ผมจะแจกแจงความผิด + ออกความเห็น + ในสิ่งที่ศาลวินิจฉัย
(ซึ่งผมในมุมมองฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเห็นว่ารัฐบาลทำผิด) ดังนี้ครับ
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่ายังเป็นที่คลุมเครือระหว่าง ฝ่ายต่อต้าน vs. ฝ่ายหนุน รัฐบาลนะครับ
ประเด็นความขัดแย้งในเรื่องนี้
(A) ฝ่ายหนุนรัฐบาลมองว่าศาลไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินคดีนี้
(B) ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลบอกว่ายังไงรัฐบาลก็ทำผิดอยู่ดี
ซึ่งเราได้เห็นในบอร์ดนี้โพสโจมตีแต่ข้อ (A) มาเยอะแล้ว
ผมขอเสนอมุมมองในฝ่ายต่อต้านรัฐบาล (B) ของแจกแจงความผิดในเรื่องการแก้ที่มา สว ฉบับร่างใหม่นนี้นะครับ
(ขอใช้สิทธิ์แบบประชาธิปไตยเห็นต่างบ้างนะครับ ไมได้ชวนใครทะเลาะ)
เอาแบบเจาะใจกันเลยนะครับ ผมจะไม่ถกในประเด็นว่าศาลรัฐธรรมนูญมีสิทธิ์ตัดสินได้หรือไม่
เพราะมันจบไปแล้ว จะรับอำนาจศาลหรือไม่ก็มันก็จบไปทุกอย่างแล้ว
แต่ผมจะนำเสนอในมุมมองที่เราๆท่านๆมองเลยเนี่ย มันมีความผิดหรือเปล่า หรือแก้ไปแล้วจะมีรูรั่วยังไง
ลองพิจารณากันดูนะครับ
ประเด็นที่รัฐบาลผิดมีดังนี้
1. เสียบบัตรลงมติแทนกัน
---------------------------------------------------------------------
2. ร่างที่ใช้เคยตกลงกันไว้(ฉบับนายอุดมเดชและคณะเสนอ) กับร่างที่เอามาลงมติ(เพื่อจะนำไปทูลเกล้า) เนื้อหาได้ถูกเปลี่ยนแปลง
---------------------------------------------------------------------
3. มีการตัดสิทธิ์การแปรญัตติ(การคัดค้านร่าง) จาก สส อีก 57 คน โดยอ้างว่าเที่ยงคืน หมดเวลาพิจารณา ซึ่งศาลเห็นว่าใช้อำนาจเสียงข้างมากในระบบรัฐสภา ที่ได้มาโดยมิชอบ ปกติคือต้องแปรญัตติให้ครบก่อน(ซึ่ง สส 1 คน คิดเป็นตัวแทนของประชาชน 1.5 แสนคน เพราะฉะนั้นการจงใจสงวนการแปรญัตติ สส 57 คน เท่ากับรัฐบาลฉีกอำนาจรัฐธรรมนูญออกเป็นชิ้นๆแล้ว โดยการปิดปากเสียงของพี่น้องประชาชนไปถึง 8,550,000 คน ไม่ให้ออกความคิดเห็นโต้แย้งร่างนี้)
---------------------------------------------------------------------
4. การแก้ที่มา สว ผิดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐนูญปี 50 ได้ออกแบบมาเพื่อกำจัดจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญปี 40 ซึ่งผมจะอธิบายอย่างย่อก็คือ ฉบับ40 มีจุดอ่อนตรงที่มีการคลุกเคล้าส่วนผสมของสว ไม่หลากหลายอาชีพและครบทุกภาคส่ว ทำให้ขาดจุดความหลากหลายมาคอยตรวจสอบ สส พูดง่ายๆก็คือมีคนไม่กี่อาชีพที่มาเป็น สว และทำให้การออกความเห็นไม่รอบด้านจริงๆ ฉบับ50 เลยแก้ให้มี สว แบบ สรรหา ซึ่งกำหนดต้องที่มาจากแหล่งภาคส่วน ถือว่าเปิดโอกาสความเท่าเทียมเพื่อให้โอกาสแก่ประชาชนทุกภาคส่วนทุกสาขาอาชีพได้มีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ของสว.ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศได้อย่างรอบคอบ ที่ประกอบไปด้วย
