จากข่าวนี้ โดยชวนนท์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้วันที่ 09 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เวลา 13:49:03 น.
เมื่อเวลา 11.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกปชป. แถลงถึงกรณีที่นายนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกมาระบุว่ามีเอกสารใหม่ที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนเกี่ยวกับการต่อสู้คดีที่ศาลโลกเรื่องปราสาทพระวิหาร ว่า ยืนยันว่าเอกสารดังกล่าวตนเห็นมานาน 30 รอบแล้ว เพราะเอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือที่ รัฐมนตรีต่างประเทศขณะนั้น ทำถึงพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่ง นายสุรพงษ์ มีเจตนาที่จะระบุว่าความผิดเกี่ยวกับเรื่องของปราสาทพระวิหารไม่ใช่ความผิดของนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในขณะนั้น ซึ่งข้อเท็จจริง ในปี 2550 มีการไปร่วมประชุมคณะกรรมการมรดกโลก มีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่จะขึ้นร่วมกันทั้ง 2 ประเทศ แต่มาในสมัย นายนพดล ได้เปลี่ยนแปลงสาระไปร่วมลงนามในแถลงการณ์ร่วมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งนายสุรพงษ์บอกว่าเป็นเรื่องที่ดี ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญได้พิพากษาว่าผิด จนนำไปสู่การถอดถอนนายนพดล
นายชวนนท์ กล่าวต่อว่า นายสุรพงษ์ยังได้โยนความผิดให้ ปชป.ว่าเป็นผู้สร้างความขัดแย้งจนเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์บานปลายมาถึงวันนี้ ทั้งที่ข้อเท็จจริงรัฐบาล ปชป. พยายามที่จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะเห็นว่าประเทศไทยจะเสียเปรียบ จึงนำไปสู่การประท้วงต่อเนื่อง จนมีการปะทะกันของ 2ฝ่ายค้าน จนนำไปสู่ศาลระหว่างประเทศ เพราะรัฐบาล ปชป.ไม่ยอมให้กัมพูชารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่เขตแดนของประเทศไทย อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตนกังวลคือหากคำพิพากษาออกมาเป็นลบกับประเทศไทย นั่นหมายถึงว่าประเทศไทยจะต้องเสียดินแดนเพิ่ม หากวันนี้ยังมีรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ฉบับเดิมอยู่ก็จะไม่น่ากังวล แต่วันนี้รัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวได้ถูกรัฐบาลแก้ไข และเมื่อมีการประกาศใช้เมื่อไหร่ ประชาชนจะไม่มีโอกาสรู้เลยว่ารัฐบาลจะไปเจรจากับประเทศกัมพูชาอย่างไร เพราะรัฐบาลไม่ต้องเสนอกรอบการเจรจาเขตแดนเข้าสู่รัฐสภาก่อน จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัว ถือเป็นแผนชั่วของคนบางคนที่ต้องการขายแผ่นดินไทยให้กัมพูชา เพื่อหวังผลประโยชน์แลกเปลี่ยนให้กับตัวเองและพวกพ้อง
การขึ้นทะเบียนร่วมนั้น จากการที่ผมไปค้นมา พบว่ามันน่าจะหมายถึง การที่ไทยเคยขอเอา ทรัพย์ที่อยู่ฝั่งไทย (สระตราว,สถูปคู่ ฯ)ไปผนวกรวมกับตัวปราสาทวิหาร แล้วขอให้ยูเนสโก้ขึ้นทะเบียนให้พร้อมกัน
ซึ่งข้อเสนอเหล่านี้เกิดในสมัยรัฐบาลสุรยุทธิ์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
http://heritage.mod.go.th/nation/case/prawihan31.htm
]๒๐ มี.ค.๕๐ ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศได้หารือกับผู้แทนกัมพูชา ซึ่งเดินทางมาเยือนไทยภายใต้ภารกิจของยูเนสโก โดยฝ่ายไทยได้แจ้งข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับเขตแดนให้ฝ่ายกัมพูชาทราบอย่างตรงไปตรงมาพร้อมกับข้อเสนอแนะต่าง ๆ และได้ยื่นเอกสารแสดงท่าทีข้อห่วงกังวลของไทยและข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาเช่นการจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกันในลักษณะสถานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่คาบเกี่ยว (Transboundary Property ) ฝ่ายกัมพูชารับทราบปัญหา และข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับเรื่องเขตแดนของไทยและชี้แจงว่าเป็นปัญหาทางกายภาพ
โดยการเสนอให้เป็นไปตาม Transboundary Property ตามกฏข้ออ 134 ของยูเนสโก้
http://whc.unesco.org/archive/opguide12-en.pdf
Transboundary properties
134. A nominated property may occur:
a) on the territory of a single State Party, or
b) on the territory of all concerned States Parties having adjacent borders (transboundary property).
