เพราะ 
1. ด้านเทคนิค
กราฟอยู่ในเทรนด์ขาลงชัดเจน ตีเทรนด์ไลน์แนวรับถัดไปอยู่แถว 1150 กรอบไทม์เฟรมระยะกลางเกิดเกาะลอยขึ้นมา
มีโอกาสได้ลงได้อีกอย่างน้อยๆ 1 เท่าที่ลงมา ยังไม่นับรวมช่วงซึม Sideway Down ที่อาจทอดระยะเวลายาวนานเป็นหลายเดือนหรือหลายปี
2. ด้านกระแสเงินทุน
ต่างชาติทยอยขายมาต่อเนื่องที่ดัชนีแถวนี้ มากกว่า +- 100 จุด ดังนั้นไม่มีทางที่ต่างชาติจะมาเข้าซื้อแถวนี้แน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์
แล้วหุ้นที่ต่างชาติขายมีปริมาณมาก ทำให้ต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะขายหมด ไม่ใช่ว่าขายแค่ 1500 หรือ 1400 แต่โซนขายกว้าง
อาจตั้งแต่ 1000 - 1600 ดังนั้นคิดต่อเอาเองว่าขายหมด ต่อไปอยากกลับมาซื้อใหม่เขาจะซื้วแถวไหน
ถ้าคุณเป็นคนขายหุ้น ขายไปแถวนี้ จะรับกลับที่ราคาเดิมหรือแพงกว่าหรือไม่ ไม่แน่นอน คุณก็คงรอหรือพยายามทุบให้มันถูกกว่าเดิม
3. ด้านพื้นฐาน
ที่ผ่านราคาหุ้นมันสะท้อนพื้นฐานร่วงหน้าไปหมดแล้ว อย่ายึดติดกับตัวเลขเดิมๆ ในช่วงหุ้นขาขึ้น แต่ให้มองไปที่อนาคต 
ต่อให้หุ้นพื้นฐานแกร่งแค่ไหน มีโอกาสเติบดตแค่ไหน แต่ถ้าเจอตลาดไม่อำนวยหรือเศรฐกิจภาพรวมกดดัน ก็จะไม่มีหุ้นตัวไหนไปรอด
เกิดวิกฤติใหญ่ๆ หลายครั้งที่ผ่านมา ทำไมหุ้นดีๆ ราคาตกกันหมด อย่าคิดว่าหุ้นเราเจ๋งแล้วจะเทพกว่าตลาด ยอมรับความจริงซะ
4. ด้านเศรษฐกิจ 
แม้ว่าประเทศเราจะไม่เกิดฟองสบู่แตก แต่ช่วงที่ผ่านมามันก็คล้ายกับผ่านช่วงฟองสบู่พองมาแล้ว ดังนั้นช่วงนี้จึงเหมือนช่วงเจาะระบายแรงดัน
ซึ่งสะท้อนมาโดยตัวเลขทางเศรฐกิจต่างๆ และมีโอกาสจะใช้เวลานานหลายปีกว่าจะสามารถอัดลมเข้าไปใหม่ได้
ปีหน้าแม้คาดว่าตัวเลขจะดีขึ้น แต่จากความไม่นอนทางการเมือง ก็มีโอกาสที่จะแย่ลงมากกว่าปีนี้ก็เป็นได้
5. ด้านการเมือง
การเมืองจะเป็นตัวกดดันตลาดและเศรฐกิจภาพรวมทั้งประเทศ อย่าคิดว่าไม่กระทบ กระทบแน่นอน และจะค่อยๆ ชอนไชระบบเศรฐกิจและความเชื่อมั่นไปเรื่อยๆ
จนในที่สุดปัญหาอื่นๆ จะตามมาเป็นลูกโซ่ เช่นการจับจ่ายน้อยลง นักลงทุนกังวลจนไม่กล้าลงทุนใหม่ๆ สุดท้ายมันจะลากเอาทุกอย่างลงหลุมดำเหมือนกันหมด
ณ จุดนี้ ความต้องการของกลุ่มที่ชุมนมดูจะเกินเหตุและความพอดีจนน่าสงสัยในความต้องการที่แท้จริง 
ส่วนรัฐบาลก็ใช้วิธีนิ่งเฉยไม่ตอบโต้จนทำให้ประเทศดูไร้ขื่อแปร ไร้กฎหมายควบคุม จนกระทบต่อความเชื่อมั่นขั้นรุนแรง
เหตุการณ์ในช่วง 2-3 เดือนจากนี้ ต่อให้มีการเลือกตั้ง ก็ไม่สงบเพราะฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยจะต้องออกมากระทำการบางอย่างแน่นอน
