พบ 4 กลไกขับเคลื่อนคือ การบริโภค-ส่งออก-ลงทุน–การใช้จ่ายของภาครัฐชะลอตัวพร้อมกัน ทำเศรษฐกิจไทยติดหล่ม “ดร.สมคิด”ชี้ส่งออกทรุดไม่ได้มาจากปัจจัยต่างประเทศ แนะให้เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ “การเมือง” ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่น
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 31 ที่ จ.ตรัง เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจของไทยกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ล้ามาจากกลไกขับเคลื่อนชะลอตัวพร้อมๆ กันคือ การบริโภคชะลอตัว การส่งออกลดลง รวมทั้งการลงทุน และการใช้จ่ายของภาครัฐอาจส่งผลให้เศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ในปีนี้ขยายตัวได้ที่ประมาณ 3% ดังนั้นต้องการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศไทยกับฝ่ายต่างๆ
“ในปีหน้าภาคที่มองว่าจะสามารถขยับตัวให้ดีขึ้นมาได้ในช่วงปีหน้ามีเพียงการส่งออกเท่านั้น ส่วนอีก 3 ด้านที่เหลือยังมองไม่เห็นมาตรการที่มารองรับว่าจะทำให้ฟื้นตัวได้อย่างไร จึงอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจปีหน้าฟื้นตัวช้า และมีอัตราการขยายตัวที่ต่ำ รวมไปถึงอาจเกิดความผันผวนทั้งตลาดเงินและตลาดทุนได้” นายสมคิด กล่าว
สำหรับการส่งออกตกต่ำไม่ได้เป็นเพราะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ แต่เป็นเพราะโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ที่เริ่มแข่งขันกับต่างประเทศไม่ได้แล้วโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของไทยเป็นอดีตไปแล้ว ไทยจำเป็นต้องมีการพัฒนา เปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้านต่างๆของประเทศให้ดีกว่านี้ ทั้งการศึกษา เทคโนโลยี เป็นต้น ต้องเร่งปฏิรูปภาคการเกษตรให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม เร่งปฏิรูปด้านการคลัง โดยให้ความสำคัญดูแลเรื่องของการใช้จ่ายภาครัฐตามนโยบายต่างๆ และการดูแลหนี้สาธารณะไม่ให้เพิ่มมากขึ้น
นายสมคิดกล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ยอมรับว่ามีความเป็นห่วง เนื่องจากการเมืองไม่มีเสถียรภาพ ซึ่งการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถทำให้ประเทศอ่อนแอลงได้ โดย กลไกรัฐเป็นตัวขับเคลื่อนให้ประเทศสามารถเดินต่อไปได้ เป็นตัวผลักดันในการขับเคลื่อนประเทศ จึงต้องการให้ทุกฝ่ายเห็นความสำคัญของประเทศเป็นสำคัญ แต่ขณะนี้กลไกรัฐเป็นอุปสรรค เนื่องจากภาครัฐมุ่งแก้ปัญหาด้านการเมืองเกิดความไม่เชื่อใจของประชาชน ทั้งนโยบายประชานิยม การคอร์รัปชั่นที่ขยายตัวสูงซึ่งเป็นตัวบั่นทอนความไว้ใจของรัฐบาล และนอกจากนี้จากความผิดพลาดของรัฐบาลบางเรื่องส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่เกิดความไม่เชื่อใจ จึงจำเป็นต้องเร่งแก้ไข
อย่างไรก็ดีการชุมนุมนั้นถือเป็นเรื่องของสิทธิ์ที่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย ประชาชนสามารถทำได้ ในส่วนของแกนนำผู้ชุมนุมก็ควรดูแลประชาชนที่เข้าร่วมอย่างเต็มที่อย่าให้เกิดกระทบกระทั่งและไม่ให้ความสูญเสีย เนื่องจากผู้ชุมนุมจำนวนมากมาด้วยความบริสุทธิ์ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนสีไหน กลุ่มใดก็ตาม เพราะหากสูญเสียจะเป็นเรื่องใหญ่ท่ามกลางสถานการณ์ของกลไกรัฐอยู่ในภาวะที่สูญเสีย และภาพความขัดแย้งของสภานิติบัญญัติกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ทางสภานิติบัญญัติที่ไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องที่รุนแรงมากในเรื่องของภาพพจน์ในสายตาของโลก ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหาย และอาจนำไปสู่ความรุนแรง