- ภาควิชาการ
- ภาครัฐ
- ภาคเอกชน
- ภาควิชาชีพ
- ภาคอื่น
การแก้กฎหมายครั้งนี้เท่ากับว่าทำให้รัฐธรรมนูญกลับไปสู่ปัญหาเดิมคือขาดความหลากหลายและดุลพินิจของทุกภาคส่วนที่รอบด้าน
และผมขอวิเคราะห์(ความเห็นส่วนตัว) ข้อดีข้อเสียของ สว สรรหา-เลือกตั้ง ดังนี้ครับ
สว เลือกตั้ง หาเสียงยังไงดีครับ ไม่มีทุน
-> เข้าร่วมกับพรรคการเมืองสิเดี๋ยวพรรคการเมืองจะหนุนนายเองใช้ทุนหาเสียงจากพรรคการเมือง
เข้าร่วมพรรคการเมือง ไปแล้วเสียงแตกไม่ได้นะครับ เค้าจะเขี่ยคุณออกจากพรรค
-> หมดความเป็นกลาง ไม่มีอิสระทางความคิด
สว เลือกตั้ง ไม่ต้องมีประสบการณ์การทำงานแค่มี "ป๋าดัน" ช่วยหาเสียงก็ได้เป็นแล้ว (หรือเป็นคนมีตัง)
-> ได้คนไม่มีความสามารถจริงๆมา ถ้าป๋าจะดัน คนฐานะปานกลาง แต่มีความสามารถลงไม่ได้ นี่คือข้อจำกัดความจริงในการเลือกตั้งต้องมีทุนหนา
ลงจาก สส มาเป็น สว ได้ทันที ไม่ต้องรอเว้นวรรค 5 ปี
-> ที่เค้าให้เว้นวรรค 5 ปี เพื่อจะได้ผลัดความฝักไฝ่ข้างของตัวเองออกไปซะก่อน
ผัวเป็น สส เมียเป็น สว พิจารณานโยบายเงินกู้ 2.2 ล้านล้าน
-> เป็นผัวเมียกัน ออกเสียงโหวตเรื่องเดียวกัน เค้าเรียกมีผลประโยชน์ทับซ้อน
สว สรรหามีอายุแค่ 3 ปี สว เลือกตั้ง มีอายุถึง 6 ปี!!
-> ทีนี้หละควบอำนาจยาวคาบเส้น 4 ปีเลือกตั้งไปเลย ผมมองว่าข้อนี้ก็เป็นข้อด้อยของ สว เลือกตั้งนะ มันนานเกินไปจนทำให้เกิดการผู้กขาดเสียงข้างมากในระบบรัฐสภาได้หรือเปล่า เค้าเลยมี สว สรรหา มาทดรอง มาคานส่วนนี้
สว สรรหา คละ "อาชีพ"
-> มีความสามารถ คละ "อาชีพ" ที่ถูกเสนอชื่อพิจารณามารวมกัน จากความหลากหลายขององค์กรต่างๆที่เป็นฟันเผืองของประเทศ
สว สรรหา ไม่ต้องหาเสียง
-> ไม่ต้องมีตัง ก็เป็น สว ได้ ถ้ามีความสามารถ หรือเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองจริงๆ มีผลงานเป็นที่ประจักต่อสาธารณะ
สว สรรหา ไม่ต้องฝักไฝ่พรรคการเมือง ไม่ต้องมีนายทุนหนุนนหลัง ไม่มีคำว่าเงินมาค้ำคอการออกเสียง
-> ออกสิทธิ์เสียงในสภาได้อย่างอิรสะ ไม่ขึ้นกับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง
ฉบับเก่าก่อนแก้ พ้นตำแหน่งไปแล้ว เว้นวรรคอีก 5 ปี ถึงจะมาเป็นได้ (ฉบับแก้ใหม่ที่ศาลตัดสินว่าผิด ไม่ต้องเว้นวรรค สลัดคราบลงได้เลย)
-> ฉบับเก่าแสดงความบริสุทธิ์ใจในการผลัดเปลี่ยนคนมากกว่า ซึ่งฉบับร่างใหม่ คุณลงจาก สส คุณก็มาลง สว ต่อได้เลย