หรือถ้าฝ่ายต่อต้านได้ทำตามที่เรียกร้องมาทั้งหมด นั่นหมายความว่าระบบต่างๆ ภายในประเทศจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่
และใช้เวลานาน ซึ่งจะเกิดภาวะสูญญากาศ สภาพที่เชื่อว่าไม่มีใครกล้าเสี่ยงที่จะลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ
อะไรจะมาเป็นระบบปกครองประเทศแบบใหม่ แต่กว่าจะไปถึงขั้น ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยจะต้องเกิดการรวมตัว
สุดท้ายการเผชิญหน้าจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นปี ใช้เวลาสะสมความเกลียดชังไปเรื่อยๆ 
ค่อยๆ กล่อมประสาทให้ซึมซับไปเรื่อยๆ จนในที่สุด คนไทยทั้งสองฝ่ายจะลุกขึ้นมาต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ว่าจะออกมาหน้าไหน ก็มีความเสี่ยงสูงทั้งสองด้าน ยังไม่นับรวมระเบิดเวลาที่ถูกฝังเอาไว้เรื่อยๆ
อย่างอาทิตย์หน้าก้จะมีการตัดสินคดีความต่างๆ หลายคดี ซึ่งแต่ละเรื่องนำมาทุบหุ้นได้สบายๆ
โดยเฉพาะในอารมณ์แบบนี้ อารมณ์ผวาแบบนี้ สะกิดนิดเดียวก็ตกใจแล้ว
ยังไม่นับรวมเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นอีกหลายเหตุการณ์ นักลงทุนต้องไปวิเคราะห์ต่อว่ามีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนอะไรได้บ้าง
เช่นแผ่นดินไหว ภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ หรือสิ่งเหนือความคาดหมาย เป็นต้น ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง ลงหนักหน่วงแน่นอน
-- ภาพรวม --
อย่าคิดว่ามันจะเด้งปรู๊ดปร๊าดภายใน 1-2 เดือนนี้ เตรียมใจไว้เลย ใครทนไม่เก่ง รอไม่เป็นรับรองถูกถีบออกจากตลาดหุ้นแน่
 รอบนี้อย่าคิดว่าแน่ อย่าคิดว่าเงินเย็น ไม่เป็น ทนได้มั๊ย พอร์ตติดลบ 50% ยาวนาน 2-3 ปี จู่ๆ 
วันดีคืนดีเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาต้องใช้เงินเร่งด่วนจะทำยังไง
ดูภาพกว้างๆ จะพบว่าใครที่ซื้อหุ้นมา ขาดทุนทุกคนเพราะกราฟไหลงลงเรื่อยๆ แม้จะมีกระตุกบ้างบางช่วง สุดท้ายก็ลงต่ำกว่าเดิม
ช่วงนี้ไม่ใช่เวลาสะสม แต่เป็นช่วงรอและเฝ้าดูเท่านั้น เล่นรอบก็ไม่ต้องเล่น เพราะถ้าเล่นติดเล่นหลายรอบโอกาสเสียจะมีมากกว่า อยู่นิ่งจะดีที่สุด
พยายามมองภาพกว้างๆ ถอยหลังไปสักนิดแล้วจะเห็นว่ากราฟหุ้นมันกำลังจะดิ่ง ไม่น้อยกว่าที่มันลงผ่านมา แต่มันจะใช้เวลา
อย่าติดหุ้นต้องเทรดทุกวัน สุดท้ายจะไม่เงินให้เทรด อะไรที่เสียแล้วให้ตัดใจ ตัดใจอย่างเดียว อย่าถลำลึก อย่าคิดเอาคืนเด็ดขาด
ตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาของเรา จงอดทนรอ รอจังหวะเอาคืนจากตลาดหุ้นใหม่
ระยะใกล้ๆ 1-2 สัปดาห์นี้
--------------------------
มีโอกาสีบาวด์ สั้นๆ แค่สั้นๆ เท่านั้น อาจไม่ถึง 1 ใน 3 ของที่ลงมารอบล่าสุดด้วยซ้ำ ถ้ามีกำไรหาจังหวะเทค ปรับพอร์ต ลดขนาด กำเงินสดให้มากที่สุด
ตัวไหนดูแย่ ต้องคัทบ้าง ยอมเจ็บ ยอมตัดเนื้อร้ายทิ้ง อย่าฝืน อย่าคิดไปเอง 
ต่อไปตลาดมีโอกาส Sideway สูง คือหลอกให้พวกนึงคิดว่าลงสุดแล้ว แล้วเข้าไปซื้อสุดท้ายติด 
กับหลอกพวกที่รอข้างล่าง ทำเหมือนจะลงสุดท้ายไม่ลง จนกล้าเข้า สุดท้ายกวาดหมดจัดหนักลงตูมเดียว แต่ยังไม่ใช่ช่วงนี้
นักลงทุนส่วนใหญ่จะแพ้ 2 อย่าง
----------------------------------
1. แพ้ใจตัวเอง 2. แพ้เรื่องเวลา ตลาดจะใช้เวลามาก มากซะจนหลายคนถอดใจ มากซะจนเกิดความลังเลซื้อๆ ขายๆ จนทุนหมด
บางคนทนขาดทุนได้มานาน ดูพอร์ตติดลบมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ควรจะคัทตั้งแต่ 3-5% แต่ใจแข็ง สุดท้ายมาทนไม่ไหวคัทแถว 50-80% 
พอหุ้นรีบวด์ทางเทคนิคสั้นๆ แห่เข้าใหม่เพราะคิดว่าขึ้นแล้ว สุดท้ายลงอีกรอบ ขาดทุนอีกรอบ วนเวียนแบบนี้จนหมดตัวแล้วก็ออกจากตลาดไป
ช่วงนี้หลายคนหันไปรับแนวความคิด "ทฤษฎีผลประโยชน์" กันมาก
----------------------------------------------------------------------
อาจเพราะต้องการมั่นใจในการซื้อหุ้นช่วงนี้ เพราะคิดว่ามันจะเด้งแล้ว 
หรือตัวเองติดหุ้นอยู่ ต้องการหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองให้ตัวสบายใจก็ตามที 
ทฤษฎี หรือแนวความคิดนี้  ถ้าพวกคุณเชื่อตามทฤษฎีนี้กันมาก ทฤษฎีนี้ก็จะให้ผลตรงกันข้ามกับความเชื่อของคุณทันที
ตอนนี้คุณอาจคิดว่า 97% ขาย 3% ซื้ออยู่ คุณเลยคิดว่าได้เวลาเก็บของแล้วและมันจะขึ้นแน่นอน
แล้วถ้ามีคนคิดแบบคุณมากๆ แทนที่คุณจะอยู่ในพวก 3% กลายเป็นว่าคุณเข้าไปอยู่ในกลุ่ม 97% โดยที่คุณเองก็ไม่รู้ตัว
+เมทริกซ์ซ้อนเมทริกซ์+
เหมือนคุณคิดว่าตัวเองอยู่นอกเมทริกซ์ แต่ความจริงคุณอยู่ในเมทริกซ์ซ้อนเมทริกซ์อีกทีนึงโดยที่ไม่รู้
อย่าใช้เครื่องมือหรือแนวความคิดใดมาเป็นตัวกำนดการซื้อขายหุ้นเพียงตัวเดัยว และอย่าให้น้ำหนักเกินความน่าจะเป็น
พยายามแยกเครื่องมือหรือแนวความคิดออกมา จดเอาไว้ก็ได้ เช่นพื้นฐานหุ้น สภาพเศรษฐกิจ การเมือง แนวโน้มอนาคต
แนวความคิดของเม่าตามเว็บต่างๆ แยกออกมาแล้วกำหนดว่าควรจะให้น้ำหนักกับสิ่งไหนเท่าไหร ไม่จำเป็นต้องให้เท่ากัน
