(กระทู้นี้เป็นกระทู้อิงการเมือง และเพิ่งหัดเขียน อาจะมั่วนิดนึง)
ใช่ ปรัชญากับศิลปะ
ปรัชญานั้นช่วยให้เราเข้าใจว่ามนุษย์นั้นเกิดขึ้นมาบนโลกจนถึงทุกวันนี้
ในแต่ละยุคสมัยนั้น มีวิวัฒนาการทางความคิดอย่างไรกันบ้าง
การอธิบายปัญหาของมนุษย์ในแต่ละยุคว่า
เค้ามีปัญหาอะไรและเขาแก้ไขกันอย่างไร
สูญเสียอะไรกันไปขนาดไหน มีใครคิดอะไรน่าฟังกันบ้าง
ตั้งแต่ฟ้าร้องใส่มนุษย์ถ้ำ
ทำให้มนุษย์ถ้ำคิดว่า คงมีอำนาจวิเศษณ์บางอย่างเหนือพวกเขา
จนวิวัฒนาการมาเป็นศาสนา
ปรัชญจะสอนให้เราเข้าใจพื้นฐานที่มาที่ไปของการปกครองในดินแดนต่างๆ ในห้วงเวลาต่างๆ
จุดแข็ง จุดอ่อน ความเหมาะกับยุคหนึ่งแต่ไม่เหมาะกับยุคหนึ่ง
และรูปแบบการปกครองต่างๆที่มีการพยามคิดค้นปรับปรุงมาตลอด
จนในที่สุด เรา ประเทศไทย มาจากไหน มายืนจุดนี้ได้อย่างไร
แล้วอันที่จริง เรายืนตรงไหนในวิวัฒนาการการปกครองของมนุษย์ชาติ
แท้จริงแล้วเรา โลกยังคงแบน และเราเป็นศูนย์กลางของจักรวาลอยู่จริงๆหรือ
ปรัชญาจะสอนเราเรื่องความยุติธรรม จริยธรรม
ประชาชนมากมายไม่รู้หรอกว่า ในคำว่า "ยุติธรรม"
ทำไม ไม่ใช้คำว่า "เป็นธรรม" "ชอบธรรม" หรือ "ธรรม" ไปเลย
ทำไมต้องต้อง"ยุติ+ธรรม"
นอกจากนี้ ยังแยกแยะไม่ออกระหว่างการเป็นรัฐที่ปกครองโดยกฏหมาย
กับรัฐที่ปกครองโดยจริยธรรม มันสร้างความแตกต่างขนาดไหน
เราเป็นรัฐที่ประชาชนบางพวกเห็นว่า ถ้ากฏหมายเอาผิดไม่ได้
ก็ต้องเอาหลักจริยธรรมตัดสินเอาผิดให้ได้
พยามอยากให้ประเทศไทยเป็นรัฐที่จริยะรรมเหนือกฏหมาย
อย่างเช่น กรณี จำลองให้สัมภาษณ์ถึงลูกถึงคน ช่วงก่อนที่กองทัพธรรมจะออกมาร่วมกับพันธมิตร บอกให้ทักษินเสียภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ป(ในตลาดหุ้น) แม้พิธีกรซักค้านว่าการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นได้รับการยกเว้นภาษี จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสีย และสรรพากรไม่มีอำนาจรับ แต่จำลองก็ยืนยันกับพิธีกรในทำนองว่า ยังไงก็ต้องจ่าย 2 หมื่นล้าน
จะบริจาคหรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่เช่นนั้นกองทัพธรรมจะเข้าร่วมกับพันธมิตร (ต้องการอ้างอิง- หาคลิบไม่เจอ)
นี่คือลักษณะที่ว่า ฉันจะเอาจริยธรรมเหนือกฏหมาย
