"ต้องคิด" (บทความใน นสพ. โพสท์ทูเดย์วันที่ 19 พฤศจิกายน 2556)

ต้องคิด (บทความใน นสพ. โพสท์ทูเดย์วันที่ 19 พฤศจิกายน 2556)
---------

โดย พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน


การขยายตัวทางเศรษฐกิจในไดรมาสที่ 3 น่าจะเติบโตได้ 2.5- 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว ซึ่งจะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2556 นี้ ต่ำกว่าที่คาดหมายอย่างแน่นอน ประกอบกับในไตรมาสที่สี่ปีที่แล้วมีการขยายตัวถึง 18.9% หลังจากปีก่อนหน้านี้เกิดน้ำท่วม ดังนั้นการขยายตัวในไตรมาส 4 ให้มากขึ้นกว่าปีที่แล้วในระดับสูงคงจะเป็นไปได้ยาก สาเหตุหลักมาจากการส่งออกที่ขยายตัวต่ำว่าการคาดหมายมาก ซึ่งทั้งปีนี้ไม่น่าจะขยายเกิน 1% และยิ่งต้องมาเจอภาวะความไม่สงบทางการเมืองในช่วงนี้ยิ่งทำให้โอกาสที่ขยายตัวดีขึ้นแทบไม่มีเลย และซ้ำร้ายหากการชุมนุมทางการเมืองเกิดมีความรุนแรงหรือมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนอกระบอบประธิปไตย ก็จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาการขยายตัวทางเศรษฐกิจกระทบไปถึงปีหน้าด้วย

การที่ประชาชนจำนวนมากจากทุกแขนงออกมาคัดค้าน พรบ. นิรโทษกรรม นับเป็นสิทธิ์ที่ทำได้ตามระบอบประชาธิปไตย และต้องถือเป็นแนวทางที่ถูกต้องในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งทำให้รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฏร ต้องรับฟังและได้ถอยในเรื่องดังกล่าวแล้ว ประกอบกับวุฒิสภาได้คว่ำ พรบ. นี้แล้ว และก็เชื่อแน่ว่ากระแสคัดค้านมากมายขนาดนี้คงไม่มีใครกล้าที่จะนำกลับขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน แต่การที่ฝ่ายค้านพยายามสร้างกระแสเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ทางการเมืองอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสนอให้มีการหยุดงานและไม่จ่ายภาษี ซึ่งจะสร้างผลกระทบให้กับประเทศอย่างมาก หากเป็นผู้นำฝูงชนธรรมดาก็พอจะเข้าใจได้ แต่นี่เป็นแกนนำของพรรคการเมืองที่น่าจะเห็นประโยชน์ของประเทศมากกว่าผลทางการเมือง และนับเป็นโชคดีที่ สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยหลายแห่ง และ หน่วยงานเอกชนต่างๆ รวมถึง องค์การต่อต้านคอรัปชั่น ได้ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยในเรื่องดังกล่าว เพราะจะทำให้ประเทศสูญเสียอย่างมาก โดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรมได้อออกมาบอกว่าการไม่จ่ายภาษีก็ถือเป็นการคอรัปชั่นอย่างหนึ่ง และเห็นว่า พรบ. นิรโทษกรรมได้จบสิ้นลงแล้ว ควรจะเลิกการชุมนุม นอกจากนี้ผลการชุมนุมยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวไม่กล้าเดินทางมาไทย เพราะกลัวความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะช่วงเวลานี้ที่ได้เข้าสู่ช่วงเริ่มต้นของไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวของไทย โดยจะส่งผลกระทบต่อรายได้จากการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักและมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องต้องหยุดชะงักลง

