ตอนที่ 9 ศาสตราเวทย์ มหาประลัย
อาจารย์บุญลือหยิบเอาตะปูออกมา จากถุงย่ามสามตัว นำมาจดที่หน้าผาก ดวงตานั้นจ้องไปที่
ปีศาจฝนที่ยังยืนนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว เธอมีเพียงสายตาที่มองมาเท่านั้น แล้วตะปูอาคมทั้งสามดอกก็พุ่ง
เข้าหาร่างของปีศาจอย่างรวดเร็ว แต่ตะปูทั้งสามดอกไม่สามารถฝ่าเข้าไปถึงตัวปีศาจฝนได้ เพราะ
เวทย์เกราะแก้วล้อมรอบไว้ ตะปูทั้งสามยังคง ค้างอยู่นอกเกราะอาจารย์บุญลือยิ้มก่อนจะกล่าวออกมา
"เวทย์เกราะแก้ว ของเธอนี่แข็งแกร่ง ไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ แต่เมื่อมีตะปูแล้ว ขาดค้อนได้ยังไง"
อ. บุญลือยกมือขึ้น ทันใดมีวัตถุพุ่งออกมาจากหน้าต่าง ลอยมาเข้ามือของเขา เป็นไม้ชิงชันสีดำ
ด้านบนมีหินสีดำ ที่มิได้ผ่านการตกแต่ง จึงไม่เรียบเสมอกัน ไม้นั้นเหมือนดั่งว่า เสียบทะลุหินออกมา
มันคือ ค้อนอัสนี ที่เก็บอยู่ในห้องเก็บศาสตราเวทย์ แล้ว อ. บุญลือ สะบัดโบก จนเกิดเสียงคล้ายฟ้า
คำราม จากเบาแล้วดังขึ้นเรื่อยๆ... จนเกิดประกายแสงไฟสว่างวาบพุ่งเข้าหาตะปูอาคมทั้งสามดอก
กระแทกไปยังเกราะแก้วอีกทอด รอยยิ้มของฝน ค่อยๆหายไป เพราะแรงของค้อนอาคมนั้นรุนแรง
จนสะท้าน สะเทือนไปถึงดวงจิต เสียงดังปานฟ้าผ่าดังอย่างต่อเนื่อง เกราะที่เป็นลูกแก้ว เริ่มมีรอยร้าว
แล้วตะปูทั้งสามดอก ก็ทะลวงผ่านเกราะแก้ว ตรงเข้ากลางหน้าผากของฝน แต่เมื่อตะปูพุงมาถึงใกล้
ปีศาจฝนไม่ถึงคืบ ตะปูที่เป็นเหล็กก็ค่อยๆ กร่อนกลายเป็นสนิม และสลายกลายเป็นฝุ่นสีแดง ทันที
ปีศาจร้ายเหยียดยิ้ม ก่อนลอยตัวขึ้น ด้วยพายุหมุนวน จากด้านหลัง คล้ายดั่งขาขนาดใหญ่ของ
แมลงมุมยักษ์ เพราะลมที่หมุนเป็นงวง มีแปดสายจุดศูนย์กลาง คือปีศาจฝนที่ยังมิได้ เปลี่ยนร่าง
"ฝนก็อยากเห็น ว่าเวทย์เกราะแก้วของพี่...จะแข็งแกร่ง... ขนาดไหน"
ลมพายุที่หมุนวนจนควบแน่นด้วยใบไม้ ก้อนหินน้อยใหญ่จนมองคล้ายหมอกสีขาวขยับไปมาเคลื่อนไหว
อย่างรวดเร็ว และไร้ทิศทาง สะบัดไปยังต้นสักที่ยืนต้น ถูกแรงลมดึงจนฉีกขาดแล้วพายุก็ยกต้นสักที่
ขาดเป็นท่อนหมุนเป็นใบพัด กิ่งไม้ของต้นสักถูกแรงลมจนกิ่งเล็กกิ่งน้อยจนหลุดออกหมด แล้วพายุก็
หอบไม้สักท่อนนั้นฟาดมายังร่างของ อ.บุญลือ แต่ไม้สักต้นนั้นไม่สามารถผ่านกำแพงเวทย์ของเขา
ลงไปได้ ไม้สักที่ทั้งแข็งและเหนียวพลันแตกผ่าออกเป็นสองเสี่ยง
"กำแพงเวทย์ของพี่ ก็แข็งแกร่งไม่เบา หึๆ... อย่างนี้ฝน ต้องใช้อาวุธของ พี่แล้ว... หึๆ..."
