แม่นุ่น ตอนที่ 26 "เพิ่งเข้าใจ ว่าอะไรสำคัญไปกว่า แค่รักกัน"

จาก เพจ "แม่นุ่น"  www.facebook.com/noonsupermom
ถ่ายทอดประสบการณ์ แม่นุ่น คุณแม่ลูกสอง ที่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย ด้วยวัยเพียง 29 ปี

ตอนที่ 26  "เพิ่งเข้าใจ ว่าอะไรสำคัญไปกว่า แค่รักกัน"



ไม่นานนักผมก็กลับมาถึงบ้าน

“ป๊า..หมอว่ายังไงบ้าง?” แม่นุ่นที่นอนอยู่โซฟาหน้าทีวี ถามผมทันทีที่เปิดประตูเดินเข้ามาในบ้าน
“ดีใจด้วยนะ หมอจะเปลี่ยนสูตรยาใหม่แบบไม่ใช้คีโม” ผมยิ้มบอกข่าวดี ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เพราะความเหนื่อยนิดหน่อย

“เหรอๆๆ” แม่นุ่นยิ้มร่า อยากรู้อยากเห็น เมื่อได้ยินว่า หมอจะไม่ใช้คีโมแล้ว

“แต่ เดี๋ยวก่อน ยังไม่จบ” ผมทำท่าบอกว่า อย่าพึ่งดีใจ เพราะยังพูดไม่จบ

แม่นุ่นหยุดยิ้มและหันมาฟังอย่างตั้งใจ

“ยาสูตรใหม่จะใช้ช่วงพักฟื้นประมาณ 2-3 เดือน และเมื่อไหร่ที่ร่างกายฟื้นกลับคืนแล้ว หมออาจกลับไปให้เคมีบำบัดอีก เพราะเคมีบำบัดคู่กับเฮอร์เซปติน ยังเป็นการรักษาที่ให้ผลดีที่สุด เข้าใจป่ะ?”

ผมบอกถึงการรักษาที่จะเกิดขึ้นอนาคต
แม่นุ่นดูเข้าใจดีถึงสิ่งที่ผมกำลังอธิบาย

“แล้วยาสูตรใหม่ แพงมั้ย?” แม่นุ่นถามถึงราคายาที่ต้องที่จ่าย

“แพงดิ แพงมากด้วย แต่เรื่องเงินมันเป็นหน้าที่เค้า หน้าที่ตัวเองคือต้องอดทน และทำตามที่หมอบอก และก็อย่าต้องให้พูดกันเยอะเรื่องกินเรื่องนอน”

ถามเรื่องเงิน ไม่ใช่ไม่เครียด
แต่ความเครียดไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร
ผมพอมีวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ เพียงแต่ต้องคิดให้รอบคอบอีกนิดก่อนลงมือทำ

สิ่งที่สำคัญ คือ แม่นุ่นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ โดยเฉพาะผลข้างเคียงของยา ที่ทำให้เกือบเอาชีวิติไม่รอดมาแล้ว

“ส่วนผลข้างเคียงยาตัวใหม่ หลักๆ ในช่วงเดือนแรกจะมีท้องเสียบ้าง วันละครั้งสองครั้ง แล้วจะค่อยๆหายไปเอง ไปไหนมาไหนช่วงนี้ คงต้องพก อิมโมเดียมแก้ท้องเสีย ติดตัวไว้ ขาดไม่ได้เลย” ผมบอกแม่นุ่นถึงข้อมูลที่เพิ่งได้คุยกับตัวแทนยาระหว่างเดินทางกลับบ้านเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา

“เหรอ ดีดีไม่ต้องคีโมแล้ว งั้นตัวเองก็หาเงินต่อไปละกันนะป๊า” แม่นุ่นยิ้มอย่างพอใจ เมื่อได้รู้ว่าไม่ต้องรับเคมีบำบัด...อย่างน้อยก็พักใหญ่ๆ

ผมได้แต่ยิ้มตอบกลับไป และรู้สึกดีที่แม่นุ่นยังยิ้มแย้มแจ่มใสได้

นาทีนี้ไม่ได้หวั่นวิตกเรื่องท้องเสียของยาตัวใหม่ เพราะมันดูเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับประสบการณ์สุดเลวร้ายของยาสูตรแรกที่เคยได้รับ

.....