สุดท้ายนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ดูว่าเหมาะสมที่จะซื้อได้หรือยัง คิดแล้วจดเอาไว้ นำมาทบทวนและดูผลลัพท์เรื่อยๆ
มันไม่สูตรตายตัว มีแค่คุณคนเดียวที่เข้าใจ ถ้าทำได้คุณก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ตัดความลำเอียงและการเข้าข้างตัวเองออก
หลายคนชอบเลือกที่จะเชื่ออะไรที่ตัวเองฟังแล้วสบายใจ เช่นถ้ามีหุ้นอยู่ฟังอะไรที่บอกว่าหุ้นจะขึ้น ซื้อได้ก็จะชอบ
แต่ไม่ชอบฟังหรือหงุดทุกครั้งที่มีคนมาพูดว่าหุ้นจะตก ในทางกลับกันคนที่รอซื้อหุ้นต่ำๆ ก็ชอบฟังอะไรที่มันบ่งบอกว่าหุ้นจะตก
และชอบแย้งกับคนที่ออกมาบอกว่าหุ้นจะขึ้นทันที
*ตอนนี้*
หุ้นลงมานานหลายวันติด มีโอกาสรีบาวด์สูง สวนกับความกลัว Shut Down กรุงเทพ และสัปดาห์หน้าจะมีการตัดสินหลายคดี
คนพร้อมจะเทหุ้นได้ทุกเมื่อ หลายคนรีบชิงขายไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่จังหวะแบบนี้แหละยิ่งมีโอกาสที่เราจะได้เห็นหุ้นรีบาวด์สูงมาก
ช่วงที่ไม่มีใครกล้าแย่งซื้อ มีแต่คนพร้อมเท เพราะความกลัว Shut Down กรุงเทพ
ถ้าหุ้นมีโอกาสรีบาวด์ได้จริง อย่าชะล่าใจ อย่าลืมการมองกรอบไทม์เฟรมกว้างๆ อย่าหลงไปกับแสงสีเขียว และอย่าฝืนกับความเป็นจริง																															
						 
												
						
					
รอเข้าแถว 1000 - 1150 เท่านั้น อย่าฝืน มีโอกาสลงได้อีกหลายร้อยจุด
1. ด้านเทคนิค
กราฟอยู่ในเทรนด์ขาลงชัดเจน ตีเทรนด์ไลน์แนวรับถัดไปอยู่แถว 1150 กรอบไทม์เฟรมระยะกลางเกิดเกาะลอยขึ้นมา
มีโอกาสได้ลงได้อีกอย่างน้อยๆ 1 เท่าที่ลงมา ยังไม่นับรวมช่วงซึม Sideway Down ที่อาจทอดระยะเวลายาวนานเป็นหลายเดือนหรือหลายปี
2. ด้านกระแสเงินทุน
ต่างชาติทยอยขายมาต่อเนื่องที่ดัชนีแถวนี้ มากกว่า +- 100 จุด ดังนั้นไม่มีทางที่ต่างชาติจะมาเข้าซื้อแถวนี้แน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์
แล้วหุ้นที่ต่างชาติขายมีปริมาณมาก ทำให้ต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะขายหมด ไม่ใช่ว่าขายแค่ 1500 หรือ 1400 แต่โซนขายกว้าง
อาจตั้งแต่ 1000 - 1600 ดังนั้นคิดต่อเอาเองว่าขายหมด ต่อไปอยากกลับมาซื้อใหม่เขาจะซื้วแถวไหน
ถ้าคุณเป็นคนขายหุ้น ขายไปแถวนี้ จะรับกลับที่ราคาเดิมหรือแพงกว่าหรือไม่ ไม่แน่นอน คุณก็คงรอหรือพยายามทุบให้มันถูกกว่าเดิม
3. ด้านพื้นฐาน
ที่ผ่านราคาหุ้นมันสะท้อนพื้นฐานร่วงหน้าไปหมดแล้ว อย่ายึดติดกับตัวเลขเดิมๆ ในช่วงหุ้นขาขึ้น แต่ให้มองไปที่อนาคต
ต่อให้หุ้นพื้นฐานแกร่งแค่ไหน มีโอกาสเติบดตแค่ไหน แต่ถ้าเจอตลาดไม่อำนวยหรือเศรฐกิจภาพรวมกดดัน ก็จะไม่มีหุ้นตัวไหนไปรอด