หลักๆ เอาง่ายๆนะครับ สว เลือกตั้ง มีตัง + connection ดี ก็ได้เป็นครับ ไม่ต้องมีประสบการณ์การทำงานเพื่อสังคมมาก่อน ก็ได้ แต่ถ้าสรรหา เค้าพิจารณ์จากผลงานสาธารณประโยชน์ที่ผ่านมา อันนี้ส่วนตัวมองว่านี่แหละคือจุดบอดของคุณสมบัตร สว เลือกตั้ง จะพาลได้คนทำงานไม่เป็น แต่เป็นพวกนายทุนแฝงตัวมาหาเสียง ลงเล่นการเมืองเปล่าๆ ไม่ได้มาบริหารแต่เข้ามาหาช่องทางเอื้อประโยชน์ตัวเอง
สว สรรหา ไม่ต้องใช้เงินค้ำคอในการออกเสียง เพราะไม่มีพรรคสังกัด สามารถแสดงความเห็นได้โดยอิสระเอาชาติเป็นที่ตั้ง ไม่ต้องกลัวไม่ถูกใจ ทำแต่ถูกต้องก็พอ
ผมมองว่ายังไงจุดบอดของการเลือกตั้งในสมัยนี้ก็คือ ถ้าไม่มีตังก็ลงไม่ได้นะครับ ไม่ใช่เอาเงินไปซื้เสียงนะ
ค่าใช้จ่ายหาเสียงส่วนอื่นๆมันก็มี ค่าป้าย ค่าลูกน้อง ค่าไปนั่นนี่หาเสียงลงพื้นที่ คุณจะเดินตัวเปล่าไปกราบเท้าพ่อแม่พี่น้องแบบเดิมๆมันทำไม่ได้ง่ายๆแล้ว เดี๋ยวการแข่งขันทาง marketing ของ สส/สว มันก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น ถ้าไม่มีเงิน คุณไปเอาเงินนายทุนคนอื่นมา เขาก็ต้องหว่านพืชหวังผลเอาเงินเขามาคุณก็ต้องเอื้อประโยชน์ให้เขา นี่คือสัจจธรรมครับ
---------------------------------------------------------------------
5. มีการแก้คุณสมบัติของสวใหม่
แก้จาก --> จาก สวที่ลงสมัครต้องไม่เป็นบุพการี คู่สมรส หรือบุตรของผู้ดำรงตำแหน่ง ส.ส.หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
แก้เป็น --> ปลดล๊อคจากข้อนี้ให้เป็นครอบครัวเดียวกัน มีความเกี่ยวเนื่องกันกับผู้ดำรงตำแหน่งให้สามารถลงสมัคร สว ได้ ซึ่งข้อนี้แหละที่เป็นประเด็นว่าจะเป็นสภาผัวเมียกัน เพราะว่า ผัวอยู่ สส เมียไปเป็น สว ก็ได้อีก ไม่ต้องศาลตัดสินว่าก็ได้คุณคิดดูมันจะยุ่งเหยิงแค่ไหน นี่มันคือการรวบอำนาจ ขาดความเป็นกลางลงไปเลย ผัวออกกฎหมาย เมียช่วยโหวตผ่าน มันก็นำไปสู่อำนาจผูกขาดทางการเมืองสิครับ ศาลก็มองเช่นเดียวกันว่า ร่างที่ถูกแก้ไปนั้นอาจนำไปสู่การใช้ระบบรัฐสภาออกเสียงโดยมีผลประโยชน์ทับซ้อนกันได้มีสิทธิ์ที่จะทำให้เกิดการฉ้อฉลในระบบรัฐสภาได้
แก้จาก --> สวที่ลงสมัครต้องไม่เป็นสมาชิกหรือผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองหรือเคยเป็นสมาชิกหรือเคยดำรงตำแหน่งและ พ้นตำแหน่งมาแล้วยังไม่เกิน 5 ปี
แก้จาก --> สวที่ลงสมัครต้องไม่เป็น ส.ส. หรือเคยเป็น ส.ส.และพ้นจากการเป็น ส.ส.มาแล้วไม่เกิน 5 ปี
แก้เป็น --> ถูกแก้เป็น ไม่ต้องเว้นวรรค ก็ลง สว ต่อได้ มันขาดความเป็นกลาง คุณออกมา ปชป คุณมาลง สว ได้ทันที่ คุณออกมาจาก พท คุณมาลง สว ได้ทันที มันจะขาดความเป็นกลาง เพราะคุณก็คือคนของพรรคๆหนึ่งที่จำแลงตัวเองไปอยู่อีกสภาก็แค่นั้น ข้อนี้ศาลมองว่า