คือฉันมีนิยามคำว่า"ความดี" ของฉันอยู่ในใจ ฉันว่ามันถูกต้องมันก็ต้องถูกต้อง กฏหมายจะเขียนยังไงก็ช่าง
ไม่ทำตามฉัน งั้นต้องใช้กำลังตัดสินกันหน่อย
อเมริกา เป็นประเทศที่จริยธรรมอยู่ใต้กฏหมาย
เพราะความที่เป็นประเทศเกิดใหม่ มีผู้คนทุกเชื้อชาติ มีศาสนาเป้นพันเป้นหมื่นนิกาย มีชนชาติมากมาย แตกต่างกันมากๆ ถ้าปล่อยให้พวกเขาใช้หลักจริยศาสตร์ของพวกเขาเองในการตัดสินความผิด เมื่อปล่อยให้มีครั้งที่ 1 นั่นแปลว่าประเทศเริ่มล่มจมแล้ว เพราะทุกคนจะอ้างจริยธรรมของตนเหนือกฏหมาย
คนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะชนชั้นกลาง มักจะคิดว่าจะต้อง"ทำสิ่งที่ถูกต้อง"
ซึ่งไม่ได้สำเนียกว่า คำว่าถูกต้องนั้น มันจะมีข้อยุติก็ต่อเมื่อเป็นกฏหมาย
จึงบังเกิดความยุติ+ธรรม
หากปล่อยให้ตีความกันไป มนุษย์ย่อมตีความเข้าข้างประโยชน์ของตน
เมื่อตีความเอาแต่ประโยชน์ตนแล้ว ย่อมไม่ได้รับการยอมรับจากฝ่ายตรงข้าม
จึงไม่สามารถหาข้อยุติได้ จึงไม่เกิดความยุติธรรม
ถ้าคุณคิดว่า การยอมรับของฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่สำคัญ มองข้ามได้
นั่นแสดงว่าคุณกำลังเป็นเผด็จการ คือการไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร
แต่ฉันต้องการอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น
ซึ่งหากประชาชนได้รับการศึกษาอย่างดีพอแล้ว ย่อมเล็งเห็นว่า
ทุกฝ่ายต้องยอมรับกฏหมาย และไม่ปล่อยให้ความเป็นคนดีของตนนั้น เหนือกฏหมาย
กฏหมายซึ่งได้รับการตราขึ้นจากฉันทามติของร่วมกันของสังคมนั้นๆ
กรณีประชาชนที่มาชุมนุมกัน แล้วอ้างว่ามากัน 2 ล้านคนนั้น
พวกเขาผลักดันตัวเองไปอยู่ในจอทีวี อยู่ในสื่อ แล้วอ้างว่าเสียงของพวกเขานั้น มีความชอบธรรม และอ้างหลักจริยธรรมเหนือกฏหมาย ว่าเสียงของพวกเขานั้น มีความชอบธรรมเหนือฉันทามติจากการเลือกตั้งทั่วไป โดยเชื่อว่าเสียงนั้นไม่บริสุทธิ์ และรัฐบาลจะต้องทำตามที่พวกเขาต้องการ
คำถามคือ อะไรทำให้เขาคิดว่าเสียงของเขาบริสุทธิ์กว่าการเลือกตั้ง
และอะไรทำให้เขามีสิทธิปฏิเสธการตัดสินใจร่วมกันของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศ
..จำนวนที่ยกกันมาออกทีวีงั้นหรือ?