เกิดวิกฤติใหญ่ๆ หลายครั้งที่ผ่านมา ทำไมหุ้นดีๆ ราคาตกกันหมด อย่าคิดว่าหุ้นเราเจ๋งแล้วจะเทพกว่าตลาด ยอมรับความจริงซะ
4. ด้านเศรษฐกิจ
แม้ว่าประเทศเราจะไม่เกิดฟองสบู่แตก แต่ช่วงที่ผ่านมามันก็คล้ายกับผ่านช่วงฟองสบู่พองมาแล้ว ดังนั้นช่วงนี้จึงเหมือนช่วงเจาะระบายแรงดัน
ซึ่งสะท้อนมาโดยตัวเลขทางเศรฐกิจต่างๆ และมีโอกาสจะใช้เวลานานหลายปีกว่าจะสามารถอัดลมเข้าไปใหม่ได้
ปีหน้าแม้คาดว่าตัวเลขจะดีขึ้น แต่จากความไม่นอนทางการเมือง ก็มีโอกาสที่จะแย่ลงมากกว่าปีนี้ก็เป็นได้
5. ด้านการเมือง
การเมืองจะเป็นตัวกดดันตลาดและเศรฐกิจภาพรวมทั้งประเทศ อย่าคิดว่าไม่กระทบ กระทบแน่นอน และจะค่อยๆ ชอนไชระบบเศรฐกิจและความเชื่อมั่นไปเรื่อยๆ
จนในที่สุดปัญหาอื่นๆ จะตามมาเป็นลูกโซ่ เช่นการจับจ่ายน้อยลง นักลงทุนกังวลจนไม่กล้าลงทุนใหม่ๆ สุดท้ายมันจะลากเอาทุกอย่างลงหลุมดำเหมือนกันหมด
ณ จุดนี้ ความต้องการของกลุ่มที่ชุมนมดูจะเกินเหตุและความพอดีจนน่าสงสัยในความต้องการที่แท้จริง
ส่วนรัฐบาลก็ใช้วิธีนิ่งเฉยไม่ตอบโต้จนทำให้ประเทศดูไร้ขื่อแปร ไร้กฎหมายควบคุม จนกระทบต่อความเชื่อมั่นขั้นรุนแรง
เหตุการณ์ในช่วง 2-3 เดือนจากนี้ ต่อให้มีการเลือกตั้ง ก็ไม่สงบเพราะฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยจะต้องออกมากระทำการบางอย่างแน่นอน
หรือถ้าฝ่ายต่อต้านได้ทำตามที่เรียกร้องมาทั้งหมด นั่นหมายความว่าระบบต่างๆ ภายในประเทศจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่
และใช้เวลานาน ซึ่งจะเกิดภาวะสูญญากาศ สภาพที่เชื่อว่าไม่มีใครกล้าเสี่ยงที่จะลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ
อะไรจะมาเป็นระบบปกครองประเทศแบบใหม่ แต่กว่าจะไปถึงขั้น ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยจะต้องเกิดการรวมตัว
สุดท้ายการเผชิญหน้าจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นปี ใช้เวลาสะสมความเกลียดชังไปเรื่อยๆ
ค่อยๆ กล่อมประสาทให้ซึมซับไปเรื่อยๆ จนในที่สุด คนไทยทั้งสองฝ่ายจะลุกขึ้นมาต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ว่าจะออกมาหน้าไหน ก็มีความเสี่ยงสูงทั้งสองด้าน ยังไม่นับรวมระเบิดเวลาที่ถูกฝังเอาไว้เรื่อยๆ
อย่างอาทิตย์หน้าก้จะมีการตัดสินคดีความต่างๆ หลายคดี ซึ่งแต่ละเรื่องนำมาทุบหุ้นได้สบายๆ
โดยเฉพาะในอารมณ์แบบนี้ อารมณ์ผวาแบบนี้ สะกิดนิดเดียวก็ตกใจแล้ว