เราทั้งคู่ยังคุยกันไปเรื่อย สัพเพเหระในเรื่องต่างๆ ตามประสา

คุยไป ตาก็มองพิจารณาร่างกาย แม่นุ่นวันนี้ ท้องยังโตอยู่มาก แนวโน้มไม่กี่วันคงได้เจาะท้องอีก
แผลที่เล็บเริ่มแห้งแล้ว โชคดีที่ไม่ติดเชื้อเพิ่ม
เส้นผมเหลือหรอมแหรมไม่กี่เส้น ถ้าโกนหัวเป็น โล้นซ่าส์
น่าจะดูดีกว่า สภาพที่มองแล้วไม่ต่างจาก "กอลั่ม" หรือ "ผีเม้ย" ที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้

อันที่จริง ผมเคยถามหลายครั้ง เรื่องโกนผม แต่แม่นุ่นก็บอกทุกครั้งว่าไม่เอาไม่เอามาตลอด

ก็เข้าใจ ว่าคงทำใจไม่ได้ที่ต้องสูญเสียไปซึ่งสัญลักษณ์ความสวยอย่างหนึ่งของผู้หญิง ที่แม้จะเหลือเส้นผมแค่น้อยนิด แต่แม่นุ่นก็ยังพยายามเอาหนังยางมัดกระจุกเล็กๆ กระจุกนี้อยู่ทุกวัน

แต่วันนี้ดูอารมณ์ดีผมจะลองถามดูอีกทีเผื่อจะเปลี่ยนใจ

“โกนผมมั้ยอ้วน เค้าทำให้?” ผมลองถามดู ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าครั้งนี้จะยอมมั้ย
“อืม” แม่นุ่นตอบกลับ

โอ๊ะ ยอมแหะ! ในเมื่อยอมแล้ว จะช้าอยู่ใย

“โอเค งั้นไปข้างบนกันเลย” พูดจบผมก็เดินไปพยุงแม่นุ่นไปชั้นบนที่ดูเป็นส่วนตัวกว่า

ผมเปิดประตูห้องน้ำ

แม่นุ่น ก้าวเข้ามา หยุดยืนอยู่หน้ากระจก สายตาพิจารณา รูปร่างหน้าตาตัวเอง

ผมมองอยู่สักครู่ จนคิดว่า ต้องพูดอะไรสักอย่าง เพื่อให้แม่นุ่นทำใจให้สบาย ยอมรับกับสิ่งเป็น เหมือนกับหลายเรื่องที่เราพยายามยอมรับมาตลอด

“เค้าว่าโกนแล้ว จะดูดีกว่านะ เวลามันขึ้นใหม่จะได้เท่าๆ กัน” ผมยืนอยู่ข้างหลัง พยายามพูดให้กำลังใจเต็มที่

แม่นุ่นไม่ตอบ... ยังยืนอยู่หน้ากระจกอยู่อย่างนั้น ไม่พูดไม่จา

"ถอดเสื้อผ้าก่อน อาบน้ำเลยทีเดียว" ผมบอกแม่นุ่น ก่อนที่จะช่วยถอดเสื้อผ้า ชุดชั้นในให้ทีละชิ้นๆ จนหมด

ตอนนี้แม่นุ่น ร่างกายเปลือยเปล่าอยู่หน้ากระจก
และยังคงยืนมองตัวเองอยู่อย่างนั้นเหมือนเดิม

ผมก็คุยอะไรไปเรื่อยเปื่อย ทำตัวปกติ ไม่ให้บรรยากาศมันดูเศร้าเกินไป ถึงเรื่องจริง มันจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม

ระหว่างนั้น... แม่นุ่นก็พูดคำหนึ่ง ออกมา..

“อ้วน เค้าน่าเกลียดมากมั้ย...?” แม่นุ่นถามผมที่ยืนอยู่ด้านหลัง

ผมเพิ่งถอดเสื้อผ้าเองกับมือ  เห็นร่องรอยความบอบช้ำยังปรากฏชัดทั่วร่างกาย

ผิวที่เคยขาวเนียนตอนนี้ ตัวดำ คอดำ ผิวแห้งผาก แตกลายเป็นหย่อมๆ
รอบๆ สะดือมีรอยแตกปริ เพราะน้ำในร่างกายดันท้องให้โตออกมาไม่ต่างกับคนท้องแก่ใกล้คลอด
เล็บมือ ถูกพันด้วยผ้าก๊อตเกือบทุกนิ้ว ไม่ต่างกับเล็บเท้าที่ทยอยหลุดจนไม่เหลือแล้ว

“อืม น่าเกลียดสิถามได้” ผมตอบกลับแบบยิ้มๆ หัวเราะเบาๆ
“ไอ้อ้วน!!” แม่นุ่นหันทำสายตามาค้อนผม

ก็แค่แกล้ง ผมไม่เคยนึกรังเกียจ และไม่ได้คิดว่าน่าเกลียด
ที่มากกว่าคือความรู้สึก สงสาร ที่เห็นแม่นุ่นคนสวย บัดนี้ ต้องตกอยู่ในสภาพทรุดโทรมสุดบรรยาย

“เอ้าถามก็ตอบไง แต่เดี๋ยวก็หาย เชื่อเหอะว่าโกนผมแล้วดูดีกว่าเดิม” ผมยังคุยอารมณ์ดี ล้อเล่นเป็นปกติเหมือนเคย

“รอแปปนะ ไปเอาเก้าอี้มานั่ง จะได้โกนถนัดๆ”

ผมตัดบท เดินไปเอาเก้าอี้พลาสติกของลูก มาให้แม่นุ่นนั่ง
และหยิบเอามีดโกนหนวด เปลี่ยนใบมีดใหม่ เพื่อความสะอาด

แม่นุ่น ค่อยๆขยับนั่งเก้าอี้ตัวน้อย

ผมหยิบฝักบัว ล้างผม ก่อนบีบสบู่ ละเลงที่หัวให้โกนง่ายมากขึ้น

“เอาละนะ” ผมบอกแม่นุ่นว่า จะลงมีดแล้ว

แต่พอลงมีดเท่านั้น..

