แสกน "ม็อบคปท." โค่นรัฐบาล รายงานพิเศษ ข่าวสดออนไลน์

กระทู้สนทนา
ม็อบไล่รัฐบาลในนามกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาและประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ที่ปักหลักบริเวณ
แยกอุรุพงษ์มาร่วม 2 สัปดาห์ ยังคงชุมนุมยืดเยื้อทั้งที่จุดกระแสไม่ติด

แต่ก็ทำให้รัฐบาลต้องประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงต่อไปอีกจนถึงสิ้นเดือนพ.ย.

เบื้องหลังการเคลื่อนไหวครั้งนี้มีเป้าหมายและจุดประสงค์ใดเป็นหลัก เป็นการเพาะเชื้อรอจังหวะเวลา
เข้าสู่เกมโค่นอำนาจอย่างไร

นักวิชาการที่เกาะติดสถานการณ์มองแผนและยุทธศาสตร์ของม็อบในร่าง คปท. ไว้ดังนี้



สุขุม นวลสกุล
อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง


กลุ่ม คปท. ดูเหมือนจะยึดหลักการชุมนุมยืดเยื้อยาวนาน โดยการปิดพื้นที่บริเวณสี่แยกอุรุพงษ์
เพื่อรอเวลารอประเด็นที่สามารถจุดติดการชุมนุมให้มีความรุนแรงยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะกรณีที่ศาลโลกกำลังจะมีคำพิพากษาคดี ข้อพิพาทปราสาทเขาพระวิหาร
ระหว่างไทยกับกัมพูชา

เหตุที่ผู้ชุมนุมน่าจะใช้ประเด็นนี้มาโจมตีรัฐบาลมากที่สุด เพราะขณะนี้สังคมถูกทำให้เชื่อแล้วว่า
ไม่ว่าคำตัดสินจะออกมาอย่างไร ไทยก็ต้องเสียปราสาทเขาพระวิหารให้กัมพูชา

ซึ่งประเด็นในการโจมตีก็มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวหาว่ารัฐบาลชุดนี้
มีความสนิทสนมกับรัฐบาลกัมพูชา ซึ่งอาจเกิดคำที่เรียกว่าการ "ซูเอี๋ย" กันและกัน

เพราะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของชาตินิยมหรือ ความมั่นคงของชาติ ค่อนข้างส่ง
ผลกระทบกับคนไทย เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่อ่อนไหวอยู่พอสมควร

อีกทั้งที่ผ่านมาการชุมนุมของกลุ่มดังกล่าวแทบไม่มีอะไรที่น่าสนใจ หรือมีน้ำหนักเพียงพอ
ที่จะให้รัฐบาลหรือประชาชนมาสนใจ

เนื่องจากคนทั่วไปจะเห็นว่า ผู้ที่เป็นแกนนำออกมาเคลื่อนไหวนั้นล้วนแล้วแต่เป็นหน้าเดิมๆ
ที่ไม่ว่ารัฐบาลจะทำอะไร ก็ผิดไปหมดทุกเรื่อง จึง เป็นสาเหตุให้ประชาชนมาเข้าร่วมน้อย

ดังนั้น กลุ่ม คปท.คงรอประเด็นเขาพระวิหารนี้ และอาจรวมไปถึงประเด็นร้อนต่างๆ
ทางการเมืองมาใช้โจมตีรัฐบาล และคงหวังผลโค่นล้มระบอบทักษิณให้ได้

ในทางกลับกัน ประเด็นที่กลุ่ม คปท.รอเวลาใช้โจมตีรัฐบาลอย่างเขาพระวิหารนั้น
อาจไม่สามารถที่จะจุดติดจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลได้ เพราะขณะนี้
ประชาชนเข้าใจคดีเขาพระวิหารมากยิ่งขึ้น