ส่วนนักลงทุนต่างชาติยังคงมีความกังวลที่จะลงทุนในประเทศไทยเพราะไทยเป็นประเทศที่ไม่มีความแน่นอน โดยเฉพาะจากสถานการณ์บ้านเมือง ฉะนั้นนักธุรกิจจึงควรปรับตัวเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ภายในสภาวะดังกล่าว การหวังให้ภาครัฐเป็นตัวขับเคลื่อนในช่วงนี้คงทำได้ลำบาก เอกชนจะต้องเป็นผู้ประสานงานร่วมกับรัฐและเอกชนเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้
ดังนั้นจึงเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ เพื่อให้ไทยพัฒนาต่อไป
“รัฐบาลควรมีความระมัดระวังต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนผู้นำควรมีความเสียสละ อดทน หันหน้าพูดคุยกัน ขณะที่แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมควรดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมให้อยู่ในความสงบ ไม่ให้เกิดความสูญเสีย และตอนนี้ก็เกิดคำว่า don’t Thai with me อย่ามาทำเป็นไทยกับฉัน ซึ่งเป็นเรื่องที่แย่มากสำหรับศักดิ์ศรีของไทย”ดร.สมคิด กล่าว
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่าในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs)จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ ซึ่งหอการค้าไทยจะสรุปผลการประชุมเพื่อจัดทำสมุดปกขาวเสนอต่อรัฐบาลในเวทีที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน(กรอ.)ต่อไป
ที่มา
http://www.naewna.com/business/78924
ถึงเวลา "ปฎิรูปประเทศ" ดร.สมคิด ชี้ ปัญหาคอรัปชั่น ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง บั่นทอนชาติ
พบ 4 กลไกขับเคลื่อนคือ การบริโภค-ส่งออก-ลงทุน–การใช้จ่ายของภาครัฐชะลอตัวพร้อมกัน ทำเศรษฐกิจไทยติดหล่ม “ดร.สมคิด”ชี้ส่งออกทรุดไม่ได้มาจากปัจจัยต่างประเทศ แนะให้เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ “การเมือง” ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่น
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 31 ที่ จ.ตรัง เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจของไทยกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ล้ามาจากกลไกขับเคลื่อนชะลอตัวพร้อมๆ กันคือ การบริโภคชะลอตัว การส่งออกลดลง รวมทั้งการลงทุน และการใช้จ่ายของภาครัฐอาจส่งผลให้เศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ในปีนี้ขยายตัวได้ที่ประมาณ 3% ดังนั้นต้องการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศไทยกับฝ่ายต่างๆ
“ในปีหน้าภาคที่มองว่าจะสามารถขยับตัวให้ดีขึ้นมาได้ในช่วงปีหน้ามีเพียงการส่งออกเท่านั้น ส่วนอีก 3 ด้านที่เหลือยังมองไม่เห็นมาตรการที่มารองรับว่าจะทำให้ฟื้นตัวได้อย่างไร จึงอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจปีหน้าฟื้นตัวช้า และมีอัตราการขยายตัวที่ต่ำ รวมไปถึงอาจเกิดความผันผวนทั้งตลาดเงินและตลาดทุนได้” นายสมคิด กล่าว
