'นพดล'พร้อมแจงศาลฎีกา มั่นใจศาลให้ความยุติธรรม ปัดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แย้มข้อต่อสู้
คดีแถลงการณ์ร่วม มาตรา 190 คลุมเครือ
นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงที่พรรคเพื่อไทย (พท.)
เมื่อวันที่ 27 เมษายน ว่า พร้อมต่อสู้กรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ประทับรับฟ้องในคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์
ยื่นฟ้องเป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับลง
วันที่ 18 มิถุนายน 2551 สนับสนุนให้ประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
โดยไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาไทย ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ 2550
ทั้งนี้ นายนพดลระบุว่า พร้อมมาตลอด 5 ปี เพราะสิ่งที่ทำไปไม่ได้มีเจตนาฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ
มาตรา 190 เพราะมาตราดังกล่าวคลุมเครือไม่ชัดเจน เต็มไปด้วยหลุมพราง และมาตรา 190 มีการ
แก้ไขในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อีกทั้งปัจจุบัน ส.ส.
และ ส.ว.ได้ร่วมกันแก้ไข
นายนพดลกล่าวว่า ได้ทำตามคำแนะนำของอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เมื่อปี 2551 ว่าคำ
แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ไม่ใช่หนังสือสัญญา ซึ่งกัมพูชาก็ไม่คิดว่าเป็นหนังสือสัญญาด้วย นอก
จากนั้นแถลงการณ์ร่วมยังไม่มีบทบัญญัติเปลี่ยนแปลงอาณาเขต แต่ศาลเติมคำว่า "อาจ" ในรัฐธรรมนูญ
เติมว่า แม้ไม่มีบทบัญญัติเปลี่ยนแปลงในอาณาเขต แต่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงในอาณาเขต การเติมคำว่า
"อาจ" ในรัฐธรรมนูญเท่ากับละเมิดหลักการแบ่งแยกอำนาจ เท่ากับศาลบัญญัติกฎหมายรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้
พร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เชื่อว่าศาลจะให้ความยุติธรรม
<
<
<
นายนพดลกล่าวว่า ประเด็นที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษก ปชป.ระบุว่า แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา
เป็นการสละเส้นแบ่งเขตแดนตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อปี 2505 ถือเป็นความเท็จ ยืนยันว่าไม่เคยสละเส้นนี้
เพราะไม่ใช่แผนที่ แต่เป็นแผนผัง ยืนยันรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่เคยสละเส้นสันปันน้ำ
และเส้นมติ ครม.เมื่อปี 2505 อีกทั้งกัมพูชาไม่กล้าอ้างคำแถลงการณ์ร่วม เพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์ ทั้งนี้อีกไม่
นานคนไทยจะได้รู้ข้อเท็จจริง
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษก พท.กล่าวว่า ไม่เหนือความคาดหมายที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษก
ปชป. และ ปชป.จะกระโดดเข้าผสมโรงกับศาลฎีกา ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเพียงแค่การไม่นำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา
เข้ารัฐสภา ปชป.ตีปีกราวกับว่านายนพดลเป็นผู้ทำให้เสียดินแดน ซึ่งเทียบไม่ได้กับการสั่งการให้ปราบปรามประชาชน
ด้วยอาวุธสงครามกลางเมือง
นายอนุสรณ์กล่าวว่า การออกมาเหยียบย่ำซ้ำเติม กล่าวหาใส่ร้ายต่อคนไทยด้วยกันเองด้วยความเท็จว่า ปล่อยให้
กัมพูชานำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกแล้ว หมายความว่ายกพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.ให้กัมพูชา
ไปด้วย ซึ่งข้อเท็จจริงก็เป็นไปตามที่นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
และ ศ.อแลง แปลเล่ต์ ได้ชี้แจงไปแล้วว่า กัมพูชาได้ไปเฉพาะตัวปราสาท ไม่รุกล้ำแนวเขตแดนที่กำหนดโดยมติ
ครม.ปี 2505
http://www.matichon.co.th/daily/view_news.php?newsid=01p0112280456§ionid=0101&selday=2013-04-28
วันที่ศาลรับฟ้อง แฟนขับ ปชป.กะดี๊กะด๊ากันน่าดู ...กำลังรอดูว่า สุดท้ายศาลจะตัดสิน
ว่ายังไง ในเมื่อหนังสือข้อตกลง ก็เป็นศาล...ก็สั่งให้เป็นโมฆะไปแล้ว ซ้ำห้ามนำไปใช้อ้างอิง
นึกไม่ออกว่า คุณนพดลผิดตรงไหน ...
อ้อ ตรามไปอ่านข่าวเต็มจาก link ด้วย ....
ข่าวนี้ จากมติชน ....สื่อสีแดง ...สื่อที่น่าเชื่อถือกว่า "แนวหน้า" ...ค่ะ .......