ยังไม่นับรวมเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นอีกหลายเหตุการณ์ นักลงทุนต้องไปวิเคราะห์ต่อว่ามีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนอะไรได้บ้าง
เช่นแผ่นดินไหว ภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ หรือสิ่งเหนือความคาดหมาย เป็นต้น ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง ลงหนักหน่วงแน่นอน
-- ภาพรวม --
อย่าคิดว่ามันจะเด้งปรู๊ดปร๊าดภายใน 1-2 เดือนนี้ เตรียมใจไว้เลย ใครทนไม่เก่ง รอไม่เป็นรับรองถูกถีบออกจากตลาดหุ้นแน่
รอบนี้อย่าคิดว่าแน่ อย่าคิดว่าเงินเย็น ไม่เป็น ทนได้มั๊ย พอร์ตติดลบ 50% ยาวนาน 2-3 ปี จู่ๆ
วันดีคืนดีเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาต้องใช้เงินเร่งด่วนจะทำยังไง
ดูภาพกว้างๆ จะพบว่าใครที่ซื้อหุ้นมา ขาดทุนทุกคนเพราะกราฟไหลงลงเรื่อยๆ แม้จะมีกระตุกบ้างบางช่วง สุดท้ายก็ลงต่ำกว่าเดิม
ช่วงนี้ไม่ใช่เวลาสะสม แต่เป็นช่วงรอและเฝ้าดูเท่านั้น เล่นรอบก็ไม่ต้องเล่น เพราะถ้าเล่นติดเล่นหลายรอบโอกาสเสียจะมีมากกว่า อยู่นิ่งจะดีที่สุด
พยายามมองภาพกว้างๆ ถอยหลังไปสักนิดแล้วจะเห็นว่ากราฟหุ้นมันกำลังจะดิ่ง ไม่น้อยกว่าที่มันลงผ่านมา แต่มันจะใช้เวลา
อย่าติดหุ้นต้องเทรดทุกวัน สุดท้ายจะไม่เงินให้เทรด อะไรที่เสียแล้วให้ตัดใจ ตัดใจอย่างเดียว อย่าถลำลึก อย่าคิดเอาคืนเด็ดขาด
ตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาของเรา จงอดทนรอ รอจังหวะเอาคืนจากตลาดหุ้นใหม่
ระยะใกล้ๆ 1-2 สัปดาห์นี้
--------------------------
มีโอกาสีบาวด์ สั้นๆ แค่สั้นๆ เท่านั้น อาจไม่ถึง 1 ใน 3 ของที่ลงมารอบล่าสุดด้วยซ้ำ ถ้ามีกำไรหาจังหวะเทค ปรับพอร์ต ลดขนาด กำเงินสดให้มากที่สุด
ตัวไหนดูแย่ ต้องคัทบ้าง ยอมเจ็บ ยอมตัดเนื้อร้ายทิ้ง อย่าฝืน อย่าคิดไปเอง
ต่อไปตลาดมีโอกาส Sideway สูง คือหลอกให้พวกนึงคิดว่าลงสุดแล้ว แล้วเข้าไปซื้อสุดท้ายติด
กับหลอกพวกที่รอข้างล่าง ทำเหมือนจะลงสุดท้ายไม่ลง จนกล้าเข้า สุดท้ายกวาดหมดจัดหนักลงตูมเดียว แต่ยังไม่ใช่ช่วงนี้
นักลงทุนส่วนใหญ่จะแพ้ 2 อย่าง
----------------------------------
1. แพ้ใจตัวเอง 2. แพ้เรื่องเวลา ตลาดจะใช้เวลามาก มากซะจนหลายคนถอดใจ มากซะจนเกิดความลังเลซื้อๆ ขายๆ จนทุนหมด
บางคนทนขาดทุนได้มานาน ดูพอร์ตติดลบมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ควรจะคัทตั้งแต่ 3-5% แต่ใจแข็ง สุดท้ายมาทนไม่ไหวคัทแถว 50-80%
พอหุ้นรีบวด์ทางเทคนิคสั้นๆ แห่เข้าใหม่เพราะคิดว่าขึ้นแล้ว สุดท้ายลงอีกรอบ ขาดทุนอีกรอบ วนเวียนแบบนี้จนหมดตัวแล้วก็ออกจากตลาดไป