นอกจากนี้การที่ การประกาศยกระดับการชุมนุมพร้อมทั้งการลาออกของ สส.ของพรรคฝ่ายค้านหลายท่าน โดยประกาศว่าถึงรัฐบาลจะยุบสภาก็จะไม่ลงเลือกตั้ง ทำให้นึกถึงปี 2549 ก่อนที่เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร ที่พรรคฝ่ายค้านไม่ยอมลงเลือกตั้ง ซึ่งหวังว่าเหตุการณ์อย่างนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก เพราะจะทำให้ประเทศต้องถอยหลังไปอีกมาก และความเชื่อถือของต่างประเทศจะตกต่ำถึงขีดสุด ตามที่ WEF ได้เคยวิเคราะห์ประเทศไทยว่าปัญหาอันดับหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถแข่งขันของประเทศไทยคือ ความไม่มั่นคงของรัฐบาลและมีการปฏิวัติ และที่ต้องคิดและน่าเป็นห่วงมากสุดคือ การที่เกิดมวลชนขึ้นทั้งสองฝ่าย ซึ่งอาจจะเกิดการกระทบกระทั่งกันจนเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมาได้ และถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น โอกาสที่จะเกิดการรัฐประหารก็จะเพิ่มขึ้นอีกมาก

และต้องนับเป็นโชคดีของประเทศไทย ที่คำตัดสินของศาลโลกในคดีเขาพระวิหารไม่ได้ออกมาที่จะทำให้สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้วรุนแรงเพิ่มขึ้น ซึ่งการชุมนุมในวันอ่านคำพากษานับเป็นวันที่มีผู้ชุมนุมมากที่สุด และอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงได้ ไม่อยากจะรู้สึกว่ามีคนไทยบางคนถึงกับจะยอมเสียดินแดนเพื่อที่จะใช้เป็นเหตุผลในการที่จะยกระดับการชุมนุมเพียงเพื่อที่จะล้มรัฐบาลให้ได้ ทั้งๆที่หากมองย้อนหลัง ปัญหาที่กัมพูชายื่นฟ้องให้กับศาลโลกตีความก็เกิดมาจากรัฐบาลที่แล้วมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงกับรัฐบาลกัมพูชาถึงกับมีการยิงอาวุธสงครามเข้าใส่กันในบริเวณที่มีข้อพิพาท ซึ่งเป็นเหตุให้รัฐบาลกัมพูชาอาศัยความขัดแย้งรุนแรงนี้สามารถยื่นตีความกับศาลโลกได้ อีกทั้งยังมีการส่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรของฝ่ายรัฐบาลในขณะนั้นเข้าไปในบริเวณข้อพิพาทเพื่อยุแหย่ให้เกิดปัญหา ส่งผลให้คนไทยยังต้องติดคุกอยู่ในกัมพูชาจนถึงปัจจุบัน


ทั้งนี้ ผู้เขียนมีข้อมูลในเชิงลึกว่า รัฐบาลกัมพูชาไม่ได้มีความต้องการที่จะมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับไทยถึงกับต้องยิงอาวุธเข้าใส่กันและต้องการจะยุติข้อพิพาทกับรัฐบาลไทยในขณะนั้น โดยได้เรียกร้องผ่านผู้ใหญ่ไทยของไทยที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชาให้ช่วยเข้ามาประสานในการแก้ปัญหา โดยเห็นว่าไทยและกัมพูชาน่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีและสร้างประโยชน์ร่วมกันได้ โดยยินดีเจรจาเพื่อให้มีการจัดการในพื้นที่ที่เป็นปัญหาร่วมกัน แต่ผู้นำของรัฐบาลในขณะนั้นกลับไม่ให้ความสนใจ โดยอาจจะหวังผลทางการเมืองในประเทศมากกว่า เรื่องนี้ผู้ที่ทราบเรื่องดีที่สุดคือ พลเอก มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ และ พลเอก วิชิต ยาทิพย์

และที่ต้องคิดคือ ในขณะที่มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง แต่ผู้นำรัฐบาลไทยในขณะนั้นกลับส่ง รองนายกฯ สุเทพ ไปแอบเจรจาเรื่องพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับกัมพูชา


https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=396751093788607&id=174738095989909
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่