การเมืองคือขบวนการองค์ประกอบของการปกครองบ้านเมือง ซึ่งประกอบด้วย 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายอาณาจักร และฝ่ายศาสนจักร

ข้อมูลจาก FB

------
การเมืองคืออะไร ใครเข้าใจอย่างไร ก็สุดแท้แต่..

สำหรับฉัน การเมืองคือขบวนการองค์ประกอบของการปกครองบ้านเมือง ซึ่งประกอบด้วย 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายอาณาจักร และฝ่ายศาสนจักร

2 ฝ่ายต้องเกื้อหนุนกันและกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์ สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง การเมืองของบ้านเมืองใดปฏิเสธฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่น ปฏิเสธศาสนจักร สนับสนุนบำรุงบำเรออยู่แต่ฝ่ายอาณาจักร ก็ยากที่จะอยู่ได้อย่างมีประโยชน์สูงสุด สงบ หากจะปกครองอาณาประชาราษฎร์ให้อยู่ ก็ต้องใช้อำนาจบาตรใหญ่บังคับขู่เข็ญเอาด้วยกำลัง เช่นประเทศคอมมิวนิสต์ ที่ไม่มีศาสนา ผู้ปกครองก็ต้องมีอำนาจบาตรใหญ่มากๆ จึงจะปกครองอาณาประชาราษฎร์ให้อยู่ในอำนาจอย่างสงบได้ แต่หากเมื่อใดอำนาจของผู้ปกครองอ่อนแอ ประชาชนก็จะลุกฮือต่อต้านการปกครองนั้น ส่วนบ้านเมืองใดมีอาณาจักรและศาสนจักรเป็นเครื่องมือในการปกครอง อาณาประชาราษฎร์ก็จะอยู่ด้วยกันอย่างผ่อนคลาย สุข สงบ ได้ประโยชน์ตามความรู้ความสามารถของตนๆ แต่จะเป็นเช่นนี้ได้ ผู้ปกครองต้องเป็นผู้ทรงคุณธรรม เป็นต้นแบบของสังคมได้ เป็นที่ศรัทธาของอาณาประชาราษฎร์ ระบบการเมืองแบบนี้ เขามีมาตั้งแต่บางบรรณเนิ่นนานมาแล้ว แม้ปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่มีชื่อเรียกขานตามยุคสมัยว่า ระบบประชาธิปไตย ซึ่งก็มีข้อปลีกย่อยเพิ่มมา แต่มันก็หนีไม่พ้นคำว่าการเมืองอยู่ดี เหล่านี้คือความเข้าใจของฉัน ซึ่งผู้อื่นอาจเห็นไม่ตรงกันก็ไม่แปลก แต่ไม่ว่าการเมืองจะมีชื่อเรียกอย่างไร แต่จุดมุ่งหมายก็เพื่อ ความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความสงบสุขของประเทศ

หากการเมืองใด มีจุดมุ่งหมายหรือผลของการปกครอง ที่ตรงกันข้ามดังกล่าวมา นั่นแสดงว่าเป็นการเมืองที่ไม่ถูกต้อง จึงต้องเป็นหน้าที่ของอาณาจักร และศาสนจักรต้องออกมาแก้ไข ชี้แนะ บอกกล่าว ป้องกัน ดังต่อไปนี้

เมื่อรัชสมัยแผ่นดินพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 สมเด็จโตท่านทรงเห็นว่า พระเจ้าแผ่นดินทรงมีพระสนมกำนัลในมาก จึงกลัวว่าจะทรงลุ่มหลง ไม่ใส่ใจในราชกิจ จะถูกพิษของกามคุณครอบงำ วันหนึ่งในเวลากลางวันแสกๆ ท่านจึงเดินถือคบไฟที่จุดแล้ว เข้าไปในพระบรมมหาราชวัง พวกผู้คนข้าราชบริพาร เห็นแล้วต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันอึงมี่ ว่าเอ วันนี้สมเด็จท่านจะเล่นอะไรอีกน้า ว่าแล้วต่างพากันเข้าไปกราบบังคมทูลให้พระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ พระเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จออกมาดู ว่าสมเด้จโตทำอะไร พอทอดพระเนตรเห็นว่า สมเด็จโตยืนถือคบไฟอยู่เฉพาะหน้า พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงทราบได้ด้วยพระปรีชาญาณ แล้วทรงตรัสว่า อ้อ... ขรัวโต รู้แล้วหล่ะ ในวังนี้ไม่มืดมนหรอก กลับไปเถิด