ฝนหยิบเอาด้ามดาบออกมา กำในมือเมื่อชูขึ้นเหนือศีรษะ บังเกิดแสงไฟสว่างวาบพุ่งตรงลง จนปรากฎ
เป็นดาบแสงที่สว่างวาบ ไปมา เหมือนไฟฟ้าวิ่งชนกันจนเกิดประกายไฟ เธอแย้มยิ้มชื่นชมลำแสงในดาบ
แล้วปีศาจฝนก็สะบัดดาบจนเกิดเป็นสายฟ้าฟาดมายัง อ.บุญลือ ที่ยกค้อนขึ้นป้องกัน เพราะสายฟ้าเวทย์
สามารถทะลวงผ่านกำแพงเวทย์ของเขาได้ เสียงระเบิดกัมปนาท ร่างของ อ.บุญลือถูกแรงระเบิดจน
ลอยละลิ่วไปตกบนหลังคาโรงอาหาร ทะลุตกลงบนโต๊ะ ปีศาจฝนแผดเสียงหัวเราะดังไปทั่ว เป็นเสียง
ที่มีทั้งความเคียดแค้น และเจ็บปวดเจือปน
"อะไรกันคะ!... ฝนยังไม่ได้ออกแรงอะไรมากมาย พี่ถึงกระเด็นแบบนั้น สงสัยว่าพี่
พลังอาคม คงตกไป จากแต่ก่อน ถึงได้ปวกเปียกแบบนี้ ฝนผิดหวังกับพี่เข้ม
ที่สุดเลยคะ พี่เข้มช่วยใช้เวทย์ให้สมกับ ผู้ที่ได้ชื่อว่า จอมอาคมหน่อยสิคะ หึๆๆๆ... "
แต่เม่ือฝนเพ่งมองไปยังร่างของ อ.บุญลือที่ตกอยู่บนโต๊ะอาหาร ที่ปรากฎอยู่ตรงนั้น เป็นท่อนไม้
ที่ถูกฟ้าผ่าจนไหม้เกรียม แล้วเสียงของ อ.บุญลือก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
"ฝนก็ยัง ตาไม่ดี เหมือนเดิมนะ ไม่สังเกตเลยว่า ใช้เวทย์ฟื้นฟ้านั้นกับสิ่งใด
นี่แหละ!... ที่จะทำให้ฝน... แพ้พ่าย!!!..."
ตอนนี้ในมือของเขามีธนูขนาดใหญ่ ง้างคันศรแล้วยิงออก ลูกศรพุ่งเป็นแสงไฟทะลุผ่านเกราะแก้วของ
ปีศาจร้าย ตรงเข้าท้ายทอยของหญิงสาว แต่เส้นผมที่ยาวปลิวสไวดุจดังมีชีวิต พลันสะบัดแล้วมัดลูกศร
จนแน่น เส้นผมพลันบิดหักลูกศรนั้นอย่างง่ายดาย แล้วคลายออก อาวุธเวทย์อันร้ายกาจ หล่นลงไป
ไม่ต่างกับเศษไม้ ที่ไร้ค่าอย่างยิ่ง เธอหันใบหน้าอันหวานซึ้งชวนไหลหลง มายัง อ.บุญลือ เอ่ยออกมา
อย่างตื่นเต้น... สายตาเป็นประกาย
"ไม่นึกเลยว่าพี่เข้ม... อาคมยังคงร้ายกาจเหมือนเดิม หึๆๆ... แต่อาศัยอาคม
พื้นๆ แบบนี้ พี่จะรับมือฝนได้ยังไง เราอย่าเล่นสนุกเช่นนี้เลย ถ้าอยากรู้แพ้ รู้ชนะ
พี่ก็ควร...ใช้...เวทย์สูงสุดของพี่ได้แล้ว เพราะจากนี้ คือ...การล้างแค้น อย่างแท้จริง"
รอยยิ้มของฝีศาจฝน ค่อยๆ หายไปดวงตาของเธอแปรเปลี่ยนเป็นดุดัน ผมที่ยาว สะบัดปลิวสไว พลัน
บิดเกลียวมัดรวบ เพราะตอนนี้ปีศาจฝนกำลังใช้เวทย์ขั้นสูงสุด ผสมกับเวทย์ดาบฟื้นฟ้า ท้องฟ้าพลัน
มืดลงอย่างกระทันหัน เมฆฝนซึ่งไม่มีเค้ารางว่าจะเกิดขึ้น ก่อตัวเป็นเมฆดำทะมึนสายฟ้าฟาดลงพื้นดิน
อย่างน่ากลัว ปีศาจฝนร่ายคาถาควบคุมลมพายุได้ดั่งใจ อ.บุญลือนั้นยืนสงบนิ่งมองคู่ต่อสู้สัมแดง
อิทธฤทธิ์อย่างไม่หวั่นเกรง เพราะการต่อสู้ที่แท้จริงเพิ่งเริ่มต้น... ณ. บัดนี้......