ช่วงนี้หลายคนหันไปรับแนวความคิด "ทฤษฎีผลประโยชน์" กันมาก
----------------------------------------------------------------------
อาจเพราะต้องการมั่นใจในการซื้อหุ้นช่วงนี้ เพราะคิดว่ามันจะเด้งแล้ว
หรือตัวเองติดหุ้นอยู่ ต้องการหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองให้ตัวสบายใจก็ตามที
ทฤษฎี หรือแนวความคิดนี้ ถ้าพวกคุณเชื่อตามทฤษฎีนี้กันมาก ทฤษฎีนี้ก็จะให้ผลตรงกันข้ามกับความเชื่อของคุณทันที
ตอนนี้คุณอาจคิดว่า 97% ขาย 3% ซื้ออยู่ คุณเลยคิดว่าได้เวลาเก็บของแล้วและมันจะขึ้นแน่นอน
แล้วถ้ามีคนคิดแบบคุณมากๆ แทนที่คุณจะอยู่ในพวก 3% กลายเป็นว่าคุณเข้าไปอยู่ในกลุ่ม 97% โดยที่คุณเองก็ไม่รู้ตัว
+เมทริกซ์ซ้อนเมทริกซ์+
เหมือนคุณคิดว่าตัวเองอยู่นอกเมทริกซ์ แต่ความจริงคุณอยู่ในเมทริกซ์ซ้อนเมทริกซ์อีกทีนึงโดยที่ไม่รู้
อย่าใช้เครื่องมือหรือแนวความคิดใดมาเป็นตัวกำนดการซื้อขายหุ้นเพียงตัวเดัยว และอย่าให้น้ำหนักเกินความน่าจะเป็น
พยายามแยกเครื่องมือหรือแนวความคิดออกมา จดเอาไว้ก็ได้ เช่นพื้นฐานหุ้น สภาพเศรษฐกิจ การเมือง แนวโน้มอนาคต
แนวความคิดของเม่าตามเว็บต่างๆ แยกออกมาแล้วกำหนดว่าควรจะให้น้ำหนักกับสิ่งไหนเท่าไหร ไม่จำเป็นต้องให้เท่ากัน
สุดท้ายนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ดูว่าเหมาะสมที่จะซื้อได้หรือยัง คิดแล้วจดเอาไว้ นำมาทบทวนและดูผลลัพท์เรื่อยๆ
มันไม่สูตรตายตัว มีแค่คุณคนเดียวที่เข้าใจ ถ้าทำได้คุณก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ตัดความลำเอียงและการเข้าข้างตัวเองออก
หลายคนชอบเลือกที่จะเชื่ออะไรที่ตัวเองฟังแล้วสบายใจ เช่นถ้ามีหุ้นอยู่ฟังอะไรที่บอกว่าหุ้นจะขึ้น ซื้อได้ก็จะชอบ
แต่ไม่ชอบฟังหรือหงุดทุกครั้งที่มีคนมาพูดว่าหุ้นจะตก ในทางกลับกันคนที่รอซื้อหุ้นต่ำๆ ก็ชอบฟังอะไรที่มันบ่งบอกว่าหุ้นจะตก
และชอบแย้งกับคนที่ออกมาบอกว่าหุ้นจะขึ้นทันที
*ตอนนี้*
หุ้นลงมานานหลายวันติด มีโอกาสรีบาวด์สูง สวนกับความกลัว Shut Down กรุงเทพ และสัปดาห์หน้าจะมีการตัดสินหลายคดี
คนพร้อมจะเทหุ้นได้ทุกเมื่อ หลายคนรีบชิงขายไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่จังหวะแบบนี้แหละยิ่งมีโอกาสที่เราจะได้เห็นหุ้นรีบาวด์สูงมาก
ช่วงที่ไม่มีใครกล้าแย่งซื้อ มีแต่คนพร้อมเท เพราะความกลัว Shut Down กรุงเทพ
ถ้าหุ้นมีโอกาสรีบาวด์ได้จริง อย่าชะล่าใจ อย่าลืมการมองกรอบไทม์เฟรมกว้างๆ อย่าหลงไปกับแสงสีเขียว และอย่าฝืนกับความเป็นจริง