รัฐธรรมนูญพ.ศ.2550 กำหนดให้รัฐสภา ประกอบด้วย 2 สภา คือ “สภาผู้แทนราษฎร และ วุฒิสภา ให้มีดุลยภาพต่างกัน” โดยกำหนดบทบาทของสว.ให้เป็นองค์กรกลั่นกรองการทำงานของสส.และถ่วงดุลอำนาจสส.โดยให้สว.ตรวจสอบถอดถอนสส.ได้ตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญ เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ให้สว.เป็นอิสระจากสส. อย่างแท้จริง จึงได้บัญญัติห้ามความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันดังกล่าว เพราะหากยอมให้สว.หรือสส.มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ย่อมไม่อาจหวังได้ว่าจะมีการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาอันเป็นการขัดกับหลักการดุลและคานอำนาจซึ่งกันและกัน อันเป็นหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ
6. นอกจากนี้ เนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 11 และ มาตรา 11/1 ยังขัดต่อรัฐธรรมนูญในเรื่องของกระบวนการตรากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสส.และสว.ที่จะบัญญัติขึ้นใหม่ “โดยรวบรัดให้มีการประกาศใช้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว โดยไม่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 141 ที่จะต้องส่งร่างกฎหมายดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญเสียก่อน” ซึ่งขัดกับหลักการคานและดุลอำนาจ อันเป็นหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทำให้ฝ่ายการเมืองสามารถออกกฎหมายได้ตามอำเภอใจโดยอาศัยเสียงข้างมากปราศจากการตรวจสอบ
--> คุณรวบรัดการแก้มันก็ผิดกฎหมายอยู่แล้ว มันไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบตามกฎหมาย และไม่มีการลงประชามติ
ผมมองว่ามันขัดแย้งกันนะครับที่บอกว่ามอบอำนาจให้ประชาชนเพราะ รัฐธรรมนูญปี 50 เนี่ยเค้าเปิดทำประชามตินะ แต่ร่างนี้รวบรัดตัดตอนแก้ๆ ปิดการแปรญัตติ แล้วโหวตเลย เพื่อนำทูลเกล้า พูดภาษีชาวบ้านก็คือมัดมือชกครับ
---------------------------------------------------------------------
**ความเห็นส่วนตัว ผมว่าการที่มี สว สรรหา มาถ่วงดุลก็ดีทำให้ประระบบรัฐสภาเกิดการถ่วงดุล และ สว สรรหา ก็เป็นอิสระจากพรรคการเมืองอย่างแท้จริง สามารถออกเสียงแตกแถวได้ โดยอิงความเห็นส่วนตัวไม่ต้องอิงกับพรรคการเมืองใดๆ แต่ประเด็นคือเป็นที่ครหาว่าเกิดจากการคัดเลือกของคนไม่กี่คน ซึ่งผมก็มองว่า ถ้างั้น คุณก็ไม้ต้องไปยกเลิก สว สรรหาหรอก แต่คุณเข้าไปมีส่วนร่วมช่วยกันแก้ปัญหาที่มาของการสรรหาสิ อาจจะเป็นจัดให้สาขาอาชีพต่างๆเลือกบุคคลที่เจ๋งๆมาแล้วประชาชนเลือกอีกทีก็ได้ อันนี้มันจะได้ไม่ขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ
อันนี้คือผมเอาคำวินิจฉัย + ความเห็นส่วนตัวใส่เข้าไป - ลบความอคติต่อรัฐบาลลงไปแล้วนะครับ
ว่ากันตามเนื้อผ้าเลย รัฐบาลผิดจริงครับ (ตามความเห็นผมนะ)
ปล. เชิญกระหน่ำได้เลยครับ
ไขความผิด การแก้ที่มา สว(จากฝ่ายคัดค้านรัฐบาล) ผิดจริงไม่จริง อย่างไร??