รถรับจ้างที่น้อยโดยสารนั้นเป็นรถกะป๊อ สองสูบพลันเพิ่มความเร็วจนคนขับถึงกับตกใจ เพราะเขาไม่
เคยคิดว่า รถที่ทั้งเก่า ทั้งผุ จะวิ่งได้เร็วถึงเพียงนี้ ลุงคนขับถึงกับร้องเสียงหลงตอนรถเข้าทางโค้งหัก
ซอกจนรถตะแคงด้วยล้อสองข้าง แล้วขับผ่านช่องแคบ ระหว่างรถบรรทุก กับรถบัส จนความรู้สึกของ
ลุงคนขับ คิดว่ารถคันนี้ลอยอยู่เหนือพื้นดิน เขาทนดูรถที่พุ่งไปอย่างแรง จนภาพที่เห็น เบลอไปหมด
ความเร็วของรถที่วิ่งในขณะนี้ ถ้าคะเนไม่ผิด น่าจะมีมากกว่า 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะไมล์รถ
วัดได้สูงสุดไม่เกินร้อย เท่านั้น เข็มไมล์นั้นชี้ที่ความเร็วสูงสุดไปชนตัวหยุด ตอนนี้ลุงคนขับรถหลับตา
ท่องคาถาที่เขารู้จัก ตั้งแต่ชินบัญชร พาหุง ชุมนุมเทวดา หรือบทไหนที่นึกขึ้นได้ แกคิดว่า เรื่องที่เกิด
ขึ้นนี้ เป็นเพราะดื่มสุรา เมื่อวานนี้จนถึงกลางดึก หรืออาจเป็นเพราะ เขาดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง ประเภท
กระทิงแดง มากเกินไป เพราะวันนี้ แกดื่มไป สามขวด จนทำให้เกิดภาพหลอน นี่กระมัง ที่โฆษณา
ในทีวีถึงได้บอกว่า ไม่ให้ดื่มเกินวันละ สองขวด เพราะถ้าดื่มมากกว่านั้น จะทำให้เห็นอะไรต่อมิอะไร
แบบนี้ แล้วเขาก็นึกขึ้นมาว่า ต่อไปจะเลิกดื่มเครื่องดื่มพวกนี้เด็ดขาด หรือดื่มไม่เกิน วันละสองขวด...
น้อยในร่างนีรนุชรู้สึกผิด ที่ทำให้ลุงคนขับรถตกใจ แต่เขาไม่มีทางเลือก เพราะชีวิตของอาจารย์นั้น...
สำคัญกว่าสิ่งใด.... ในขณะนี้...เขาจำต้องร่ายคาถาบทนี้ต่อ ความเร็วของรถเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เสียงคำรามของเครื่องยนต์ คล้ายดั่งเสียงร้องของม้าศึก ที่กำลังคึกคะนอง ถึงขีดสุด.....
