สุดปลายฝัน บทที่ ๕

กระทู้สนทนา
บทก่อนหน้า

บทนำ   http://pantip.com/topic/31223069
บทที่ ๑ http://pantip.com/topic/31235568
บทที่ ๒ http://pantip.com/topic/31253339
บทที่ ๓ http://pantip.com/topic/31265981
บทที่ ๔ http://pantip.com/topic/31283288


เอลิซาเบธ วิลสัน ทอดสายตามองตามสองร่างที่เดินเคียงกันจากไป หลังจากที่เดินมาส่งเธอที่บ้าน และทักทายนายแพทย์เออร์เนสท์ สามีของเธอที่กลับมาถึงบ้านก่อนแล้ว หญิงสาวหันกลับมาหาสามีที่ยืนส่งแขกอยู่ข้าง ๆ

“เจ้าสาวในอนาคตของวิลเลียมหรือคะ” ผู้เป็นสามียิ้มอย่างขบขันเมื่อเห็นสีหน้าแสดงความอยากรู้อยากเห็นของภรรยา ต่อให้จะรู้มารยาทอย่างไร ก็ทนความอยากรู้อยากเห็นอย่างผู้หญิงไม่ได้สิน่า ก่อนจะถามกลับด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า

“คุณอยู่กับเธอทั้งวัน ไม่ถามเจ้าตัวเองเล่า” ซึ่งเรียกค้อนวงใหญ่จากผู้เป็นภรรยาได้ทันควัน

“คุณก็ ฉันจะละลาบละล้วงเช่นนั้นได้อย่างไรกันคะ” พูดพลางทำตาประหลับประเหลือก เรียกเสียงหัวเราะถูกใจจากสามี เขาส่ายศีรษะก่อนจะตอบ

“ผมก็ไม่ทราบ อยู่ ๆ เธอก็อยู่ที่บ้านของวิลเลียม ผมพบเธอครั้งแรกตอนที่วิลเลียมเรียกให้ไปตรวจเธอ และเขาไม่ได้บอกอะไร ทำไมคุณจึงคิดว่าเป็นเจ้าสาวในอนาคตของวิลเลียมล่ะ”

“ก็... วิลเลียมส่งเธอมาเรียนรู้ธรรมเนียมของเรา เรียนการเรือนอย่างผู้ญิงของเรา หากเขาไม่ต้องการเตรียมเธอให้เป็นเจ้าสาวที่เพียบพร้อม เขาจะมาเสียเวลาทำไมเล่าคะ” ตอบสามีอย่างที่คิด

“อีกอย่างนาทาย่าห์ก็บอกว่าวิลเลียมส่งมาเรียนกับฉันเพราะเกรงเธอจะทำขายหน้าเวลาพาออกงาน หากไม่ใช่ในฐานะคุณผู้หญิงของเขา เขาจะพาเธอออกงานทำไมเล่าคะ” หญิงสาวผู้นั้นบอกเธอว่า เกรงชายหนุ่มจะขายหน้าเวลาพาไปไหนมาไหน แล้วไปไหนมาไหนที่ว่านั่น จะไปไหนได้เล่า ถ้าไม่ใช่ไปร่วมงานสังสรรค์ที่วิลเลียมคงจะได้รับเชิญอยู่บ่อย ๆ

“แล้วถ้าใช่คุณคิดอย่างไร” ผู้เป็นสามีถาม เอลิซาเบธครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ

“ฉันก็จะยินดีกับพวกเขาทั้งสองเป็นที่สุดน่ะสิคะ วิลเลียมอยู่คนเดียวมานานแล้ว เขาดูท่าทางจะสนใจแต่ธุรกิจของเขา ไม่เคยจะมีสายตามองผู้หญิงที่ไหนเลย ทั้ง ๆ ที่ฉันก็พยายามจะแนะนำสุภาพสตรีผู้เพียบพร้อมในเมืองนี้ให้จนแทบจะทั้งเมืองแล้ว” ตอบก่อนจะส่ายศีรษะราวอ่อนใจกับเพื่อนสนิทของสามี

“แต่เธอดูแตกต่างกับเรามากเหลือเกินค่ะ” บอกสามี สายตาครุ่นคิด นึกถึงบทสนทนาระหว่างหญิงสาวผู้อยู่ร่วมบ้านกับเพื่อนสนิทของสามี

“อย่างไรรึ”

“ฉันไม่ค่อยแน่ใจว่าเธอมาจากครอบครัวอย่างไร เธอเล่าว่าเธออยู่เพียงลำพังกับมารดา และต้องทำงานเพื่อเลี้ยงดูตนเอง ฉันเดาว่าเมื่อในบ้านไม่มีผู้ชายดูแล เธอจึงต้องเป็นคนทำงานกระมังคะ ท่าทางจะขัดสนอยู่ทีเดียว แต่แล้วฉันก็มาคิด ถ้าหากเธอมีชีวิตที่ขัดสน เธอจะได้รับการศึกษาที่ดีได้อย่างไร เธอบอกว่าทำงานแปลเอกสารจากภาษาหนึ่งไปอีกภาษาหนึ่ง หากมีความเชี่ยวชาญในภาษามากกว่าหนึ่งภาษา ก็แปลว่าได้รับการศึกษามาอย่างดีทีเดียว”