ยิ่งการที่รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลทุกขั้นตอนเกี่ยวกับ การพิจารณาคดีของศาลโลก
เท่ากับว่ารัฐบาลไม่ได้ปิดบัง แต่อย่างใด ดังนั้นประเด็นนี้จึงไม่น่าจะเป็นเชื้อไฟ
ได้ดีพอ ไม่เหมือนกับปี 2551

อย่างไรก็ตาม การชุมนุมที่ปิดพื้นที่บริเวณสี่แยกอุรุพงษ์นี้ ยังมีความก้ำกึ่งว่าจะเป็นการ
ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ และรัฐบาลเองก็คงลำบากใจที่จะเข้ามาจัดการกับการชุมนุม ดังกล่าว

เนื่องจากก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาล ได้ประกาศนโยบายชัดเจนว่าจะ
ไม่ใช้หลักการสลายการชุมนุม ซึ่งเหตุการณ์ขณะนี้ก็เหมือนกับรัฐบาลโดน
ย้อนศรในนโยบายของตัวเอง

อย่างมากคงทำได้แค่ตัดท่อน้ำเลี้ยงไปเรื่อยๆ



วิโรจน์ อาลี
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์



การชุมนุมบริเวณสี่แยก อุรุพงษ์ที่ต้องการขับไล่รัฐบาลนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้น
ขณะนี้คือข้อเสนอที่เรียกร้องต่อรัฐบาลยังไม่เกิดความชัดเจน หรือมีประเด็นใด
เชื่อมโยงกับสถานภาพทางการเมืองในปัจจุบัน

จึงไม่มีเหตุผลใดที่มารองรับการชุมนุมประท้วง ขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์
หรือการล้มระบอบทักษิณ

ดังนั้นการชุมนุมในลักษณะนี้จึงเป็นการประวิงเวลา ยืดขยายเวลาการชุมนุม
เพื่อรอให้มีประเด็นร้อน รอให้สิ่งแวดล้อมทางการเมืองมีจุดเดือด

เช่น การรอคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือแม้แต่
การที่ศาลโลกจะมีคำพิพากษา ในคดีเขาพระวิหาร เป็นต้น

โดยผู้ชุมนุมอาจรอใช้โอกาสนี้ เพื่อจุดฟืนการประท้วงให้ติดและเพิ่มระดับการชุมนุม

อีกทั้งยังพบว่าการชุมนุมขับไล่รัฐบาลครั้งนี้แตกต่างจากตอนที่กลุ่มพันธมิตรชุมนุม
เมื่อปี 2549 โดยการชุมนุมครั้งนั้นสามารถอธิบายข้อเสียของรัฐบาลให้ประชาชน
รับทราบและเข้าใจได้

การชุมนุมจึงมีพลังจนสามารถเรียกให้กองทัพออกมารัฐประหารได้

แต่กับการเคลื่อนไหวในปัจจุบันจะพบว่าผู้ชุมนุมแตกออกเป็นกลุ่ม เคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาล
ในหลายทาง แต่สุดท้ายแล้วก็อ่อนกำลัง ไม่สามารถเรียกประชาชนได้ จึงต้องมารวมกัน
ปรากฏออกมาเป็นภาพที่สี่แยกอุรุพงษ์เช่นนี้

และที่น่าเสียดายคือ การเคลื่อนไหวของมวลชนกลุ่มนี้ได้ทำอย่างต่อเนื่องมาหลายปี
แต่กลับไม่สามารถสร้างพลังทางการเมืองได้เทียบเท่ากับกลุ่มพันธมิตร

ซึ่งในข้อเท็จจริง ผู้ที่เป็นแกนนำควรจะปรับกลยุทธ์ จากการต่อสู้บนถนน
ให้เปลี่ยนไปเชื่อมโยงทางการเมืองยิ่งขึ้น เช่น การจัดตั้งพรรคการเมือง
เพราะดูจากการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา แกนนำเหมือนจะมีเวลาที่จะ
เล่นเกมการเมือง