"นพดล"พร้อมแจง ปมเซ็นพระวิหาร ...... ข่าวมติชนออนไลน์
คดีแถลงการณ์ร่วม มาตรา 190 คลุมเครือ
นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงที่พรรคเพื่อไทย (พท.)
เมื่อวันที่ 27 เมษายน ว่า พร้อมต่อสู้กรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ประทับรับฟ้องในคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์
ยื่นฟ้องเป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับลง
วันที่ 18 มิถุนายน 2551 สนับสนุนให้ประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
โดยไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาไทย ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ 2550
ทั้งนี้ นายนพดลระบุว่า พร้อมมาตลอด 5 ปี เพราะสิ่งที่ทำไปไม่ได้มีเจตนาฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ
มาตรา 190 เพราะมาตราดังกล่าวคลุมเครือไม่ชัดเจน เต็มไปด้วยหลุมพราง และมาตรา 190 มีการ
แก้ไขในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อีกทั้งปัจจุบัน ส.ส.
และ ส.ว.ได้ร่วมกันแก้ไข
นายนพดลกล่าวว่า ได้ทำตามคำแนะนำของอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เมื่อปี 2551 ว่าคำ
แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ไม่ใช่หนังสือสัญญา ซึ่งกัมพูชาก็ไม่คิดว่าเป็นหนังสือสัญญาด้วย นอก
จากนั้นแถลงการณ์ร่วมยังไม่มีบทบัญญัติเปลี่ยนแปลงอาณาเขต แต่ศาลเติมคำว่า "อาจ" ในรัฐธรรมนูญ
เติมว่า แม้ไม่มีบทบัญญัติเปลี่ยนแปลงในอาณาเขต แต่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงในอาณาเขต การเติมคำว่า
"อาจ" ในรัฐธรรมนูญเท่ากับละเมิดหลักการแบ่งแยกอำนาจ เท่ากับศาลบัญญัติกฎหมายรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้
พร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เชื่อว่าศาลจะให้ความยุติธรรม
<
<
<
นายนพดลกล่าวว่า ประเด็นที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษก ปชป.ระบุว่า แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา
เป็นการสละเส้นแบ่งเขตแดนตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อปี 2505 ถือเป็นความเท็จ ยืนยันว่าไม่เคยสละเส้นนี้
เพราะไม่ใช่แผนที่ แต่เป็นแผนผัง ยืนยันรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่เคยสละเส้นสันปันน้ำ
และเส้นมติ ครม.เมื่อปี 2505 อีกทั้งกัมพูชาไม่กล้าอ้างคำแถลงการณ์ร่วม เพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์ ทั้งนี้อีกไม่
นานคนไทยจะได้รู้ข้อเท็จจริง
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษก พท.กล่าวว่า ไม่เหนือความคาดหมายที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษก
ปชป. และ ปชป.จะกระโดดเข้าผสมโรงกับศาลฎีกา ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเพียงแค่การไม่นำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา
เข้ารัฐสภา ปชป.ตีปีกราวกับว่านายนพดลเป็นผู้ทำให้เสียดินแดน ซึ่งเทียบไม่ได้กับการสั่งการให้ปราบปรามประชาชน
ด้วยอาวุธสงครามกลางเมือง
นายอนุสรณ์กล่าวว่า การออกมาเหยียบย่ำซ้ำเติม กล่าวหาใส่ร้ายต่อคนไทยด้วยกันเองด้วยความเท็จว่า ปล่อยให้
กัมพูชานำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกแล้ว หมายความว่ายกพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.ให้กัมพูชา
ไปด้วย ซึ่งข้อเท็จจริงก็เป็นไปตามที่นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
และ ศ.อแลง แปลเล่ต์ ได้ชี้แจงไปแล้วว่า กัมพูชาได้ไปเฉพาะตัวปราสาท ไม่รุกล้ำแนวเขตแดนที่กำหนดโดยมติ
ครม.ปี 2505
http://www.matichon.co.th/daily/view_news.php?newsid=01p0112280456§ionid=0101&selday=2013-04-28
วันที่ศาลรับฟ้อง แฟนขับ ปชป.กะดี๊กะด๊ากันน่าดู ...กำลังรอดูว่า สุดท้ายศาลจะตัดสิน
ว่ายังไง ในเมื่อหนังสือข้อตกลง ก็เป็นศาล...ก็สั่งให้เป็นโมฆะไปแล้ว ซ้ำห้ามนำไปใช้อ้างอิง
นึกไม่ออกว่า คุณนพดลผิดตรงไหน ...
อ้อ ตรามไปอ่านข่าวเต็มจาก link ด้วย ....
ข่าวนี้ จากมติชน ....สื่อสีแดง ...สื่อที่น่าเชื่อถือกว่า "แนวหน้า" ...ค่ะ .......