ลงทุนปีม้า 'หุ้นนอก'ทะยาน 'เงินฝาก'เน้นสั้น'ทอง'ขี้เหร่

กระทู้สนทนา
วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2013 เวลา 21:08 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ การเงิน Financial - คอลัมน์ : การเงิน Financial


   ปี 2557 หรือปีมะเมีย มีปัจจัยที่ต้องจับตาต่อการลงทุน 3 เรื่อง  ประกอบด้วย

       1. การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจในประเทศที่พัฒนาแล้ว (กลุ่มประเทศ G3) เช่น สหรัฐอเมริกา  ญี่ปุ่น และเศรษฐกิจหลักในกลุ่มประเทศยุโรป ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในหุ้น

      2.  การส่งออกของเอเชีย  การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศหลัก เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และ จีน ถือว่าเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ขณะที่เศรษฐกิจในตลาดเกิดใหม่เริ่มชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์เชื่อว่าเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่จะเริ่มกลับมาขยายตัวจากการส่งออกที่ฟื้นตัวขึ้นและปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นตามไปด้วย

    3. ความคืบหน้าในการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2556 จีนได้แถลงนโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจในแผนพัฒนา 10 ปีของประเทศ นักวิเคราะห์มองว่าหากมาตรการดังกล่าวมีความคืบหน้าในทางปฏิบัติก็จะช่วยเพิ่มแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจเอเชียที่มีความเกี่ยวข้องกับจีนเป็นอย่างมาก

***หุ้นต่างประเทศโดดเด่น           

    ทิสโก้ เวลธ์ บริการที่ปรึกษาการเงินการลงทุนครบวงจรจากทิสโก้ โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์กลุ่มทิสโก้ ประเมินกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 1 ปี 2557  ว่า  การลงทุนในตลาดหุ้นจะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ  เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจนขึ้น รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ได้ลดปริมาณการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการซื้อสินทรัพย์ (คิวอี)

    ทั้งนี้จากการฟื้นตัวที่ดีของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นปัจจัยที่จะเริ่มส่งผลให้นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ และหันมาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนจากการปรับตัวขึ้นของดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นจากทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของเฟด

    โดยตลาดหุ้นที่น่าสนใจทิสโก้ เวลธ์ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้น ญี่ปุ่น สหรัฐฯ  จีน เอเชียเหนือ และกลุ่มประเทศหลักของยุโรป และแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย อินเดีย และลาตินอเมริกา

    ***ลดน้ำหนัก"หุ้นไทย"

    สำหรับตลาดหุ้นไทย อินเดีย และลาตินอเมริกา ทิสโก้ เวลธ์ แนะนำให้ลดน้ำหนักและหลีกเลี่ยงการลงทุน  เนื่องจากหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองยืดเยื้อ ที่น่าจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 1 ปี 2557 และส่งผลให้คาดการณ์ผลกำไรของหุ้นไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดลงอีกในอนาคต บวกกับภาพรวมเศรษฐกิจต่างที่เริ่มมีการชะลอตัวมากขึ้น

    เช่นเดียวกับนายประเสริฐ ขนบธรรมเนียมชัย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า สำหรับการลงทุนปี 2557 แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากขึ้น  ส่วนหุ้นไทยยังต้องเผชิญกับปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว และปัจจัยลบการเมือง

***จัดพอร์ตอย่างไร  

    สำหรับการจัดพอร์ตลงทุน บลจ.กสิกรไทยฯ แนะนำว่าผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง  ให้ลงทุนในหุ้นต่างประเทศสัดส่วน 40-50 % อาทิ สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน เป็นต้น ส่วนหุ้นไทย แนะนำให้ลงทุนเพียง 30-40 % เท่านั้น ที่เหลือแนะนำลงทุนในตราสารหนี้ โดยไม่ควรลงทุนในตราสารหนี้อายุเกิน 2 ปี เพื่อลดความเสี่ยงดอกเบี้ยปรับขึ้น

    ส่วนทองคำยังไม่แนะนำเข้าลงทุนหรือควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน เนื่องจากปัจจัยสนับสนุนให้ทองคำปรับขึ้นสำหรับปี2557 ยังไม่มี ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อ ประกอบกับแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯกลับมีสัญญาณแข็งค่าตามทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ฟื้นตัว

