ระบบฉันทามติจะเป็นแนวทางเดียวที่จะทำให้ทุกฝ่ายยอมรับการปกครองได้ เพราะเป็นระบบที่การบริหารงาน ออกกฎหมาย การพิจารณาคดียุติธรรม จะได้รับการยอมรับทุกฝ่าย
ระบบนี้จะเกิดจะต้องมีการรับฟังทุกฝ่ายและทำความเข้าใจทุกฝ่าย และให้ทุกฝ่ายมีส่วนในการปรับปรุงการบริหารจนกว่าได้ฉันทามติ เช่น ถ้าออกกฎหมาย ก็ต้องให้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน รวมถึงกลุ่มการเมืองอื่นยอมรับได้ การบริหารรัฐบาลก็ต้องรับฟังทุกฝ่ายและให้ทุกฝ่ายร่วมในการปรับปุง เช่น โครงการน้ำ ก็ควรนำทุกฝ่ายมาร่วมจนได้ข้อสรุปก่อนลงมือทำ การตัดสินของศาลก็เช่นกัน ควรนำพยานและนักกฎหมายที่เห็นด้วยไม่เห็นด้วยมาร่วมทั้งหมด ไม่ใช่นำแต่พยานอีกฝ่าย หรือเลือกเอาแต่กฎหมายด้านเดียว
แน่นอนถ้าเป็นแบบนี้ แต่ละฝ่ายจะมาอ้างว่าใช้อำนาจไม่เป็นธรรมไม่ได้ เราจะไม่เห็นคนที่จะพูดว่าเผด็จการรัฐสภา หรือตุลาการภิวัฒน์ ในต่างประเทศเช่น สหรัฐฯ มักจะใช้การต่อรองกับทุกฝ่ายเพื่อได้ฉันทามติที่เหมาะสมกับประเทศ ทำให้เสียงค้านจะลดลง ทั้งๆที่เป็นประเทศที่มีคนหลากหลายที่สุดในโลก
ในไทยเองควรปรับเปลี่ยน เพราะวันนี้ ฝ่ายที่อ้างว่าเป็นเสียงข้างน้อย อ้างว่าเสียงข้างมากทำไม่เหมาะสม และชอบใช้เสียงข้างมาก โดยไม่รับฟังเสียงข้างน้อย แต่ถ้านำระบบฉันทามติ การทำอะไรของเสียงข้างมากต้องได้รับการยอมรับจากเสียงข้างน้อยด้วย
แน่นอนการเลือกตั้งเป็นฉันทามติหนึ่งที่ทุกคนตกลงร่วมกันแล้วผ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ถือเป็นประชาคมร่วมกันในการปกครองประเทศ ซึ่งได้กำหนดว่าการปกครองประเทศนี้ ประชาชนต้องเลือก สส และ สส จึงไปเลือกรัฐบาล
ถ้าวันนี้ฝ่ายใดให้กระทำแตกต่างจากรัฐธรรมนูญ เช่น ไม่ต้องเลือกตั้ง หรือ มีรัฐบาลกลางที่ไม่ต้องมาจากเสียงประชาชน แปลว่า ไม่เป็นฉันทามติ ปัญหาจะยุ่งยากมากขึ้น เพราะแค่กระบวนการได้มาซึ่งอำนาจรัฐสภาและบริหาร ก็ไม่ได้ได้รับการยอมรับตามฉันทามติแล้ว อยากให้ดูประเทศอย่างยูเครนที่มีการกำหนดชัดว่า ประธานาธิบดีต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนเท่านั้น แต่พอมีการตั้งประธานาธิบดีมาจากรัฐสภาแทน ประเทศจึงแตกเป็นเสี่ยง เพราะคนที่หวังอำนาจโดยไม่ได้ฉันทามติกำลังสร้างความล่มสลายของประเทศนี้
วันนี้ประเทศไทยควรมุ่งสู่การเลือกตั้ง และพรรคการเมืองทุกฝ่ายควรเสียสละด้วยการตดลงสร้างระบบฉันทามติ จริงๆ ไม่ใช่แค่พรรคการเมือง ทุกภาคส่วนตามอำนาจรัฐะรรมนูญ ทั้ง สว ศาลรัฐธรรมนูญ กกต ปปช และหน่วยงานทุกส่วนต้องทำหน้าที่ด้วยให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ถ้ามีใครค้านต้องนำเขามามีส่วนร่วมและรับฟังจนได้ข้อยุติ ถ้าทำเช่นนี้ ก็จะไม่มีใครตำหนิรัฐบาลว่าไม่ฟังฝ่ายค้าน ตำหนิศาลรัฐธรรมนูญว่าเอนเอียงไม่ตัดสินเป็นธรรม กกต ปปช ทำงานลำเอียง
การสร้างระบบฉันทามติจึงเป็นการปฏิรูปที่แท้จริง และแก้ปัญหาความขัดแย้งของประเทศในขณะนี้ได้แท้จริง ขณะที่สุเทพ กปปส นปช แค่เป็นส่วนกลุ่มคนที่ไม่พอใจรูปแบบการปกครองของประเทศนี้ เขาแค่บอกว่ามีปัญหา แต่แนวทางของเขาทุกฝ่ายจะสร้างปัญหามากขึ้น เพราะเน้นรับฟังแต่พวกตน เน้นพวกตนมีอำนาจ อย่างที่เราเคยเลือกปฏิวัติ โดย คมช ทำให้อำนาจถูกดึงอำนาจไปเองเอียงไปอีกฝ่าย จนความขัดแย้งรุนแรงเพิ่มขึ้น การใช้องค์กรอิสระและศาลที่เอนเอียง ก็สร้างขัดแย้งกันเพิ่มขึ้น