“บางทีบ้านเมืองของเธออาจจะแตกต่างกับเราก็ได้” ผู้เป็นสามีว่า เอลิซาเบธเห็นด้วยกับสามี

“นั่นสิคะ แต่ฉันก็นึกไม่ออกว่าจะมีบ้านเมืองไหนเป็นแบบนั้น”

“คราวหลังคุณก็ถามเธอสิ ถามถึงบ้านเมืองและผู้คน คงไม่ใช่การละลาบละล้วง” ผู้เป็นสามีแนะนำ ก่อนที่ผู้เป็นภรรยาจะเปลี่ยนเรื่องด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“หากวิลเลียมแต่งงานกับเธอจริง ๆ ก็ดีสินะคะ ฉันจะได้มีเพื่อนที่ใกล้ชิดจริง ๆ เสียที นี่ฉันชวนเธอมาช่วยงานที่โรงเรียนด้วยนะคะ เธอดูตื่นเต้นที่ฉันชวน แต่ก็ต้องปรึกษาวิลเลียมก่อน ฉันหวังว่าเขาจะอนุญาต”

“ผมเชื่อว่าวิลเลียมคงไม่มีปัญหา มีแต่จะดีใจที่จะมีคนมาช่วยงานคุณนั่นแหละ” สามีว่า ขณะเดียวกับที่คนรับใช้เดินมาแจ้งว่าได้เวลาอาหารเย็นแล้ว สองสามีภรรยาจึงเดินเคียงกันเข้าไปในห้องอาหาร ที่อยู่ไม่ห่างจากห้องนั่งเล่นที่คุยกันอยู่มากนัก



หลังรับประทานอาหารเย็น สองหนุ่มสาวนั่งคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นห้องหนึ่งในปีกที่พักอาศัยของอาคารสถานีแปรรูปวาฬ ปีกด้านที่พักอาศัยของอาคารหลังนี้ประกอบไปด้วยห้องนอนใหญ่ของชายหนุ่มเจ้าของบ้าน ห้องนอนเล็กของหญิงสาวผู้มาจากแดนไกล ห้องว่างสำหรับรับรองแขกอีกสามห้อง ห้องทำงานของชายหนุ่ม ห้องรับประทานอาหาร ห้องครัว ห้องซักล้าง และห้องนั่งเล่นที่นั่งกันอยู่นี้

ไฟในเตาผิงลุกโพลง ส่งผ่านความร้อนออกมาให้ความอบอุ่นไปทั่วทั้งห้อง ตะเกียงน้ำมันก๊าดถูกจุดไว้ทุกมุมเพื่อให้แสงสว่าง เป็นอีกวิถีชีวิตหนึ่งที่ณัฐญาณ์จำเป็นต้องปรับตัวให้ได้... ชีวิตที่ไม่มีไฟฟ้า!

“วิลเลียมคะ ฉันมีเรื่องจะปรึกษา” หญิงสาวพูดขึ้นในตอนหนึ่ง

“โอ ผมหวังว่าคุณจะไม่มีปัญหาอะไร” ชายหนุ่มถาม น้ำเสียงเจือแววกังวล ทำให้คนได้ยินถึงกับยิ้ม ชายหนุ่มรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับเธอในวันแรกที่เธอหลงเข้ามาที่นี่อย่างเคร่งครัด

“ระหว่างนี้ ผมอยากให้คุณอยู่ที่นี่อย่างสบายใจในฐานะแขกของผม คุณจะมีฐานะเป็นเจ้านายคนหนึ่งของบ้าน และในฐานะเจ้าของบ้าน ผมจะดูแลคุณอย่างดีที่สุด จนกว่าจะถึงเวลาเดินทางกลับของคุณ”

เขาบอกเธอว่าอย่างนั้นหลังจากที่รู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน และเขาก็ปฏิบัติตามที่พูดทุกประการ เธอได้รับการปรนนิบัติดูแลอย่างดีจากคนรับใช้ของเขา ทุกคนที่นี่ปฏิบัติกับเธอราวกับเป็นเจ้านายของพวกเขาคนหนึ่ง ชายหนุ่มดูแลจัดการให้เธอมีกิจกรรมที่จะช่วยให้สามารถปรับตัวกับการใช้ชีวิตในดินแดนที่แตกต่าง อย่างที่เขาขอให้เอลิซาเบธช่วยสอนเรื่องกริยามารยาท ขนบธรรมเนียม และงานบ้านงานเรือนให้กับเธอ และเขายื่นมือเข้ามาดูแลเธอในทุก ๆ ด้าน จนบางครั้งก็ดูเหมือนจะมากเกินไปจนหญิงสาวไม่ทราบจะรู้สึกอย่างไรดี