พัฒนะ ตามเพื่อนรุ่นพี่ มาดูคดีคนเสียชีวิตที่ท่ารถ อะไรบางอย่างชักนำเขามาที่นี่ เพราะลางสังหรณ์
ของพัฒนะนั้นแม่นยำ มันเหมือนเป็นพรสวรรค์ที่มีอะไรบางอย่าง มามอบให้เขา เพื่อคลี่คลายคดีต่างๆ
ร่างของชายวัยกลางคนเสียชีวิตในลักษณะเหมือนคนนอนหลับ คือศีรษะเอนพับไปที่เบาะคนนั่งด้านข้าง
ดวงตาปิดสนิท แต่ขากรรไกรค่างเหมือนคนพยายามหายใจ ดวงตาที่ปิดดั่งคนนอนหลับ เมื่อเปิดหนังตา
ก็จะเห็นว่า ดวงตาดำเหลือกกลับไปด้านใน จนเห็นแต่ตาขาว พัฒนะกล่าวออกมา
"เหมือน การตายของคุณพวงศรี กับคุณสมใจ คือหัวหัวใจหยุดเต้นอย่าง เฉียบพลัน
ไม่มีร่องรอยถูกทำร้าย ไม่มีร่องรอยของยาพิษ หรือแม้แต่โรคประจำตัว
เหมือนกับว่า ถูกสั่งให้ตาย ด้วยเวลาที่กำหนด หรือใครคนหนึ่ง สั่งให้ตาย... ด้วยพลังจิต... "
"ไอ้พัฒ... นี่แกว่าอะไรนะ!!... ตายด้วยการสั่ง... หรือพลังจิต นี่แกดูหนังมากเกินไปหรือเปล่า
เราเป็นตำรวจนะ!... ไม่ใช่นักเขียน ถึงมาสันนิษฐาน อะไรที่มันบ้าบอแบบนี้...
ขืนเอาเรื่องที่เอ็งบอกข้า ไปเขียนสำนวนคดีละก็ ข้าได้แป๊ก!.อยู่ที่ตำแหน่งนี้จนแก่แน่ๆ... "
"พี่ครับ ที่ผมบอกเรื่องนี้ ก็เพราะว่า ผมรู้สึกว่า มันเหมือนจะเป็นเช่นนั้น
ผมไม่ได้ให้พี่เขียนสำนวนคดีแบบนั้น ถึงเป็นคดีของผม ผมก็คงไม่เขียนแบบที่ผมบอกพี่เมื่อกี้
ความจริงถ้าเป็นผม จะเขียนว่า ทั้งสามอาจเสียชีวิตด้วย อุปทานหมู่... "
พัฒนะมองดูรอยเท้า ที่อยู่หน้ารถ รอยเท้าค่อนข้างเด่นชัด ที่พัฒนะสังเกต ก็คือขอบรอยเท้า มีฝุ่นปูน
ติดอยู่ เหมือนฝุ่นปูนขาว ที่ทางเข้าโรงแรมมวลหมู่ไม้ ข้อสำคัญเป็นรอยเท้า แบบเดียวที่เขาสังเกตเห็น
ที่บริเวณนั้น พัฒนะหันไปมองคิวรถ แล้วเดินไปที่นั่น ทำให้ สุรเชษฐ์ สงสัยในอาการของพัฒนะ จึงเดิน
ตามเขาไป แบบงงๆ... เมื่อถึงคิวรถ พัฒนะถามคนดูแลคิวรถ ทันที
"ผู้ตายไปส่งใคร ก่อนกลับมาที่คิวรถ แล้วรู้หรือเปล่า ไปส่งที่ไหน..."
ผู้ดูแลคิวรถ นึกอยู่เพียงครู่ ก็เอ่ยออกมา
"เดี๊ยว!.. ผมขอนึกดูก่อน รู้สึกว่า พี่สิน จะไปส่งเด็กหญิง ที่น่าตาน่ารักคนหนึ่ง เธอมาคนเดียว
อีม!....เห็นมาถามว่า จะไปสำนักบุญส่ง ไปยังไง แล้วพี่สินก็เลยบอกจะไปส่ง..."
"เด็กคนนี้ ใช่หรือเปล่า?..."
คนดูแลคิวมองดูรูปถ่าย ก็ตอบว่า "ใช่... เป็นเด็กหญิงคนนี้" พัฒนะนิ่งก่อนที่คำถามหนึ่งจะหลุดออกมา
"น้องเค้าบอกหรือเปล่า... ว่าจะไปหาใคร"
"ไม่ได้บอกครับ... แต่ถ้าผมเดาไม่ผิด เด็กคนนั้น น่าจะมาหา อ.บุญลือ เจ้าสำนักบุญส่ง..."