(ซึ่งผมในมุมมองฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเห็นว่ารัฐบาลทำผิด) ดังนี้ครับ
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่ายังเป็นที่คลุมเครือระหว่าง ฝ่ายต่อต้าน vs. ฝ่ายหนุน รัฐบาลนะครับ
ประเด็นความขัดแย้งในเรื่องนี้
(A) ฝ่ายหนุนรัฐบาลมองว่าศาลไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินคดีนี้
(B) ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลบอกว่ายังไงรัฐบาลก็ทำผิดอยู่ดี
ซึ่งเราได้เห็นในบอร์ดนี้โพสโจมตีแต่ข้อ (A) มาเยอะแล้ว
ผมขอเสนอมุมมองในฝ่ายต่อต้านรัฐบาล (B) ของแจกแจงความผิดในเรื่องการแก้ที่มา สว ฉบับร่างใหม่นนี้นะครับ
(ขอใช้สิทธิ์แบบประชาธิปไตยเห็นต่างบ้างนะครับ ไมได้ชวนใครทะเลาะ)
เอาแบบเจาะใจกันเลยนะครับ ผมจะไม่ถกในประเด็นว่าศาลรัฐธรรมนูญมีสิทธิ์ตัดสินได้หรือไม่
เพราะมันจบไปแล้ว จะรับอำนาจศาลหรือไม่ก็มันก็จบไปทุกอย่างแล้ว
แต่ผมจะนำเสนอในมุมมองที่เราๆท่านๆมองเลยเนี่ย มันมีความผิดหรือเปล่า หรือแก้ไปแล้วจะมีรูรั่วยังไง
ลองพิจารณากันดูนะครับ
ประเด็นที่รัฐบาลผิดมีดังนี้
1. เสียบบัตรลงมติแทนกัน
---------------------------------------------------------------------
2. ร่างที่ใช้เคยตกลงกันไว้(ฉบับนายอุดมเดชและคณะเสนอ) กับร่างที่เอามาลงมติ(เพื่อจะนำไปทูลเกล้า) เนื้อหาได้ถูกเปลี่ยนแปลง
---------------------------------------------------------------------
3. มีการตัดสิทธิ์การแปรญัตติ(การคัดค้านร่าง) จาก สส อีก 57 คน โดยอ้างว่าเที่ยงคืน หมดเวลาพิจารณา ซึ่งศาลเห็นว่าใช้อำนาจเสียงข้างมากในระบบรัฐสภา ที่ได้มาโดยมิชอบ ปกติคือต้องแปรญัตติให้ครบก่อน(ซึ่ง สส 1 คน คิดเป็นตัวแทนของประชาชน 1.5 แสนคน เพราะฉะนั้นการจงใจสงวนการแปรญัตติ สส 57 คน เท่ากับรัฐบาลฉีกอำนาจรัฐธรรมนูญออกเป็นชิ้นๆแล้ว โดยการปิดปากเสียงของพี่น้องประชาชนไปถึง 8,550,000 คน ไม่ให้ออกความคิดเห็นโต้แย้งร่างนี้)
---------------------------------------------------------------------
4. การแก้ที่มา สว ผิดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐนูญปี 50 ได้ออกแบบมาเพื่อกำจัดจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญปี 40 ซึ่งผมจะอธิบายอย่างย่อก็คือ ฉบับ40 มีจุดอ่อนตรงที่มีการคลุกเคล้าส่วนผสมของสว ไม่หลากหลายอาชีพและครบทุกภาคส่ว ทำให้ขาดจุดความหลากหลายมาคอยตรวจสอบ สส พูดง่ายๆก็คือมีคนไม่กี่อาชีพที่มาเป็น สว และทำให้การออกความเห็นไม่รอบด้านจริงๆ ฉบับ50 เลยแก้ให้มี สว แบบ สรรหา ซึ่งกำหนดต้องที่มาจากแหล่งภาคส่วน ถือว่าเปิดโอกาสความเท่าเทียมเพื่อให้โอกาสแก่ประชาชนทุกภาคส่วนทุกสาขาอาชีพได้มีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ของสว.ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศได้อย่างรอบคอบ ที่ประกอบไปด้วย