    ด้านนายชัยพร  น้อมพิทักษ์เจริญ  ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์(บล.)บัวหลวง จำกัด(มหาชน)(บมจ.) แนะนำว่าผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางแนะนำลงทุนในหุ้น 22 % ใกล้เคียงกับปี 2556 คาดการณ์มีโอกาสได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 9.15 % อย่างไรก็ตามในกรณีที่ดีที่สุด(Best case)มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงถึง 19.81 % และกรณีเลวร้ายที่สุด (Worst case) มีโอกาสติดลบ 1.5 %

    นอกจากนี้แนะนำเพิ่มน้ำหนักลงทุนในกองทุนน้ำมันเป็น 21 % จากปี 2556 ที่ให้น้ำหนัก 16 % พร้อมกับเพิ่มการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็น 15 % จากปี 2556 ที่ให้น้ำหนัก 10 % เนื่องจากเงินปันผลจูงใจ โดยบล.บัวหลวงฯ คาดการณ์ผลตอบแทนจากเงินปันผล  6.5-6.8 % ต่อปี ซึ่งสามารถชนะเงินเฟ้อได้อย่างแน่นอน แม้ว่าปี 2557 คาดว่าอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสปรับขึ้น 0.5 % โดยเริ่มเห็นช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป
    สำหรับทองคำ แนะนำให้ลดสัดส่วนการลงทุนเหลือเพียง 6 % จากปี 2556 ที่แนะนำลงทุนสัดส่วน 16 %

*** ทองคำปี 57 ยังเป็นขาลง

    สำหรับทิศทางราคาทองคำปีมะเมีย ผู้ค้าทองและผู้เชี่ยวชาญการทำเหมืองทองจากออสเตรเลีย เห็นพ้องราคาทองคำเป็นขาลง โดยมีปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวส่งผลชะลอมาตรการคิวอี ให้กรอบเคลื่อนไหว 1,100-1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ส่วนราคาในประเทศให้กรอบ 17,000-17,500 บาทต่อบาททอง

    นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ ศูนย์วิจัยฯได้จัดทำแบบสำรวจสัดส่วนการลงทุนทองคำในปี 2557 กลุ่มตัวอย่างคิดว่าจะลงทุนใกล้เคียงกับปี 2556 ที่ผ่านมา คือ ประมาณ 18% สำหรับผู้ที่คาดว่าจะโยกเงินลงทุนจากตลาดทองคำไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นส่วนใหญ่คิดว่าจะย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างเงินฝากธนาคาร พันธบัตร และบางรายคิดว่าจะถือเงินสด

    นายไมค์ โมนาฮาน ผู้เชี่ยวชาญการทำเหมืองแร่ทองคำจากประเทศออสเตรเลีย และในฐานะประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการและผู้จัดการใหญ่ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด(มหาชน)(บมจ.) ประกอบธุรกิจเหมืองแร่ทองคำ กล่าวว่า ทิศทางราคาทองคำโลกอยู่ในช่วงขาลง

    อย่างไรก็ตามนายไมค์ เชื่อว่าในระยะสั้นหรืออีกประมาณ 2 ปีข้างหน้า (ปี 2557-2558)ราคาทองคำจะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 1,100-1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ซึ่งเป็นราคาใกล้เคียงต้นทุนหน้าเหมือง ขณะที่นักวิเคราะห์ทองคำต่างประเทศส่วนใหญ่ประเมินว่าอีก 7 ปีข้างหน้า (2563 )ราคาทองคำในตลาดโลกมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงแตะ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์

***"ฝากสั้น"เกาะกระแสดอกเบี้ยขึ้น-ลง

    ฟากตลาดเงินนั้น ในรอบปีที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งจะเสิร์ฟลูกค้าด้วยเงินฝากประจำพิเศษ ส่วนทิศทางอัตราดอกเบียปี 2557  นายกฤษณ์ จันทโนทก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจเงินฝาก การลงทุน ประกันภัย และธนบดี

    บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า  ปี 2557 ทิศทางดอกเบี้ยยังเป็น 2 มุมมองที่อาจะเกิดขึ้น คือ 1.ถ้าเศรษฐกิจและภาคส่งออกฟื้นตัว และการเมืองไม่ยืดเยื้อ คาดว่าครึ่งปีแรกจะได้เห็นคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)อาจปรับดอกเบี้ยเพิ่ม

    2. กรณีจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ในครึ่งปีแรก ไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีโอกาสเห็นกนง.ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ดังนั้นสำหรับผู้บริโภค เมื่อดอกเบี้ยมีโอกาสเพิ่มครึ่งแรกปี 2557 อาจเลือกฝากเงินระยะสั้นก่อน(เช่นเงินฝากประจำ 3-9เดือน)เพื่อรอจังหวะดอกเบี้ยนโยบายขึ้นและเกาะกระแสเปลี่ยนแปลงได้เรื่อยๆ ซึ่งในส่วนกรุงศรียังเสนอ "เงินฝากออมทรัพย์มีแต่ได้"ฝากประจำ 5เดือนดอกเบี้ย 2.7%ต่อปี

    อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของผู้ฝากเงินนั้น ขึ้นอยู่กับดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศ แต่ยังคงได้รับความคุ้มครองเงินฝากในวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อธนาคาร

***เปิดผลิตภัณฑ์"เงินฝาก"   

    สำหรับแนวโน้มการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากปี 2557 นายชัยณรงค์  เอื้อสิทธิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจรายย่อยและเครือข่ายบมจ.ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่าจะเห็นเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่เป็นเงินฝากระยะสั้น เพื่อรอดูสถานการณ์ที่แท้จริง

    ดังนั้นหากปัจจุบันลูกค้ายังมีเงินฝากประเภทระยะกลางและยาวที่อัตราดอกเบี้ยสูงแนะนำให้ฝากเงินในระยะเวลาและอัตราดอกเบี้ยที่สูงดังกล่าว  ทั้งนี้แม้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยในตลาดจะอยู่ในช่วงขาลง  แต่กรุงไทยได้เตรียมเงินฝากพิเศษเป็นทางเลือกของลูกค้าตั้งแต่วันที่ 6- 31 มกราคม2557 ประกอบด้วย เงินฝาก KTB แซบเวอร์ 14 เดือน ฝากขั้นต่ำ 1หมื่นบาทลูกค้าทั่วไปรับดอกเบี้ย 3.14%ต่อปี,ลูกค้าทั่วไปฝากผ่านNetbank อัตรา 3.44%ต่อปี สำหรับลูกค้าKTB Precious Plus ดอกเบี้ย 3.41%เงินฝากKTB Zero Tax extra 24 เดือนดอกเบี้ย 3.8%ต่อปีและเงินฝากถึงใจวัยเกษียณ 60 เดือนดอกเบี้ย 4%ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2557

    ด้านนายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บมจ.ธนาคารกรุงเทพ แนะนำลูกค้าที่กังวลต่อสถานการณ์ฝากเงินระยะกลางถึงยาว ด้วยเงินฝากประจำพิเศษ 3 ระยะ กำหนดรับฝากถึงวันที่ 20 มกราคม 2557 ประกอบด้วย เงินฝากประจำพิเศษ 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.625%ต่อปี ,เงินฝากประจำพิเศษ 10 เดือนอัตราดอกเบี้ย 2.875%ต่อปี  และเงินฝากประจำพิเศษ 15 เดือนอัตราดอกเบี้ย 3.25%ต่อปี

    ทั้งหมด คือ ทิศทางการลงทุนปี 2557 และคำแนะนำการจัดพอร์ต  จะลงทุนหุ้น ทองคำ ตราสารหนี้ เงินฝาก และการลงทุนทางเลือกเพื่อเพิ่มสีสรร  สุดท้ายแล้วผู้ลงทุนต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ด้วย รับเสี่ยงได้สูงก็จัดไปหนัก ๆหุ้นต่างประเทศ ชอบเสี่ยงต่ำก็ตราสารหนี้และเงินฝาก แต่ก็ต้องยอมรับผลตอบแทนที่ต่ำเตี้ยได้ด้วยเช่นกัน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,910 วันที่  2 - 4  มกราคม  พ.ศ. 2557
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่