ศาสตรา... มหาเวทย์ ตอนที่ 9
อาจารย์บุญลือหยิบเอาตะปูออกมา จากถุงย่ามสามตัว นำมาจดที่หน้าผาก ดวงตานั้นจ้องไปที่
ปีศาจฝนที่ยังยืนนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว เธอมีเพียงสายตาที่มองมาเท่านั้น แล้วตะปูอาคมทั้งสามดอกก็พุ่ง
เข้าหาร่างของปีศาจอย่างรวดเร็ว แต่ตะปูทั้งสามดอกไม่สามารถฝ่าเข้าไปถึงตัวปีศาจฝนได้ เพราะ
เวทย์เกราะแก้วล้อมรอบไว้ ตะปูทั้งสามยังคง ค้างอยู่นอกเกราะอาจารย์บุญลือยิ้มก่อนจะกล่าวออกมา
"เวทย์เกราะแก้ว ของเธอนี่แข็งแกร่ง ไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ แต่เมื่อมีตะปูแล้ว ขาดค้อนได้ยังไง"
อ. บุญลือยกมือขึ้น ทันใดมีวัตถุพุ่งออกมาจากหน้าต่าง ลอยมาเข้ามือของเขา เป็นไม้ชิงชันสีดำ
ด้านบนมีหินสีดำ ที่มิได้ผ่านการตกแต่ง จึงไม่เรียบเสมอกัน ไม้นั้นเหมือนดั่งว่า เสียบทะลุหินออกมา
มันคือ ค้อนอัสนี ที่เก็บอยู่ในห้องเก็บศาสตราเวทย์ แล้ว อ. บุญลือ สะบัดโบก จนเกิดเสียงคล้ายฟ้า
คำราม จากเบาแล้วดังขึ้นเรื่อยๆ... จนเกิดประกายแสงไฟสว่างวาบพุ่งเข้าหาตะปูอาคมทั้งสามดอก
กระแทกไปยังเกราะแก้วอีกทอด รอยยิ้มของฝน ค่อยๆหายไป เพราะแรงของค้อนอาคมนั้นรุนแรง
จนสะท้าน สะเทือนไปถึงดวงจิต เสียงดังปานฟ้าผ่าดังอย่างต่อเนื่อง เกราะที่เป็นลูกแก้ว เริ่มมีรอยร้าว
แล้วตะปูทั้งสามดอก ก็ทะลวงผ่านเกราะแก้ว ตรงเข้ากลางหน้าผากของฝน แต่เมื่อตะปูพุงมาถึงใกล้
ปีศาจฝนไม่ถึงคืบ ตะปูที่เป็นเหล็กก็ค่อยๆ กร่อนกลายเป็นสนิม และสลายกลายเป็นฝุ่นสีแดง ทันที
ปีศาจร้ายเหยียดยิ้ม ก่อนลอยตัวขึ้น ด้วยพายุหมุนวน จากด้านหลัง คล้ายดั่งขาขนาดใหญ่ของ
แมลงมุมยักษ์ เพราะลมที่หมุนเป็นงวง มีแปดสายจุดศูนย์กลาง คือปีศาจฝนที่ยังมิได้ เปลี่ยนร่าง
"ฝนก็อยากเห็น ว่าเวทย์เกราะแก้วของพี่...จะแข็งแกร่ง... ขนาดไหน"
ลมพายุที่หมุนวนจนควบแน่นด้วยใบไม้ ก้อนหินน้อยใหญ่จนมองคล้ายหมอกสีขาวขยับไปมาเคลื่อนไหว
อย่างรวดเร็ว และไร้ทิศทาง สะบัดไปยังต้นสักที่ยืนต้น ถูกแรงลมดึงจนฉีกขาดแล้วพายุก็ยกต้นสักที่
ขาดเป็นท่อนหมุนเป็นใบพัด กิ่งไม้ของต้นสักถูกแรงลมจนกิ่งเล็กกิ่งน้อยจนหลุดออกหมด แล้วพายุก็
หอบไม้สักท่อนนั้นฟาดมายังร่างของ อ.บุญลือ แต่ไม้สักต้นนั้นไม่สามารถผ่านกำแพงเวทย์ของเขา
ลงไปได้ ไม้สักที่ทั้งแข็งและเหนียวพลันแตกผ่าออกเป็นสองเสี่ยง
"กำแพงเวทย์ของพี่ ก็แข็งแกร่งไม่เบา หึๆ... อย่างนี้ฝน ต้องใช้อาวุธของ พี่แล้ว... หึๆ..."