การสถาปนาความชอบธรรมของกลุ่มคน 2 ล้านคน เหนือเสียงของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกว่า 46 ล้านคน (สมัยเลือกตั้ง 2554)
ก็นับว่าเป็นการไม่ฟัง ไม่ยอมรับ เสียงของผู้คน 44 ล้านที่ได้ตัดสินในปี 2554
ในขณะที่ตนเองโวยวายว่ารัฐบาลไม่ฟังเสียงส่วนน้อยของตน
แต่ตนเองก็ไม่ฟังเสียงของประชาชนส่วนใหญ่เลยเช่นกัน
(ความจริง มีเรื่องน่าอึดอัดและขัดสามัญสำนึกเราทุกคนว่า
เรื่องจริยธรรมนั้น มันก็ควรจะอยู่เหนือกฏหมายไม่ใช่เหรอ
ความจริงคือ ใช่ ถูกแล้ว
แต่อย่าลืมว่า กฏหมายที่ออกมานั้น
ก็แตกเกิดมาจากจริยธรรม ก่อนจะออกมาเป็นกฏหมายอักษร
ข้อแตกต่างระหว่างจริยธรรมกับกฏหมายนั้น
จริยธรรมไม่เป้นลายลักษณ์อักษร ต้องตีความ และมักจะมีปัญหาในการตีความ
แต่กฏหมายนั้นมีระเบียบแบบแผน เป็นมาตรฐาน สามารถประกาศใช้เสมอกันถ้วนหน้า และที่สำคัญ ถูกกำหนดขึ้นโดยจำเป็นต้องได้รับฉันทามติ เช่นการที่เราลงประชามติรับรัฐธรรมนูญ หรือการที่สส. สว. ยกมือให้กฏหมายผ่าน
ซึ่งก่อนที่กฏหมายจะผ่าน ก็ได้มีการทุ่มเถียงกันอย่างหนัก ซึ่งเป็นขั้นตอนที่จะได้ใช้จริยธรรมในการแสดงความเห็นเพื่อร่างเป็นกฏหมาย เพราะเราต้องการ "สิ่งที่นำไปปฏิบัติ" ให้แก่หน่วยงานบังคับใช้กฏหมาย และยังต้องเขียนให้ประชาชนนั้นสามารถเข้าใจว่า อะไรคือล้ำเส้น และมีโทษอย่างไร
อีกอย่างหนึ่ง กฏหมายที่บอกว่า จะปรับ 500 ถ้าฝ่าไฟแดง ต่อมามีคนฝ่าไปแดง จึงถูกปรับ 500
เหตุการณืนี้ย่อมได้รับความยุติ+ธรรม คือผู้ทำผิดก็ต้องสิโรราบต่อกฏที่ประกาศใช้ล่วงหน้าก่อนแล้ว
แต่กรณีเดียวกัน หากปล่อยให้เป็นจริยธรรม ก็กำหมดไว้แต่เพียงว่า ให้พนักงานใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษและลงโทษ
คราวนี้ก็ซวยแล้ว ตำรวจอยากจับข้อหาอะไรก็ได้ ปรับแค่ไหนก็ได้ เพราะมอบอำนาจให้จริยธรรมของตำรวจนายนั้นๆ คุณอาจะโดนหมั่นไส้จับปรับเพราะสีรถแสบเกินไป แตรเสียงดังเกินไป บลาๆๆๆ
จะเห็นได้ว่า การปล่อยให้ใช้จริยธรรม เป็นไปได้ทีเดียวว่าคุณจะเจอตำรวจที่มีจริยธรรม 108 อย่าง)
สำหรับวิชาศิลปะนั้น จะมอบความใจกว้างให้กับผู้คน
ผู้ที่มีศิลปะเจริญงอกงามดีในหัวใจนั้น นั้นจะมีความเป็นตัวของตัวเอง
ไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าอะไรงาม อะไรไม่งาม พราะเขารู้อยู่แก่ใจแล้วว่า คำตอบอยู่ที่ใจตัวเอง
แต่ในขณะเดียวกันศิลปะก็จะมอบนิสัย "เปิดหูเปิดตาเปิดกว้างๆ"