ดังนั้นแกนนำควรใช้เวลานี้ไปจัดตั้งพรรคการเมือง เพื่อสร้างช่องทาง
ในการเสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลให้ง่ายยิ่งขึ้น อีกทั้งการนำเสนอแนวคิดจะง่าย
กว่าการต่อสู้บนถนน และประชาชนก็จะได้ประโยชน์

เพราะหากยังคงชุมนุมแบบค้านหัวชนฝา มีแต่ จะทำให้เกิดความขัดแย้งมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งรัฐบาลเองก็ยังมีไพ่ใบสุดท้ายคือการยุบสภา

หากรัฐบาลยุบสภาและเกิดชนะการเลือกตั้งกลับมาอีกครั้ง
จะเท่ากับว่าการชุมนุมที่ผ่านมาไม่มีความหมายอะไร



พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์
ส.ว.สรรหา



ทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่า คปท.ต้องการอะไร เรียกร้องให้รัฐบาลออก หรือเปล่า
แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ถือว่าแนวทางการเคลื่อนไหวไม่มีข้อเสนอชัดเจน
ไม่มีเหตุผลเพียงพอ

อีกอย่างตอนนี้ขบวนการประชา ธิปไตยเดินไปตามเส้นทางของมัน
ฉะนั้นเงื่อนไขที่จะเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือจะให้รัฐบาลพ้นจากอำนาจได้
คือ รัฐบาลต้องแพ้ในสภา

ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ต้องเป็น ไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
แน่นอนว่าต้องไม่มาจากการปลุกม็อบ วิธีการแบบนี้ควรจะ
หมดยุคหมดสมัยได้เสียที

รัฐบาลจะไปหรือไม่นั้น ไม่ได้อยู่ที่ คปท. เพราะเป็นวิธีการที่ไม่ชอบธรรม
ประชาชนส่วนใหญ่คงไม่ยอม

ถามว่า คปท.จะอยู่อีกนานแค่ไหน หรือรอจังหวะอะไรหรือไม่นั้น
ถ้าเป็นประเด็นรอคำตัดสินของเขาพระวิหารเอามาโจมตีรัฐบาล
คิดว่าคงไม่สำเร็จ เพราะข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร การตัดสิน
มีมาตั้งนานแล้ว ประชาชนมีความรู้และเข้าใจดี ประเด็นนี้คงจุดไม่ขึ้น

คปท.เป็นม็อบซึ่งเกิดจากคนเพียงกลุ่มหนึ่งที่ไม่ต้องการรัฐบาลแล้ว
มาชุมนุมปิดถนน ไม่ได้เกิดจากความเดือดร้อนของประชาชนจริงๆ
ไม่บริสุทธิ์ใจเท่าไหร่ คนจำนวนมากก็ไม่เห็นด้วย และตั้งข้อสงสัย
ว่าการชุมนุมนี้เกี่ยวข้องกับการเมืองหรือเปล่า

ทุกวันนี้ประชาชนฉลาดขึ้น มองออกว่า คปท.อาจก่อความวุ่นวายไปเรื่อยๆ
หากคนมาชุมนุมน้อยลงก็คงอยู่ ไม่ได้ เพราะไม่ใช่การชุมนุมเพื่ออุดมการณ์
ซึ่งแบบนั้นจะอยู่ได้นานกว่า

ฝากให้รัฐบาลคำนึงถึงประชาชนที่เดือดร้อน ช่วยให้เขาสามารถทำมาหากินได้
อย่างปกติสุข ซึ่งการต่ออายุพ.ร.บ.มั่นคงจนถึงสิ้นเดือนพ.ย.นั้น เหมาะสมแล้ว
เรามีบทเรียนกันมาหลายครั้ง

สถานการณ์ใดที่วางใจไม่ได้ก็ต้องใช้มาตรการทางกฎหมาย

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE1qUXhOek0wTnc9PQ==&sectionid=


James เย้James เย้James เย้James เย้

มาดูกันต่อไป  ว่าอนาคตของม็อบ  จะเป็นอย่างไร ? หลิ่วตา


สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่