ณัฐญาณ์เคยชินกับการช่วยเหลือตนเองมาตลอด นับตั้งแต่บิดาเสียชีวิตและเธอเองเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศคนเดียวหลายปี ทำให้หญิงสาวไม่คุ้นเคยกับการถูกดูแลจากคนอื่น เมื่อได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากคนที่แทบจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แรก ๆ หญิงสาวรู้สึกแปลก ๆ  แต่เมื่อเริ่มเคยชินก็รู้สึกอุ่น ๆ อยู่ในหัวใจ เพราะรู้สึกว่าเธอไม่ได้โดดเดี่ยวอยู่ในดินแดนที่อยู่คนละชาติภพแห่งนี้เพียงลำพัง หากยังมีชายหนุ่มเจ้าของสถานีแปรรูปวาฬ และเจ้าของบ้านที่เธออาศัยอยู่อยู่ข้าง ๆ อีกคนหนึ่ง

“ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่เอลิซาเบธชวนฉันให้ช่วยงานที่โรงเรียน แล้วฉันก็อยากทำ คุณจะว่าอะไรไหมคะ”

“ด้วยความยินดีครับ แนท หากคุณจะกรุณาช่วยสอนเด็ก ๆ ของเรา” ชายหนุ่มตอบ ใบหน้ายิ้มละไม นัยน์ตาฉายแววพอใจ

“ขอบคุณมากค่ะวิลเลียม พรุ่งนี้ฉันจะบอกเอลิซาเบธ เธอคงดีใจ” หญิงสาวตอบ ยิ้มอย่างยินดี อย่างน้อย ๆ เธอก็ไม่ได้อยู่ที่นี่อย่างไร้ค่าไปวัน ๆ

“ผมหวังว่าคุณจะอยู่ที่นี่อย่างสุขสบาย” ชายหนุ่มพูดเป็นเชิงถาม

ณัฐญาณ์นิ่งไปสักพัก ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดในสิ่งที่คิดอยู่ออกไปให้ชายหนุ่มฟังดีหรือไม่ แต่เมื่อมาคิดว่า หากไม่นับโมราน เขาเป็นเพียงคนเดียว ที่รู้ว่าหญิงสาวอยู่ในสถานการณ์อย่างไร เขาน่าจะเข้าใจเธอไม่ใช่หรือไร

“ฉัน... สุขสบายดีค่ะ ฉันถูกปรนนิบัติอย่างดี อย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต แต่ก็มีหลายอย่างที่แตกต่างเหลือเกิน แม้ฉันพยายามที่จะปรับตัว แต่บางครั้งมันก็มากเกินไปจนฉันอึดอัด บางครั้งฉันก็ไม่แน่ใจว่าฉันจะอยู่ที่นี่ได้จนถึงสิบปีหรือเปล่า” ถอนหายใจยืดยาว ใบหน้าเศร้าสร้อย ก่อนจะกล่าวต่อ

“แต่ฉันก็ต้องทนให้ได้ใช่ไหมคะ เพราะถึงจะทนไม่ได้ ฉันก็ไปไหนไม่ได้อยู่ดี”

“นาทาย่าห์ ผมไม่อยากให้คุณรู้สึกเหมือนคุณติดอยู่ที่นี่ไปไหนไม่ได้ ขอให้คุณพยายามคิดว่า คุณเพียงแต่มาอาศัยอยู่ต่างถิ่นชั่วคราวได้ไหม”

“ฉันพยายามค่ะวิลเลียม พยายามมาก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันแตกต่างกับที่ฉันจากมาโดยสิ้นเชิง แม้แต่สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน อย่างตะเกียงนี่ เราจะได้เห็นก็ในร้านขายของเก่าเท่านั้น เรามีไฟฟ้าใช้ สว่างไสวไปหมด นาน ๆ ทีจะมีไฟดับที่ทำให้ต้องจุดเทียนบ้าง แต่ไฟดับเพียงไม่กี่นาทีเราก็อึดอัดจนจะทนไม่ไหวแล้วค่ะ แต่นี่ฉันต้องอยู่แบบไม่มีไฟฟ้าตลอดเวลา”

ชายหนุ่มนิ่งฟังอย่างสนใจ เขารู้จักไฟฟ้าจากหนังสือที่อ่าน แต่ยังไม่เคยได้สัมผัสด้วยตนเอง เพราะที่ออสเตรเลียยังไม่มีไฟฟ้าใช้ เมื่อได้ฟังคนที่มีประสบการณ์ตรงเล่าให้ฟัง ชายหนุ่มรู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจอย่างที่น้อยคนจะมีโอกาสอย่างเขา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่