครับ
4.เพลงประกอบบ มันไม่ได้เพราะจนกังวานในหัวแบบ let it go ของ Frozen
แต่มันคลอไปตามหนังอย่างลงตัวในทุกๆช่วงชีวิตของวอลเตอร์
แล้วฟีลมันผจญภัยแบบมหากาพย์ได้เลย เพลงเนี่ย สุดยอด
------------------------------------------------------------
ส่วนที่ชอบ
-ข้างต้นทั้งหมด + มุขเอ๋อกับสถานการณ์+หน้าตายเหวอของพี่เบน
-ลุงฌอน เพน...โคตรเท่เลย
-ไอ้ฉากเล่นกีต้าร์ส่งวอลเตอร์ขึ้นเครื่องบินแมร่ง!!! ชอบมากกกก
ส่วนที่เสียดาย
-เนื่องจากเป็นหนังที่เกือบจะเล่าการเดินทางท่องเที่ยวโปรโมท...ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เพิ่มเวลาไปเถ๊อะ
อยากให้เล่นเรื่องสถานที่กับกิจกรรมที่วอลเตอร์ประสบให้สุดเหวี่ยงกว่านี้
เช่น อวกาศ/จระเข้/หนีโจร/ทะเลทราย/แกรนแคนยอน/ป่าดงดิบ/หมีติดมาสักตัว อะไรเงี้ย
โอ้แม่เจ้า หลุดโทนแน่ๆ...แต่น่าจะฮา
-การดำเนินเรื่องเนิบนาบไปหน่อย น่าจะมีจุดกระทุ้งพระเอกที่แรงกว่านี้...ที่จะขับดันให้มันกล้าไปโลดโผน
สรุป
จริงๆก็ลงตัวแล้วล่ะครับ....แค่รู้สึกมันเนื่อยๆไปบ้างบางช่วง
ผมชอบเรื่องนี้เพราะส่วนตัวเห็นอะไรเป็นไปได้ในหัวก็หลุดโลกไปโน้นนนนนเหมือนกัน ฮา
แต่โดยเนื้อหาแล้วให้ 8.1/10 เลย
สนุกควรแก่การไปดูครับ
น่าซื้อเก็บ...ดูรอบ 2 ได้ รอบ 3 ไม่ดู
สุดท้าย...คารวะ พี่เบน สติลเลอร์ครับ (แว๊บกลับไปดู Tropic thunder)