เห็นได้จากผู้รักศิลปะนั้น จะชอบเสพผลงานผู้อื่นอยู่เนืองๆ
ซึ่งจะเจอทั้งผลงานที่ชอบ ผลงานที่ไม่ชอบ ระคนกันไป
ทำให้รู้จักการทำใจเปิดกว้าง ยอมรับความแตกต่าง กล้ารับความคิดใหม่ๆ
พื้นฐานของวิชาศิลปะอย่างหนึ่งคือความรู้ในการมองคุณค่าของสิ่งต่างๆ
เช่น คำว่างาม งามของใคร งามอย่างไร
ชายอินเดียมองผู้หญิงอวบว่า งาม
ชายผิวขาวมองว่ารูปร่างเพรียวบางของสาวเอเชีย ว่างาม
วิชาศิลปะคือวิชาที่ทำให้เรามองโลกจากมุมที่แตกต่าง
นอกจากจะทำให้เรามีนิสัยเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้ว
ยังทำให้เราค้นหาตัวเองว่า สิ่งใด แบบไหน จะทำให้ตัวเรามีความสุข
ธรรมชาติการศึกษาวิชาศิลปะนั้น จำเป็นที่คุณจะต้องสนใจงานของคนอื่นมากๆ
เฉกเช่นเดียวกับนักเขียนชื่อดัง จะต้องอ่านมาก จึงจะมีอะไรให้เขียนได้มาก เขียนได้หลากหลาย
เมื่อคุณเข้าไปในบ้านนักเขียน ทุกบ้านจะต้องมีหนังสือเป็นภูเขาเลากา
นักร้องที่เก่ง มักจะจะชอบฟังเพลงหลากหลาย ไอโฟนของเขา จะมีเพลงเป็นตันๆ
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ศึกษาศิลปะ จะแจ้งแก่ใจว่า
แท้จริงแล้ว ชีวิตคือการเก็บเกี่ยวแต่สิ่งที่เราชอบ เพราะมันทำให้เรามีความสุข
ไม่ใช่การเกี่ยวเกี่ยวสั่งสมสิ่งที่ก่อความไม่สบายใจ
ศิลปะและปรัชญานั้น เป็นสิ่งที่เจริญในประเทศที่กินอิ่มนอนหลับ
พูดง่ายๆว่า สงบและอุดมสมบรณ์
หากประเทศไทยกินไม่ค่อยอื่ม
นอนไม่ค่อยหลับ นั่นแสดงว่า
ระดับปรัชญาและศิลปะนั้น ไม่ค่อยเจริญ
ปรัชญาและศิลปะ ทางรอดสังคมไทย
ใช่ ปรัชญากับศิลปะ
ปรัชญานั้นช่วยให้เราเข้าใจว่ามนุษย์นั้นเกิดขึ้นมาบนโลกจนถึงทุกวันนี้
ในแต่ละยุคสมัยนั้น มีวิวัฒนาการทางความคิดอย่างไรกันบ้าง
การอธิบายปัญหาของมนุษย์ในแต่ละยุคว่า
เค้ามีปัญหาอะไรและเขาแก้ไขกันอย่างไร
สูญเสียอะไรกันไปขนาดไหน มีใครคิดอะไรน่าฟังกันบ้าง
ตั้งแต่ฟ้าร้องใส่มนุษย์ถ้ำ
ทำให้มนุษย์ถ้ำคิดว่า คงมีอำนาจวิเศษณ์บางอย่างเหนือพวกเขา
จนวิวัฒนาการมาเป็นศาสนา
ปรัชญจะสอนให้เราเข้าใจพื้นฐานที่มาที่ไปของการปกครองในดินแดนต่างๆ ในห้วงเวลาต่างๆ
จุดแข็ง จุดอ่อน ความเหมาะกับยุคหนึ่งแต่ไม่เหมาะกับยุคหนึ่ง
และรูปแบบการปกครองต่างๆที่มีการพยามคิดค้นปรับปรุงมาตลอด
จนในที่สุด เรา ประเทศไทย มาจากไหน มายืนจุดนี้ได้อย่างไร
แล้วอันที่จริง เรายืนตรงไหนในวิวัฒนาการการปกครองของมนุษย์ชาติ
แท้จริงแล้วเรา โลกยังคงแบน และเราเป็นศูนย์กลางของจักรวาลอยู่จริงๆหรือ