แม่นุ่นตัวสะท้าน...ผมได้ยินเสียงสะอื้น...

....แม่นุ่นกำลังร้องไห้....

ผมเข้าใจ...
ผมเข้าใจดีทุกอย่าง...
คงไม่ร้องเพราะเจ็บกาย มันเจ็บที่ใจมากกว่า..

“ร้องทำไม เดี๋ยวมันก็ขึ้นใหม่ โกนให้มันเท่ากัน ขึ้นใหม่จะด้วยสวยๆไฝ” ผมก็พยายามปลอบใจ ทั้งๆ ที่น้ำในตาตัวเองก็เริ่มคลอ เพราะไม่เคยคิดฝันว่าวันหนึ่งจะทำลงมือทำสิ่งนี้กับคนที่ผมรักที่สุด

อ้วนเอ๋ย อดทนนะ ทุกอย่างจะดีขึ้น .. มันเป็นความคิดในใจของผม

ความหวังว่าทุกอย่างต้องดีขึ้นยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม ผมอาจจะทำให้แม่นุ่นได้หลายอย่าง แต่อย่างหนึ่งที่ทำแทนไม่ได้ คือ ทนความเจ็บปวดแทนแม่นุ่น ถ้าทำได้ผมคงทำไปแล้ว

การโกนหัว ยังดำเนินไป พร้อมๆ เสียงสะอื้น
สลับมือแม่นุ่นที่ยกขึ้นปาดน้ำตาเป็นพักๆ

ราว 15 นาที ต่อมา..

“เสร็จแล้ว.. ไหนหันหน้ามาสิ” ผมโกนหัวให้แม่นุ่นเสร็จแล้ว บอกแม่นุ่นหันหน้ามาดูอีกที

แม่นุ่นหันกลับมา ตาบวมก่ำ เพราะร้องไห้มาตลอดตั้งแต่เริ่ม

“ดูดีกว่าเดิมตั้งเยอะแหน่ะ.. ไปดูในกระจกสิ” ผมบอกแม่นุ่นให้มั่นใจ อันที่จริงก็ไม่ได้โกหก เพราะดูดีกว่าเดิมจริงๆ

แม่นุ่นก็คงอยากเห็นตัวเอง
ค่อยๆ เดินไปกระจก โดยมีผมคอยพยุงไม่ห่าง เพราะกลัวลื่นล้ม

พอเห็นตัวเองในกระจกเท่านั้น...แม่นุ่นยกมือขึ้นปิดตา ก้มหน้าร้องให้ เหมือนรับสภาพตัวเอง "หัวโล้น" ไม่ได้

“ไม่ต้องร้องหรอกอ้วน มันดูดีกว่าเดิมจริงๆ เชื่อเค้านะ.. เชื่อเค้า...ไม่ต้องร้อง” ผมไม่รู้จะสรรหาคำปลอบใจที่ดีกว่านี้ นอกจากคำเดิมๆ ที่พูดซ้ำไปมา

สิ้นคำพูดของผม..แม่นุ่น หันกลับมากอดผมแน่น
ร้องไห้ ฮือ ฮือ โฮใหญ่ เหมือนกำลังปลดปล่อยความอ่อนแอที่อัดอั้นอยู่ใต้ความเข้มแข็งมาเป็นเวลานาน

...ผมไม่พูดอะไรแล้ว นอกจากสวมกอด เพื่อปลอบใจ
...น้ำตากลับมาเอ่ออีก ทั้งสงสาร และเห็นใจแม่นุ่นที่กำลังร้องไห้แทบขาดใจ...

ไม่ห้ามร้องแล้ว..อยากร้อง... ก็ร้องเถอะ..
ปลดปล่อยมันออกมาให้หมด..

แม้ว่าร่างกายจะเปลี่ยนไปแค่ไหน
จะขี้เหร่ ตัวดำ หรือเปลี่ยนไปยังไง
ตลอดเวลาที่ป่วย..ผมไม่เคยมีความรู้สึกใดๆ ต่อสิ่งนี้

เป็นคนชอบคนสวย แต่ก็ไม่รู้ว่าก้าวผ่าน "ความสวย" ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่

มะเร็งมันอาจทำร้าย "ร่างกาย" เราได้
แต่ด้วยรักอันยิ่งใหญ่ แม้มันจะร้ายแค่ไหน
จะไม่มีวันทำลาย "หัวใจ" ของเราได้แน่นอน

จบตอน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่