กปปส. ปกาสิต ออกมา เสียงก้อง ยุบสภา ไม่พอ ต้องไม่มีการเลือกตั้ง ไม่มีรัฐบาลรักษาการ ปชป. ... เงียบ ...

กระทู้สนทนา
"เสียงดังกว่า"ลากไป โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ  คอลัมน์ ที่เห็นและเป็นไป  โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ

หากมองความเป็นไปทางการเมือง ณ ขณะนี้ จะพบว่ามีความพยายามที่จับต้องได้ ในทางที่จะนำ
ไปสู่การปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองครั้งใหญ่ โดยกีดกันนักการเมืองในปัจจุบันออกไป

หรือถ้าจะพูดให้ตรงไปตรงมาคือ ตั้งสภาประชาชน และรัฐบาลแห่งชาติ ซึ่งแม้จะเป็นชื่ออื่นแต่
เนื้อหาจะเป็นไปทำนองนี้

หากติดตามแนวคิดของทั้งจาก

องค์กรที่มีหน้าที่บทบาทตามกฎหมาย ทั้งองค์กรอิสระต่างๆ ศาล สมาชิกวุฒิสภาบางส่วน ที่ชัดเจน
คือพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมอกพร้อมใจกันที่จะผลักดัน

สถาบันที่มีบทบาทในการชี้นำกระแสสังคม อย่างผู้บริหารมหาวิทยาลัย องค์กรธุรกิจพยายามนำ
เสนอไปในทางเดียวกันนั้น

พร้อมเพรียงเหมือนกับมีการทำความเข้าใจ พูดคุยกันไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ว่าทางออกของประเทศไทย
คือปรับโครงสร้างทางการเมืองใหม่

สำหรับ "ระบอบทักษิณ"Ž นั้นน่าจะเป็นเพียงวาทกรรมที่เอื้อประโยชน์ให้พรรคประชาธิปัตย์ เพราะเอาเข้า
จริงความหมายก็คือ ระบอบการเมืองแบบทุนนิยมเข้ามายึดกุมอำนาจรัฐด้วยการอาศัยระบอบรัฐสภาเป็น
ช่องทาง


ซึ่งว่าไปทุกพรรคการเมืองไม่ว่าพรรคไหน แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อมาเป็นรัฐบาลก็ต้องบริหาร
จัดการด้วยกลไกทุนนิยมเช่นนี้ทั้งนั้น

ทว่าชั่วโมงนี้ คำว่า ระบอบทักษิณŽ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องรับผิดชอบต่อความพิกลพิการ
ของประชาธิปไตยแบบไทยเช่นที่ว่านั้น

การปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองเป็นเรื่องไม่น่าห่วง สมควรจะสนับสนุนให้เกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ

เพียงแต่เท่าที่ติดตามฟังความคิดของฝ่ายต่างๆ มีแนวโน้มที่จะออกมา

หาทางคุยกันในหมู่คนที่เรียกว่าชนชั้นนำของประเทศ แล้ววางเป็นภารกิจเป็นเป้าหมายออกมาว่า
ทำอย่างไรจะได้โครงสร้างทางการเมืองเหมือนแบบกลุ่มตัวเองชอบ

หลังจากนั้น มาหาทางจัดการกับกฎหมาย กติกาต่างๆให้สนองรับความต้องการของฝ่ายตัวเอง

"กฎหมายเป็นเรื่องเล็ก ตีความให้มาเข้ากับสิ่งที่อยากให้เป็นได้Ž คือความคิดของคนกลุ่มนี้"

ซึ่งนี่เป็นวิธีคิดที่เป็นปัญหา

เป็นเรื่องถูกต้องอยู่ เป้าหมายย่อมสำคัญ แต่วิธีการที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น ต้องรอบคอบอย่างยิ่ง

"ระบอบทักษิณ"Ž ที่โจมตีกันอยู่ เรื่องหนึ่งที่พยายามบอกว่ารับไม่ได้ก็คือ "การทำให้บรรลุเป้าหมาย
โดยไม่เลือกวิธีการ


เมื่อใช้จุดนี้โจมตีฝ่ายตรงกันข้าม "กลุ่มที่ถือว่าตัวเองเป็นชนชั้นนำ"Ž ก็ไม่ควรจะใช้วิธีเดียวกันมาจัดการ

เพราะหากทำเช่นนั้นจะเป็นเหตุผลให้กลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยหยิบยกขึ้นมาโจมตีได้เช่นกัน

และจะทำให้เกิดการต่อสู้กันอย่างไม่มีวันจบ เหมือนที่เกิดขึ้นแล้วชัดเจนที่สุดคือในหมู่สถาบันการศึกษา
ที่ทั้งนักศึกษาและอาจารย์ออกมาตั้งคำถามกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยว่าใช้สิทธิอะไรที่จะนำชื่อของมหาวิทยาลัยไปอ้าง

โดยไม่ฟังเสียงของประชากรคนอื่น

ความเป็น "ผู้นำ"Ž หรือ "คนชั้นนำŽ" ในสถาบันต่างๆ

กำลังถูกท้าทายจากผู้ที่ถูกมองว่าเป็น "ชนชั้นตาม"Ž หรือ "ชนชั้นล่าง"Ž

ดังนั้น แม้การปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองจะเป็นเรื่องที่สมควรทำ แต่แนวทางปฏิรูปที่เกิดจากความ
คิดว่า พวกตนเป็นคนชั้นนำŽ ควรจะเป็นผู้กำหนด บางทีจะสร้างปัญหาให้เกิดขึ้น


เพราะเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของประเทศ อาจจะถูกปลุกขึ้นมาไม่ให้ยอมรับ
การนำที่เห็นแก่ประโยชน์ของพวกตัวเองของ คนชั้นนำŽ เหล่านั้น

จะแน่ใจอย่างไรว่า เสียงของชนชั้นนำจะดังกว่าเสียงของคนอื่นได้ตลอดไปŽ

ประเทศควรจะไปในทิศทางที่ฟังเสียงของ คนส่วนใหญ่Ž มากกว่าที่จะดำเนินไปด้วยกลุ่มคนที่
"เสียงดังกว่า"Ž

มิใช่หรือ


(ที่มา:มติชนรายวัน 8 ธ.ค.2556)
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊กกับมติชนออนไลน์
www.facebook.com/MatichonOnline

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1386553368&grpid=&catid=02&subcatid=0207


การเหยียดหยามทางชนชั้น   ดูเหมือนมิได้จางหายไปจากสังคม  หัวเราะ

สาวแว่น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่