- ภาควิชาการ
- ภาครัฐ
- ภาคเอกชน
- ภาควิชาชีพ
- ภาคอื่น
การแก้กฎหมายครั้งนี้เท่ากับว่าทำให้รัฐธรรมนูญกลับไปสู่ปัญหาเดิมคือขาดความหลากหลายและดุลพินิจของทุกภาคส่วนที่รอบด้าน
และผมขอวิเคราะห์(ความเห็นส่วนตัว) ข้อดีข้อเสียของ สว สรรหา-เลือกตั้ง ดังนี้ครับ
สว เลือกตั้ง หาเสียงยังไงดีครับ ไม่มีทุน
-> เข้าร่วมกับพรรคการเมืองสิเดี๋ยวพรรคการเมืองจะหนุนนายเองใช้ทุนหาเสียงจากพรรคการเมือง
เข้าร่วมพรรคการเมือง ไปแล้วเสียงแตกไม่ได้นะครับ เค้าจะเขี่ยคุณออกจากพรรค
-> หมดความเป็นกลาง ไม่มีอิสระทางความคิด
สว เลือกตั้ง ไม่ต้องมีประสบการณ์การทำงานแค่มี "ป๋าดัน" ช่วยหาเสียงก็ได้เป็นแล้ว (หรือเป็นคนมีตัง)
-> ได้คนไม่มีความสามารถจริงๆมา ถ้าป๋าจะดัน คนฐานะปานกลาง แต่มีความสามารถลงไม่ได้ นี่คือข้อจำกัดความจริงในการเลือกตั้งต้องมีทุนหนา
ลงจาก สส มาเป็น สว ได้ทันที ไม่ต้องรอเว้นวรรค 5 ปี
-> ที่เค้าให้เว้นวรรค 5 ปี เพื่อจะได้ผลัดความฝักไฝ่ข้างของตัวเองออกไปซะก่อน
ผัวเป็น สส เมียเป็น สว พิจารณานโยบายเงินกู้ 2.2 ล้านล้าน
-> เป็นผัวเมียกัน ออกเสียงโหวตเรื่องเดียวกัน เค้าเรียกมีผลประโยชน์ทับซ้อน
สว สรรหามีอายุแค่ 3 ปี สว เลือกตั้ง มีอายุถึง 6 ปี!!
-> ทีนี้หละควบอำนาจยาวคาบเส้น 4 ปีเลือกตั้งไปเลย ผมมองว่าข้อนี้ก็เป็นข้อด้อยของ สว เลือกตั้งนะ มันนานเกินไปจนทำให้เกิดการผู้กขาดเสียงข้างมากในระบบรัฐสภาได้หรือเปล่า เค้าเลยมี สว สรรหา มาทดรอง มาคานส่วนนี้
สว สรรหา คละ "อาชีพ"
-> มีความสามารถ คละ "อาชีพ" ที่ถูกเสนอชื่อพิจารณามารวมกัน จากความหลากหลายขององค์กรต่างๆที่เป็นฟันเผืองของประเทศ
สว สรรหา ไม่ต้องหาเสียง
-> ไม่ต้องมีตัง ก็เป็น สว ได้ ถ้ามีความสามารถ หรือเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองจริงๆ มีผลงานเป็นที่ประจักต่อสาธารณะ
สว สรรหา ไม่ต้องฝักไฝ่พรรคการเมือง ไม่ต้องมีนายทุนหนุนนหลัง ไม่มีคำว่าเงินมาค้ำคอการออกเสียง
-> ออกสิทธิ์เสียงในสภาได้อย่างอิรสะ ไม่ขึ้นกับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง
ฉบับเก่าก่อนแก้ พ้นตำแหน่งไปแล้ว เว้นวรรคอีก 5 ปี ถึงจะมาเป็นได้ (ฉบับแก้ใหม่ที่ศาลตัดสินว่าผิด ไม่ต้องเว้นวรรค สลัดคราบลงได้เลย)
-> ฉบับเก่าแสดงความบริสุทธิ์ใจในการผลัดเปลี่ยนคนมากกว่า ซึ่งฉบับร่างใหม่ คุณลงจาก สส คุณก็มาลง สว ต่อได้เลย