ฝนหยิบเอาด้ามดาบออกมา กำในมือเมื่อชูขึ้นเหนือศีรษะ บังเกิดแสงไฟสว่างวาบพุ่งตรงลง จนปรากฎ
เป็นดาบแสงที่สว่างวาบ ไปมา เหมือนไฟฟ้าวิ่งชนกันจนเกิดประกายไฟ เธอแย้มยิ้มชื่นชมลำแสงในดาบ
แล้วปีศาจฝนก็สะบัดดาบจนเกิดเป็นสายฟ้าฟาดมายัง อ.บุญลือ ที่ยกค้อนขึ้นป้องกัน เพราะสายฟ้าเวทย์
สามารถทะลวงผ่านกำแพงเวทย์ของเขาได้ เสียงระเบิดกัมปนาท ร่างของ อ.บุญลือถูกแรงระเบิดจน
ลอยละลิ่วไปตกบนหลังคาโรงอาหาร ทะลุตกลงบนโต๊ะ ปีศาจฝนแผดเสียงหัวเราะดังไปทั่ว เป็นเสียง
ที่มีทั้งความเคียดแค้น และเจ็บปวดเจือปน
"อะไรกันคะ!... ฝนยังไม่ได้ออกแรงอะไรมากมาย พี่ถึงกระเด็นแบบนั้น สงสัยว่าพี่
พลังอาคม คงตกไป จากแต่ก่อน ถึงได้ปวกเปียกแบบนี้ ฝนผิดหวังกับพี่เข้ม
ที่สุดเลยคะ พี่เข้มช่วยใช้เวทย์ให้สมกับ ผู้ที่ได้ชื่อว่า จอมอาคมหน่อยสิคะ หึๆๆๆ... "
แต่เม่ือฝนเพ่งมองไปยังร่างของ อ.บุญลือที่ตกอยู่บนโต๊ะอาหาร ที่ปรากฎอยู่ตรงนั้น เป็นท่อนไม้
ที่ถูกฟ้าผ่าจนไหม้เกรียม แล้วเสียงของ อ.บุญลือก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
"ฝนก็ยัง ตาไม่ดี เหมือนเดิมนะ ไม่สังเกตเลยว่า ใช้เวทย์ฟื้นฟ้านั้นกับสิ่งใด
นี่แหละ!... ที่จะทำให้ฝน... แพ้พ่าย!!!..."
ตอนนี้ในมือของเขามีธนูขนาดใหญ่ ง้างคันศรแล้วยิงออก ลูกศรพุ่งเป็นแสงไฟทะลุผ่านเกราะแก้วของ
ปีศาจร้าย ตรงเข้าท้ายทอยของหญิงสาว แต่เส้นผมที่ยาวปลิวสไวดุจดังมีชีวิต พลันสะบัดแล้วมัดลูกศร
จนแน่น เส้นผมพลันบิดหักลูกศรนั้นอย่างง่ายดาย แล้วคลายออก อาวุธเวทย์อันร้ายกาจ หล่นลงไป
ไม่ต่างกับเศษไม้ ที่ไร้ค่าอย่างยิ่ง เธอหันใบหน้าอันหวานซึ้งชวนไหลหลง มายัง อ.บุญลือ เอ่ยออกมา
อย่างตื่นเต้น... สายตาเป็นประกาย
"ไม่นึกเลยว่าพี่เข้ม... อาคมยังคงร้ายกาจเหมือนเดิม หึๆๆ... แต่อาศัยอาคม
พื้นๆ แบบนี้ พี่จะรับมือฝนได้ยังไง เราอย่าเล่นสนุกเช่นนี้เลย ถ้าอยากรู้แพ้ รู้ชนะ
พี่ก็ควร...ใช้...เวทย์สูงสุดของพี่ได้แล้ว เพราะจากนี้ คือ...การล้างแค้น อย่างแท้จริง"
รอยยิ้มของฝีศาจฝน ค่อยๆ หายไปดวงตาของเธอแปรเปลี่ยนเป็นดุดัน ผมที่ยาว สะบัดปลิวสไว พลัน
บิดเกลียวมัดรวบ เพราะตอนนี้ปีศาจฝนกำลังใช้เวทย์ขั้นสูงสุด ผสมกับเวทย์ดาบฟื้นฟ้า ท้องฟ้าพลัน
มืดลงอย่างกระทันหัน เมฆฝนซึ่งไม่มีเค้ารางว่าจะเกิดขึ้น ก่อตัวเป็นเมฆดำทะมึนสายฟ้าฟาดลงพื้นดิน
อย่างน่ากลัว ปีศาจฝนร่ายคาถาควบคุมลมพายุได้ดั่งใจ อ.บุญลือนั้นยืนสงบนิ่งมองคู่ต่อสู้สัมแดง
อิทธฤทธิ์อย่างไม่หวั่นเกรง เพราะการต่อสู้ที่แท้จริงเพิ่งเริ่มต้น... ณ. บัดนี้......