ปรัชญาจะสอนเราเรื่องความยุติธรรม จริยธรรม
ประชาชนมากมายไม่รู้หรอกว่า ในคำว่า "ยุติธรรม"
ทำไม ไม่ใช้คำว่า "เป็นธรรม" "ชอบธรรม" หรือ "ธรรม" ไปเลย
ทำไมต้องต้อง"ยุติ+ธรรม"
นอกจากนี้ ยังแยกแยะไม่ออกระหว่างการเป็นรัฐที่ปกครองโดยกฏหมาย
กับรัฐที่ปกครองโดยจริยธรรม มันสร้างความแตกต่างขนาดไหน
เราเป็นรัฐที่ประชาชนบางพวกเห็นว่า ถ้ากฏหมายเอาผิดไม่ได้
ก็ต้องเอาหลักจริยธรรมตัดสินเอาผิดให้ได้
พยามอยากให้ประเทศไทยเป็นรัฐที่จริยะรรมเหนือกฏหมาย
อย่างเช่น กรณี จำลองให้สัมภาษณ์ถึงลูกถึงคน ช่วงก่อนที่กองทัพธรรมจะออกมาร่วมกับพันธมิตร บอกให้ทักษินเสียภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ป(ในตลาดหุ้น) แม้พิธีกรซักค้านว่าการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นได้รับการยกเว้นภาษี จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสีย และสรรพากรไม่มีอำนาจรับ แต่จำลองก็ยืนยันกับพิธีกรในทำนองว่า ยังไงก็ต้องจ่าย 2 หมื่นล้าน
จะบริจาคหรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่เช่นนั้นกองทัพธรรมจะเข้าร่วมกับพันธมิตร (ต้องการอ้างอิง- หาคลิบไม่เจอ)
นี่คือลักษณะที่ว่า ฉันจะเอาจริยธรรมเหนือกฏหมาย
คือฉันมีนิยามคำว่า"ความดี" ของฉันอยู่ในใจ ฉันว่ามันถูกต้องมันก็ต้องถูกต้อง กฏหมายจะเขียนยังไงก็ช่าง
ไม่ทำตามฉัน งั้นต้องใช้กำลังตัดสินกันหน่อย
อเมริกา เป็นประเทศที่จริยธรรมอยู่ใต้กฏหมาย
เพราะความที่เป็นประเทศเกิดใหม่ มีผู้คนทุกเชื้อชาติ มีศาสนาเป้นพันเป้นหมื่นนิกาย มีชนชาติมากมาย แตกต่างกันมากๆ ถ้าปล่อยให้พวกเขาใช้หลักจริยศาสตร์ของพวกเขาเองในการตัดสินความผิด เมื่อปล่อยให้มีครั้งที่ 1 นั่นแปลว่าประเทศเริ่มล่มจมแล้ว เพราะทุกคนจะอ้างจริยธรรมของตนเหนือกฏหมาย
คนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะชนชั้นกลาง มักจะคิดว่าจะต้อง"ทำสิ่งที่ถูกต้อง"
ซึ่งไม่ได้สำเนียกว่า คำว่าถูกต้องนั้น มันจะมีข้อยุติก็ต่อเมื่อเป็นกฏหมาย
จึงบังเกิดความยุติ+ธรรม
หากปล่อยให้ตีความกันไป มนุษย์ย่อมตีความเข้าข้างประโยชน์ของตน
เมื่อตีความเอาแต่ประโยชน์ตนแล้ว ย่อมไม่ได้รับการยอมรับจากฝ่ายตรงข้าม
จึงไม่สามารถหาข้อยุติได้ จึงไม่เกิดความยุติธรรม
ถ้าคุณคิดว่า การยอมรับของฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่สำคัญ มองข้ามได้
นั่นแสดงว่าคุณกำลังเป็นเผด็จการ คือการไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร
แต่ฉันต้องการอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น
ซึ่งหากประชาชนได้รับการศึกษาอย่างดีพอแล้ว ย่อมเล็งเห็นว่า
ทุกฝ่ายต้องยอมรับกฏหมาย และไม่ปล่อยให้ความเป็นคนดีของตนนั้น เหนือกฏหมาย
กฏหมายซึ่งได้รับการตราขึ้นจากฉันทามติของร่วมกันของสังคมนั้นๆ
กรณีประชาชนที่มาชุมนุมกัน แล้วอ้างว่ามากัน 2 ล้านคนนั้น
พวกเขาผลักดันตัวเองไปอยู่ในจอทีวี อยู่ในสื่อ แล้วอ้างว่าเสียงของพวกเขานั้น มีความชอบธรรม และอ้างหลักจริยธรรมเหนือกฏหมาย ว่าเสียงของพวกเขานั้น มีความชอบธรรมเหนือฉันทามติจากการเลือกตั้งทั่วไป โดยเชื่อว่าเสียงนั้นไม่บริสุทธิ์ และรัฐบาลจะต้องทำตามที่พวกเขาต้องการ
คำถามคือ อะไรทำให้เขาคิดว่าเสียงของเขาบริสุทธิ์กว่าการเลือกตั้ง
และอะไรทำให้เขามีสิทธิปฏิเสธการตัดสินใจร่วมกันของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศ
..จำนวนที่ยกกันมาออกทีวีงั้นหรือ?
การสถาปนาความชอบธรรมของกลุ่มคน 2 ล้านคน เหนือเสียงของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกว่า 46 ล้านคน (สมัยเลือกตั้ง 2554)
ก็นับว่าเป็นการไม่ฟัง ไม่ยอมรับ เสียงของผู้คน 44 ล้านที่ได้ตัดสินในปี 2554
ในขณะที่ตนเองโวยวายว่ารัฐบาลไม่ฟังเสียงส่วนน้อยของตน
แต่ตนเองก็ไม่ฟังเสียงของประชาชนส่วนใหญ่เลยเช่นกัน
(ความจริง มีเรื่องน่าอึดอัดและขัดสามัญสำนึกเราทุกคนว่า
เรื่องจริยธรรมนั้น มันก็ควรจะอยู่เหนือกฏหมายไม่ใช่เหรอ
ความจริงคือ ใช่ ถูกแล้ว
แต่อย่าลืมว่า กฏหมายที่ออกมานั้น
ก็แตกเกิดมาจากจริยธรรม ก่อนจะออกมาเป็นกฏหมายอักษร
ข้อแตกต่างระหว่างจริยธรรมกับกฏหมายนั้น
จริยธรรมไม่เป้นลายลักษณ์อักษร ต้องตีความ และมักจะมีปัญหาในการตีความ
แต่กฏหมายนั้นมีระเบียบแบบแผน เป็นมาตรฐาน สามารถประกาศใช้เสมอกันถ้วนหน้า และที่สำคัญ ถูกกำหนดขึ้นโดยจำเป็นต้องได้รับฉันทามติ เช่นการที่เราลงประชามติรับรัฐธรรมนูญ หรือการที่สส. สว. ยกมือให้กฏหมายผ่าน
ซึ่งก่อนที่กฏหมายจะผ่าน ก็ได้มีการทุ่มเถียงกันอย่างหนัก ซึ่งเป็นขั้นตอนที่จะได้ใช้จริยธรรมในการแสดงความเห็นเพื่อร่างเป็นกฏหมาย เพราะเราต้องการ "สิ่งที่นำไปปฏิบัติ" ให้แก่หน่วยงานบังคับใช้กฏหมาย และยังต้องเขียนให้ประชาชนนั้นสามารถเข้าใจว่า อะไรคือล้ำเส้น และมีโทษอย่างไร
อีกอย่างหนึ่ง กฏหมายที่บอกว่า จะปรับ 500 ถ้าฝ่าไฟแดง ต่อมามีคนฝ่าไปแดง จึงถูกปรับ 500