สำหรับการส่งออกตกต่ำไม่ได้เป็นเพราะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ แต่เป็นเพราะโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ที่เริ่มแข่งขันกับต่างประเทศไม่ได้แล้วโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของไทยเป็นอดีตไปแล้ว ไทยจำเป็นต้องมีการพัฒนา เปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้านต่างๆของประเทศให้ดีกว่านี้ ทั้งการศึกษา เทคโนโลยี เป็นต้น ต้องเร่งปฏิรูปภาคการเกษตรให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม เร่งปฏิรูปด้านการคลัง โดยให้ความสำคัญดูแลเรื่องของการใช้จ่ายภาครัฐตามนโยบายต่างๆ และการดูแลหนี้สาธารณะไม่ให้เพิ่มมากขึ้น
นายสมคิดกล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ยอมรับว่ามีความเป็นห่วง เนื่องจากการเมืองไม่มีเสถียรภาพ ซึ่งการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถทำให้ประเทศอ่อนแอลงได้ โดย กลไกรัฐเป็นตัวขับเคลื่อนให้ประเทศสามารถเดินต่อไปได้ เป็นตัวผลักดันในการขับเคลื่อนประเทศ จึงต้องการให้ทุกฝ่ายเห็นความสำคัญของประเทศเป็นสำคัญ แต่ขณะนี้กลไกรัฐเป็นอุปสรรค เนื่องจากภาครัฐมุ่งแก้ปัญหาด้านการเมืองเกิดความไม่เชื่อใจของประชาชน ทั้งนโยบายประชานิยม การคอร์รัปชั่นที่ขยายตัวสูงซึ่งเป็นตัวบั่นทอนความไว้ใจของรัฐบาล และนอกจากนี้จากความผิดพลาดของรัฐบาลบางเรื่องส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่เกิดความไม่เชื่อใจ จึงจำเป็นต้องเร่งแก้ไข
อย่างไรก็ดีการชุมนุมนั้นถือเป็นเรื่องของสิทธิ์ที่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย ประชาชนสามารถทำได้ ในส่วนของแกนนำผู้ชุมนุมก็ควรดูแลประชาชนที่เข้าร่วมอย่างเต็มที่อย่าให้เกิดกระทบกระทั่งและไม่ให้ความสูญเสีย เนื่องจากผู้ชุมนุมจำนวนมากมาด้วยความบริสุทธิ์ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนสีไหน กลุ่มใดก็ตาม เพราะหากสูญเสียจะเป็นเรื่องใหญ่ท่ามกลางสถานการณ์ของกลไกรัฐอยู่ในภาวะที่สูญเสีย และภาพความขัดแย้งของสภานิติบัญญัติกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ทางสภานิติบัญญัติที่ไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องที่รุนแรงมากในเรื่องของภาพพจน์ในสายตาของโลก ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหาย และอาจนำไปสู่ความรุนแรง
ส่วนนักลงทุนต่างชาติยังคงมีความกังวลที่จะลงทุนในประเทศไทยเพราะไทยเป็นประเทศที่ไม่มีความแน่นอน โดยเฉพาะจากสถานการณ์บ้านเมือง ฉะนั้นนักธุรกิจจึงควรปรับตัวเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ภายในสภาวะดังกล่าว การหวังให้ภาครัฐเป็นตัวขับเคลื่อนในช่วงนี้คงทำได้ลำบาก เอกชนจะต้องเป็นผู้ประสานงานร่วมกับรัฐและเอกชนเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้
ดังนั้นจึงเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ เพื่อให้ไทยพัฒนาต่อไป
“รัฐบาลควรมีความระมัดระวังต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนผู้นำควรมีความเสียสละ อดทน หันหน้าพูดคุยกัน ขณะที่แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมควรดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมให้อยู่ในความสงบ ไม่ให้เกิดความสูญเสีย และตอนนี้ก็เกิดคำว่า don’t Thai with me อย่ามาทำเป็นไทยกับฉัน ซึ่งเป็นเรื่องที่แย่มากสำหรับศักดิ์ศรีของไทย”ดร.สมคิด กล่าว
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่าในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs)จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ ซึ่งหอการค้าไทยจะสรุปผลการประชุมเพื่อจัดทำสมุดปกขาวเสนอต่อรัฐบาลในเวทีที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน(กรอ.)ต่อไป
ที่มา http://www.naewna.com/business/78924