รถรับจ้างที่น้อยโดยสารนั้นเป็นรถกะป๊อ สองสูบพลันเพิ่มความเร็วจนคนขับถึงกับตกใจ เพราะเขาไม่
เคยคิดว่า รถที่ทั้งเก่า ทั้งผุ จะวิ่งได้เร็วถึงเพียงนี้ ลุงคนขับถึงกับร้องเสียงหลงตอนรถเข้าทางโค้งหัก
ซอกจนรถตะแคงด้วยล้อสองข้าง แล้วขับผ่านช่องแคบ ระหว่างรถบรรทุก กับรถบัส จนความรู้สึกของ
ลุงคนขับ คิดว่ารถคันนี้ลอยอยู่เหนือพื้นดิน เขาทนดูรถที่พุ่งไปอย่างแรง จนภาพที่เห็น เบลอไปหมด
ความเร็วของรถที่วิ่งในขณะนี้ ถ้าคะเนไม่ผิด น่าจะมีมากกว่า 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะไมล์รถ
วัดได้สูงสุดไม่เกินร้อย เท่านั้น เข็มไมล์นั้นชี้ที่ความเร็วสูงสุดไปชนตัวหยุด ตอนนี้ลุงคนขับรถหลับตา
ท่องคาถาที่เขารู้จัก ตั้งแต่ชินบัญชร พาหุง ชุมนุมเทวดา หรือบทไหนที่นึกขึ้นได้ แกคิดว่า เรื่องที่เกิด
ขึ้นนี้ เป็นเพราะดื่มสุรา เมื่อวานนี้จนถึงกลางดึก หรืออาจเป็นเพราะ เขาดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง ประเภท
กระทิงแดง มากเกินไป เพราะวันนี้ แกดื่มไป สามขวด จนทำให้เกิดภาพหลอน นี่กระมัง ที่โฆษณา
ในทีวีถึงได้บอกว่า ไม่ให้ดื่มเกินวันละ สองขวด เพราะถ้าดื่มมากกว่านั้น จะทำให้เห็นอะไรต่อมิอะไร
แบบนี้ แล้วเขาก็นึกขึ้นมาว่า ต่อไปจะเลิกดื่มเครื่องดื่มพวกนี้เด็ดขาด หรือดื่มไม่เกิน วันละสองขวด...
น้อยในร่างนีรนุชรู้สึกผิด ที่ทำให้ลุงคนขับรถตกใจ แต่เขาไม่มีทางเลือก เพราะชีวิตของอาจารย์นั้น...
สำคัญกว่าสิ่งใด.... ในขณะนี้...เขาจำต้องร่ายคาถาบทนี้ต่อ ความเร็วของรถเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เสียงคำรามของเครื่องยนต์ คล้ายดั่งเสียงร้องของม้าศึก ที่กำลังคึกคะนอง ถึงขีดสุด.....