หลักๆ เอาง่ายๆนะครับ สว เลือกตั้ง มีตัง + connection ดี ก็ได้เป็นครับ ไม่ต้องมีประสบการณ์การทำงานเพื่อสังคมมาก่อน ก็ได้ แต่ถ้าสรรหา เค้าพิจารณ์จากผลงานสาธารณประโยชน์ที่ผ่านมา อันนี้ส่วนตัวมองว่านี่แหละคือจุดบอดของคุณสมบัตร สว เลือกตั้ง จะพาลได้คนทำงานไม่เป็น แต่เป็นพวกนายทุนแฝงตัวมาหาเสียง ลงเล่นการเมืองเปล่าๆ ไม่ได้มาบริหารแต่เข้ามาหาช่องทางเอื้อประโยชน์ตัวเอง
สว สรรหา ไม่ต้องใช้เงินค้ำคอในการออกเสียง เพราะไม่มีพรรคสังกัด สามารถแสดงความเห็นได้โดยอิสระเอาชาติเป็นที่ตั้ง ไม่ต้องกลัวไม่ถูกใจ ทำแต่ถูกต้องก็พอ
ผมมองว่ายังไงจุดบอดของการเลือกตั้งในสมัยนี้ก็คือ ถ้าไม่มีตังก็ลงไม่ได้นะครับ ไม่ใช่เอาเงินไปซื้เสียงนะ
ค่าใช้จ่ายหาเสียงส่วนอื่นๆมันก็มี ค่าป้าย ค่าลูกน้อง ค่าไปนั่นนี่หาเสียงลงพื้นที่ คุณจะเดินตัวเปล่าไปกราบเท้าพ่อแม่พี่น้องแบบเดิมๆมันทำไม่ได้ง่ายๆแล้ว เดี๋ยวการแข่งขันทาง marketing ของ สส/สว มันก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น ถ้าไม่มีเงิน คุณไปเอาเงินนายทุนคนอื่นมา เขาก็ต้องหว่านพืชหวังผลเอาเงินเขามาคุณก็ต้องเอื้อประโยชน์ให้เขา นี่คือสัจจธรรมครับ
---------------------------------------------------------------------
5. มีการแก้คุณสมบัติของสวใหม่
แก้จาก --> จาก สวที่ลงสมัครต้องไม่เป็นบุพการี คู่สมรส หรือบุตรของผู้ดำรงตำแหน่ง ส.ส.หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
แก้เป็น --> ปลดล๊อคจากข้อนี้ให้เป็นครอบครัวเดียวกัน มีความเกี่ยวเนื่องกันกับผู้ดำรงตำแหน่งให้สามารถลงสมัคร สว ได้ ซึ่งข้อนี้แหละที่เป็นประเด็นว่าจะเป็นสภาผัวเมียกัน เพราะว่า ผัวอยู่ สส เมียไปเป็น สว ก็ได้อีก ไม่ต้องศาลตัดสินว่าก็ได้คุณคิดดูมันจะยุ่งเหยิงแค่ไหน นี่มันคือการรวบอำนาจ ขาดความเป็นกลางลงไปเลย ผัวออกกฎหมาย เมียช่วยโหวตผ่าน มันก็นำไปสู่อำนาจผูกขาดทางการเมืองสิครับ ศาลก็มองเช่นเดียวกันว่า ร่างที่ถูกแก้ไปนั้นอาจนำไปสู่การใช้ระบบรัฐสภาออกเสียงโดยมีผลประโยชน์ทับซ้อนกันได้มีสิทธิ์ที่จะทำให้เกิดการฉ้อฉลในระบบรัฐสภาได้
แก้จาก --> สวที่ลงสมัครต้องไม่เป็นสมาชิกหรือผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองหรือเคยเป็นสมาชิกหรือเคยดำรงตำแหน่งและ พ้นตำแหน่งมาแล้วยังไม่เกิน 5 ปี
แก้จาก --> สวที่ลงสมัครต้องไม่เป็น ส.ส. หรือเคยเป็น ส.ส.และพ้นจากการเป็น ส.ส.มาแล้วไม่เกิน 5 ปี
แก้เป็น --> ถูกแก้เป็น ไม่ต้องเว้นวรรค ก็ลง สว ต่อได้ มันขาดความเป็นกลาง คุณออกมา ปชป คุณมาลง สว ได้ทันที่ คุณออกมาจาก พท คุณมาลง สว ได้ทันที มันจะขาดความเป็นกลาง เพราะคุณก็คือคนของพรรคๆหนึ่งที่จำแลงตัวเองไปอยู่อีกสภาก็แค่นั้น ข้อนี้ศาลมองว่า