เหตุการณืนี้ย่อมได้รับความยุติ+ธรรม คือผู้ทำผิดก็ต้องสิโรราบต่อกฏที่ประกาศใช้ล่วงหน้าก่อนแล้ว
แต่กรณีเดียวกัน หากปล่อยให้เป็นจริยธรรม ก็กำหมดไว้แต่เพียงว่า ให้พนักงานใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษและลงโทษ
คราวนี้ก็ซวยแล้ว ตำรวจอยากจับข้อหาอะไรก็ได้ ปรับแค่ไหนก็ได้ เพราะมอบอำนาจให้จริยธรรมของตำรวจนายนั้นๆ คุณอาจะโดนหมั่นไส้จับปรับเพราะสีรถแสบเกินไป แตรเสียงดังเกินไป บลาๆๆๆ
จะเห็นได้ว่า การปล่อยให้ใช้จริยธรรม เป็นไปได้ทีเดียวว่าคุณจะเจอตำรวจที่มีจริยธรรม 108 อย่าง)
สำหรับวิชาศิลปะนั้น จะมอบความใจกว้างให้กับผู้คน
ผู้ที่มีศิลปะเจริญงอกงามดีในหัวใจนั้น นั้นจะมีความเป็นตัวของตัวเอง
ไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าอะไรงาม อะไรไม่งาม พราะเขารู้อยู่แก่ใจแล้วว่า คำตอบอยู่ที่ใจตัวเอง
แต่ในขณะเดียวกันศิลปะก็จะมอบนิสัย "เปิดหูเปิดตาเปิดกว้างๆ"
เห็นได้จากผู้รักศิลปะนั้น จะชอบเสพผลงานผู้อื่นอยู่เนืองๆ
ซึ่งจะเจอทั้งผลงานที่ชอบ ผลงานที่ไม่ชอบ ระคนกันไป
ทำให้รู้จักการทำใจเปิดกว้าง ยอมรับความแตกต่าง กล้ารับความคิดใหม่ๆ
พื้นฐานของวิชาศิลปะอย่างหนึ่งคือความรู้ในการมองคุณค่าของสิ่งต่างๆ
เช่น คำว่างาม งามของใคร งามอย่างไร
ชายอินเดียมองผู้หญิงอวบว่า งาม
ชายผิวขาวมองว่ารูปร่างเพรียวบางของสาวเอเชีย ว่างาม
วิชาศิลปะคือวิชาที่ทำให้เรามองโลกจากมุมที่แตกต่าง
นอกจากจะทำให้เรามีนิสัยเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้ว
ยังทำให้เราค้นหาตัวเองว่า สิ่งใด แบบไหน จะทำให้ตัวเรามีความสุข
ธรรมชาติการศึกษาวิชาศิลปะนั้น จำเป็นที่คุณจะต้องสนใจงานของคนอื่นมากๆ
เฉกเช่นเดียวกับนักเขียนชื่อดัง จะต้องอ่านมาก จึงจะมีอะไรให้เขียนได้มาก เขียนได้หลากหลาย
เมื่อคุณเข้าไปในบ้านนักเขียน ทุกบ้านจะต้องมีหนังสือเป็นภูเขาเลากา
นักร้องที่เก่ง มักจะจะชอบฟังเพลงหลากหลาย ไอโฟนของเขา จะมีเพลงเป็นตันๆ
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ศึกษาศิลปะ จะแจ้งแก่ใจว่า
แท้จริงแล้ว ชีวิตคือการเก็บเกี่ยวแต่สิ่งที่เราชอบ เพราะมันทำให้เรามีความสุข
ไม่ใช่การเกี่ยวเกี่ยวสั่งสมสิ่งที่ก่อความไม่สบายใจ
ศิลปะและปรัชญานั้น เป็นสิ่งที่เจริญในประเทศที่กินอิ่มนอนหลับ
พูดง่ายๆว่า สงบและอุดมสมบรณ์
หากประเทศไทยกินไม่ค่อยอื่ม
นอนไม่ค่อยหลับ นั่นแสดงว่า
ระดับปรัชญาและศิลปะนั้น ไม่ค่อยเจริญ