พัฒนะ ตามเพื่อนรุ่นพี่ มาดูคดีคนเสียชีวิตที่ท่ารถ อะไรบางอย่างชักนำเขามาที่นี่ เพราะลางสังหรณ์
ของพัฒนะนั้นแม่นยำ มันเหมือนเป็นพรสวรรค์ที่มีอะไรบางอย่าง มามอบให้เขา เพื่อคลี่คลายคดีต่างๆ
ร่างของชายวัยกลางคนเสียชีวิตในลักษณะเหมือนคนนอนหลับ คือศีรษะเอนพับไปที่เบาะคนนั่งด้านข้าง
ดวงตาปิดสนิท แต่ขากรรไกรค่างเหมือนคนพยายามหายใจ ดวงตาที่ปิดดั่งคนนอนหลับ เมื่อเปิดหนังตา
ก็จะเห็นว่า ดวงตาดำเหลือกกลับไปด้านใน จนเห็นแต่ตาขาว พัฒนะกล่าวออกมา
"เหมือน การตายของคุณพวงศรี กับคุณสมใจ คือหัวหัวใจหยุดเต้นอย่าง เฉียบพลัน
ไม่มีร่องรอยถูกทำร้าย ไม่มีร่องรอยของยาพิษ หรือแม้แต่โรคประจำตัว
เหมือนกับว่า ถูกสั่งให้ตาย ด้วยเวลาที่กำหนด หรือใครคนหนึ่ง สั่งให้ตาย... ด้วยพลังจิต... "
"ไอ้พัฒ... นี่แกว่าอะไรนะ!!... ตายด้วยการสั่ง... หรือพลังจิต นี่แกดูหนังมากเกินไปหรือเปล่า
เราเป็นตำรวจนะ!... ไม่ใช่นักเขียน ถึงมาสันนิษฐาน อะไรที่มันบ้าบอแบบนี้...
ขืนเอาเรื่องที่เอ็งบอกข้า ไปเขียนสำนวนคดีละก็ ข้าได้แป๊ก!.อยู่ที่ตำแหน่งนี้จนแก่แน่ๆ... "
"พี่ครับ ที่ผมบอกเรื่องนี้ ก็เพราะว่า ผมรู้สึกว่า มันเหมือนจะเป็นเช่นนั้น
ผมไม่ได้ให้พี่เขียนสำนวนคดีแบบนั้น ถึงเป็นคดีของผม ผมก็คงไม่เขียนแบบที่ผมบอกพี่เมื่อกี้
ความจริงถ้าเป็นผม จะเขียนว่า ทั้งสามอาจเสียชีวิตด้วย อุปทานหมู่... "
พัฒนะมองดูรอยเท้า ที่อยู่หน้ารถ รอยเท้าค่อนข้างเด่นชัด ที่พัฒนะสังเกต ก็คือขอบรอยเท้า มีฝุ่นปูน
ติดอยู่ เหมือนฝุ่นปูนขาว ที่ทางเข้าโรงแรมมวลหมู่ไม้ ข้อสำคัญเป็นรอยเท้า แบบเดียวที่เขาสังเกตเห็น
ที่บริเวณนั้น พัฒนะหันไปมองคิวรถ แล้วเดินไปที่นั่น ทำให้ สุรเชษฐ์ สงสัยในอาการของพัฒนะ จึงเดิน
ตามเขาไป แบบงงๆ... เมื่อถึงคิวรถ พัฒนะถามคนดูแลคิวรถ ทันที
"ผู้ตายไปส่งใคร ก่อนกลับมาที่คิวรถ แล้วรู้หรือเปล่า ไปส่งที่ไหน..."
ผู้ดูแลคิวรถ นึกอยู่เพียงครู่ ก็เอ่ยออกมา
"เดี๊ยว!.. ผมขอนึกดูก่อน รู้สึกว่า พี่สิน จะไปส่งเด็กหญิง ที่น่าตาน่ารักคนหนึ่ง เธอมาคนเดียว
อีม!....เห็นมาถามว่า จะไปสำนักบุญส่ง ไปยังไง แล้วพี่สินก็เลยบอกจะไปส่ง..."
"เด็กคนนี้ ใช่หรือเปล่า?..."
คนดูแลคิวมองดูรูปถ่าย ก็ตอบว่า "ใช่... เป็นเด็กหญิงคนนี้" พัฒนะนิ่งก่อนที่คำถามหนึ่งจะหลุดออกมา
"น้องเค้าบอกหรือเปล่า... ว่าจะไปหาใคร"
"ไม่ได้บอกครับ... แต่ถ้าผมเดาไม่ผิด เด็กคนนั้น น่าจะมาหา อ.บุญลือ เจ้าสำนักบุญส่ง..."