เสนอทุกพรรคการเมืองตกลงบริหารประเทศหลังเลือกตั้งภายใต้ระบบฉันทามติ ซึ่งแก้ปัญหาความขัดแย้งของทุกฝ่ายได้จริง
ระบบนี้จะเกิดจะต้องมีการรับฟังทุกฝ่ายและทำความเข้าใจทุกฝ่าย และให้ทุกฝ่ายมีส่วนในการปรับปรุงการบริหารจนกว่าได้ฉันทามติ เช่น ถ้าออกกฎหมาย ก็ต้องให้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน รวมถึงกลุ่มการเมืองอื่นยอมรับได้ การบริหารรัฐบาลก็ต้องรับฟังทุกฝ่ายและให้ทุกฝ่ายร่วมในการปรับปุง เช่น โครงการน้ำ ก็ควรนำทุกฝ่ายมาร่วมจนได้ข้อสรุปก่อนลงมือทำ การตัดสินของศาลก็เช่นกัน ควรนำพยานและนักกฎหมายที่เห็นด้วยไม่เห็นด้วยมาร่วมทั้งหมด ไม่ใช่นำแต่พยานอีกฝ่าย หรือเลือกเอาแต่กฎหมายด้านเดียว
แน่นอนถ้าเป็นแบบนี้ แต่ละฝ่ายจะมาอ้างว่าใช้อำนาจไม่เป็นธรรมไม่ได้ เราจะไม่เห็นคนที่จะพูดว่าเผด็จการรัฐสภา หรือตุลาการภิวัฒน์ ในต่างประเทศเช่น สหรัฐฯ มักจะใช้การต่อรองกับทุกฝ่ายเพื่อได้ฉันทามติที่เหมาะสมกับประเทศ ทำให้เสียงค้านจะลดลง ทั้งๆที่เป็นประเทศที่มีคนหลากหลายที่สุดในโลก
ในไทยเองควรปรับเปลี่ยน เพราะวันนี้ ฝ่ายที่อ้างว่าเป็นเสียงข้างน้อย อ้างว่าเสียงข้างมากทำไม่เหมาะสม และชอบใช้เสียงข้างมาก โดยไม่รับฟังเสียงข้างน้อย แต่ถ้านำระบบฉันทามติ การทำอะไรของเสียงข้างมากต้องได้รับการยอมรับจากเสียงข้างน้อยด้วย
แน่นอนการเลือกตั้งเป็นฉันทามติหนึ่งที่ทุกคนตกลงร่วมกันแล้วผ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ถือเป็นประชาคมร่วมกันในการปกครองประเทศ ซึ่งได้กำหนดว่าการปกครองประเทศนี้ ประชาชนต้องเลือก สส และ สส จึงไปเลือกรัฐบาล
ถ้าวันนี้ฝ่ายใดให้กระทำแตกต่างจากรัฐธรรมนูญ เช่น ไม่ต้องเลือกตั้ง หรือ มีรัฐบาลกลางที่ไม่ต้องมาจากเสียงประชาชน แปลว่า ไม่เป็นฉันทามติ ปัญหาจะยุ่งยากมากขึ้น เพราะแค่กระบวนการได้มาซึ่งอำนาจรัฐสภาและบริหาร ก็ไม่ได้ได้รับการยอมรับตามฉันทามติแล้ว อยากให้ดูประเทศอย่างยูเครนที่มีการกำหนดชัดว่า ประธานาธิบดีต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนเท่านั้น แต่พอมีการตั้งประธานาธิบดีมาจากรัฐสภาแทน ประเทศจึงแตกเป็นเสี่ยง เพราะคนที่หวังอำนาจโดยไม่ได้ฉันทามติกำลังสร้างความล่มสลายของประเทศนี้
วันนี้ประเทศไทยควรมุ่งสู่การเลือกตั้ง และพรรคการเมืองทุกฝ่ายควรเสียสละด้วยการตดลงสร้างระบบฉันทามติ จริงๆ ไม่ใช่แค่พรรคการเมือง ทุกภาคส่วนตามอำนาจรัฐะรรมนูญ ทั้ง สว ศาลรัฐธรรมนูญ กกต ปปช และหน่วยงานทุกส่วนต้องทำหน้าที่ด้วยให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ถ้ามีใครค้านต้องนำเขามามีส่วนร่วมและรับฟังจนได้ข้อยุติ ถ้าทำเช่นนี้ ก็จะไม่มีใครตำหนิรัฐบาลว่าไม่ฟังฝ่ายค้าน ตำหนิศาลรัฐธรรมนูญว่าเอนเอียงไม่ตัดสินเป็นธรรม กกต ปปช ทำงานลำเอียง
การสร้างระบบฉันทามติจึงเป็นการปฏิรูปที่แท้จริง และแก้ปัญหาความขัดแย้งของประเทศในขณะนี้ได้แท้จริง ขณะที่สุเทพ กปปส นปช แค่เป็นส่วนกลุ่มคนที่ไม่พอใจรูปแบบการปกครองของประเทศนี้ เขาแค่บอกว่ามีปัญหา แต่แนวทางของเขาทุกฝ่ายจะสร้างปัญหามากขึ้น เพราะเน้นรับฟังแต่พวกตน เน้นพวกตนมีอำนาจ อย่างที่เราเคยเลือกปฏิวัติ โดย คมช ทำให้อำนาจถูกดึงอำนาจไปเองเอียงไปอีกฝ่าย จนความขัดแย้งรุนแรงเพิ่มขึ้น การใช้องค์กรอิสระและศาลที่เอนเอียง ก็สร้างขัดแย้งกันเพิ่มขึ้น