ต่อมา ในสิ่งที่เกิดขึ้นคือ รัฐบาลกัมพูชาไม่ตกลงด้วย เพราะเขาถือว่าพระวิหารเป็นของเขา ในเขตเเดนประเทศเดียว (ตามข้อ a. )
ดังนั้นโดยในทางกฏหมายและโดยการยึดเส้น L7017 ของไทย
จึงไม่มีทางที่ใครจะไปบังคับเขาได้เลย เพราะมันเป็นของ ที่เป็นของใครของมัน
ในจังหวะแบบนี้ ไม่พลาดเลยที่คุณชวนนท์และพรรคพวก จะหยิบมาโจมตีใส่ร้ายกันง่ายๆ
ว่านพดลไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเพียงฝ่ายเดียว !
ทั้งที่พรรคพวกตัวเองนั่นแหล่ะ ที่ทำให้เรื่องราววุ่นวาย
ตอนเป็นรัฐบาลก็ไปประท้วง-ไปค้านยูเนสโก้ ให้เขาถอดพระวิหารออกจากมรดกโลก
ชายแดนตึงเครียด จนทำเกิดการยิงปืนใหญ่ใส่กันอย่างหนัก
เขมรก็เลยไปฟ้องเสียเลย ว่าที่ศาลโลกเคยสั่งให้ทหารไทยถอยออกไปเมื่อ 2505 นั้น มันกินบริเวณเท่าใดกันแน่
จากที่เขมรเคยยอมเซ็นตกลงกับไทยเพื่อบริหารร่วมกันตรงพื้นที่ 4.6 (ก็คล้ายๆว่าขึ้นทะเบียนร่วมกันแหล่ะ) โดยรัฐบาลสมัคร
ตอนนี้กลายเป็นต้องมานั่งลุ้นว่าไทยจะเจ๊าหรือเจ๊งในดินแดน 4.6 กันแน่
ผมคิดว่าคุณ ชวนนท์ บิดเบือนเรื่อง "การขึ้นทะเบียนเพียงฝ่ายเดียว" และ "การขอขึ้นทะเบียนร่วม"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
การขึ้นทะเบียนร่วมนั้น จากการที่ผมไปค้นมา พบว่ามันน่าจะหมายถึง การที่ไทยเคยขอเอา ทรัพย์ที่อยู่ฝั่งไทย (สระตราว,สถูปคู่ ฯ)ไปผนวกรวมกับตัวปราสาทวิหาร แล้วขอให้ยูเนสโก้ขึ้นทะเบียนให้พร้อมกัน
ซึ่งข้อเสนอเหล่านี้เกิดในสมัยรัฐบาลสุรยุทธิ์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดยการเสนอให้เป็นไปตาม Transboundary Property ตามกฏข้ออ 134 ของยูเนสโก้ http://whc.unesco.org/archive/opguide12-en.pdf
Transboundary properties
134. A nominated property may occur:
a) on the territory of a single State Party, or
b) on the territory of all concerned States Parties having adjacent borders (transboundary property).
ต่อมา ในสิ่งที่เกิดขึ้นคือ รัฐบาลกัมพูชาไม่ตกลงด้วย เพราะเขาถือว่าพระวิหารเป็นของเขา ในเขตเเดนประเทศเดียว (ตามข้อ a. )
ดังนั้นโดยในทางกฏหมายและโดยการยึดเส้น L7017 ของไทย
จึงไม่มีทางที่ใครจะไปบังคับเขาได้เลย เพราะมันเป็นของ ที่เป็นของใครของมัน
ในจังหวะแบบนี้ ไม่พลาดเลยที่คุณชวนนท์และพรรคพวก จะหยิบมาโจมตีใส่ร้ายกันง่ายๆ
ว่านพดลไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเพียงฝ่ายเดียว !
ทั้งที่พรรคพวกตัวเองนั่นแหล่ะ ที่ทำให้เรื่องราววุ่นวาย
ตอนเป็นรัฐบาลก็ไปประท้วง-ไปค้านยูเนสโก้ ให้เขาถอดพระวิหารออกจากมรดกโลก
ชายแดนตึงเครียด จนทำเกิดการยิงปืนใหญ่ใส่กันอย่างหนัก
เขมรก็เลยไปฟ้องเสียเลย ว่าที่ศาลโลกเคยสั่งให้ทหารไทยถอยออกไปเมื่อ 2505 นั้น มันกินบริเวณเท่าใดกันแน่
จากที่เขมรเคยยอมเซ็นตกลงกับไทยเพื่อบริหารร่วมกันตรงพื้นที่ 4.6 (ก็คล้ายๆว่าขึ้นทะเบียนร่วมกันแหล่ะ) โดยรัฐบาลสมัคร
ตอนนี้กลายเป็นต้องมานั่งลุ้นว่าไทยจะเจ๊าหรือเจ๊งในดินแดน 4.6 กันแน่