รัฐธรรมนูญพ.ศ.2550 กำหนดให้รัฐสภา ประกอบด้วย 2 สภา คือ “สภาผู้แทนราษฎร และ วุฒิสภา ให้มีดุลยภาพต่างกัน” โดยกำหนดบทบาทของสว.ให้เป็นองค์กรกลั่นกรองการทำงานของสส.และถ่วงดุลอำนาจสส.โดยให้สว.ตรวจสอบถอดถอนสส.ได้ตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญ เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ให้สว.เป็นอิสระจากสส. อย่างแท้จริง จึงได้บัญญัติห้ามความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันดังกล่าว เพราะหากยอมให้สว.หรือสส.มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ย่อมไม่อาจหวังได้ว่าจะมีการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาอันเป็นการขัดกับหลักการดุลและคานอำนาจซึ่งกันและกัน อันเป็นหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ
6. นอกจากนี้ เนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 11 และ มาตรา 11/1 ยังขัดต่อรัฐธรรมนูญในเรื่องของกระบวนการตรากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสส.และสว.ที่จะบัญญัติขึ้นใหม่ “โดยรวบรัดให้มีการประกาศใช้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว โดยไม่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 141 ที่จะต้องส่งร่างกฎหมายดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญเสียก่อน” ซึ่งขัดกับหลักการคานและดุลอำนาจ อันเป็นหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทำให้ฝ่ายการเมืองสามารถออกกฎหมายได้ตามอำเภอใจโดยอาศัยเสียงข้างมากปราศจากการตรวจสอบ
--> คุณรวบรัดการแก้มันก็ผิดกฎหมายอยู่แล้ว มันไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบตามกฎหมาย และไม่มีการลงประชามติ
ผมมองว่ามันขัดแย้งกันนะครับที่บอกว่ามอบอำนาจให้ประชาชนเพราะ รัฐธรรมนูญปี 50 เนี่ยเค้าเปิดทำประชามตินะ แต่ร่างนี้รวบรัดตัดตอนแก้ๆ ปิดการแปรญัตติ แล้วโหวตเลย เพื่อนำทูลเกล้า พูดภาษีชาวบ้านก็คือมัดมือชกครับ
---------------------------------------------------------------------
**ความเห็นส่วนตัว ผมว่าการที่มี สว สรรหา มาถ่วงดุลก็ดีทำให้ประระบบรัฐสภาเกิดการถ่วงดุล และ สว สรรหา ก็เป็นอิสระจากพรรคการเมืองอย่างแท้จริง สามารถออกเสียงแตกแถวได้ โดยอิงความเห็นส่วนตัวไม่ต้องอิงกับพรรคการเมืองใดๆ แต่ประเด็นคือเป็นที่ครหาว่าเกิดจากการคัดเลือกของคนไม่กี่คน ซึ่งผมก็มองว่า ถ้างั้น คุณก็ไม้ต้องไปยกเลิก สว สรรหาหรอก แต่คุณเข้าไปมีส่วนร่วมช่วยกันแก้ปัญหาที่มาของการสรรหาสิ อาจจะเป็นจัดให้สาขาอาชีพต่างๆเลือกบุคคลที่เจ๋งๆมาแล้วประชาชนเลือกอีกทีก็ได้ อันนี้มันจะได้ไม่ขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ
อันนี้คือผมเอาคำวินิจฉัย + ความเห็นส่วนตัวใส่เข้าไป - ลบความอคติต่อรัฐบาลลงไปแล้วนะครับ
ว่ากันตามเนื้อผ้าเลย รัฐบาลผิดจริงครับ (ตามความเห็นผมนะ)
ปล. เชิญกระหน่ำได้เลยครับ