กาลต่อมา เมื่อสิ้นแผ่นดินของรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 ซึ่งยังทรงพระเยาว์ ทรงมีพระชันษาได้ 15 ปี ก็ขึ้นครองราชย์ โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุญนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแทน ท่านเป็นผู้มีอำนาจมากในแผ่นดิน ถึงขนาดสั่งประหารชีวิตคนได้ดังพระเจ้าแผ่นดินกันเลย บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ต่างก็พากันเกรงกลัวอำนาจบารมี พวกชาวบ้านร้านตลาดก็พากันโจษจันกันว่า ดูท่าราชวงศ์จักรีจะสูญสิ้นเสียแน่แท้ แผ่นดินนี้คงตกเป็นของตระกูลบุญนาคเป็นแน่แล้ว

ฝ่ายสมเด็จโต เมื่อได้ฟังข่าวสารเรื่องโจษจันของชาวบ้านร้านตลาด ท่านจึงได้จุดคบไฟเข้าไปในจวนสมเด็จเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ในเวลากลางวัน ท่านก็ออกมารับหน้าจวน ก็นั่งกระยองยกมือไหว้ แล้วพูดขึ้นทันทีว่า กระผมขอรับรองว่า บ้านเมืองนี้จะไม่มืดมนดอกพระคุณเจ้า ขอให้สบายใจ เมื่อสมเด็จโตได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า ชาวบ้านร้านตลาดเขาโจษจันกันว่า บ้านเมืองนี้กำลังมืดมนยิ่งนัก ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้า ใครเป็นบ่าว อาตมาเลยจุดใต้มาหา เมื่อท่านเจ้าคุณรับรองกับอาตมา อาตมาก็จะเชื่อในคำปฏิญาณของท่าน ว่าแล้วท่านก็นำคบไฟที่จุดมาจุ่มลงในตุ่มน้ำล้างเท้าที่ตั้งอยู่ชานจวนนั้นจนดับ แล้วเดินทางกลับวัดระฆัง

แม้พระมหากัสสปะท่านก็อาศัยการเมือง เพื่อทำปฐมสังคายนา ในขณะเดียวกันการเมือง คือ พระเจ้าอชาตศัตรูก็ต้องอาศัยพระมหากัสสปะ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ของแคว้นมคธนับถือศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นเพื่อความมั่นคงของแว่นแคว้น พระราชาอชาตศัตรู เจ้ามคธ จึงต้องอิงอาศัยพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เป็นเครื่องผูกให้คนในแว่นแคว้นอยู่ด้วยกัยชนอย่างสงบสันติสุข พระพุทธศาสนาจึงอิงอาศัยการเมือง และการเมืองก็อิงอาศัยพระสงฆ์ในพุทธศาสนา โดยต่างเอื้อประโยชน์ของกันและกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน

ผู้ที่คิดจะทำให้พระพุทธศาสนาบริสุทธิ์ผุดผ่อง โดยแยกตัวออกจากการเมือง ให้สงฆ์ปกครองกันเองโดยไม่อาศัยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ผู้นั้นแหละหลงผิด ผู้คิดว่าสงฆ์ไม่ควรเกี่ยวข้องกับกฎหมายบ้านเมือง ผู้นั้นถือว่าเป็นคนคิดสั้น โง่เขลาเบาปัญญา ผู้นั้นเกิดมาเพื่อทำลายพระพุทธศาสนา เพราะเหตุที่มิได้ศึกษาความเป็นมาของพระพุทธศาสนาให้ถ่องแท้ว่า กว่าพระพุทธศาสนาจะมีมาได้ถึงวันนี้ เพราะการเมืองเป็นผู้อุปถัมภ์ทั้งนั้น

พุทธะอิสระ
๑๗/ธค./๕๖
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่