ปึ้ง ชี้ เจ๊าเขมร ถือว่าไทยชนะคดีพระวิหารแล้ว
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ชี้ หากศาลโลกยึดคำพิพากษาปี พ.ศ.2505 ไม่ตีความพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร ก็เท่ากับเจ๊า ถือว่าไทยชนะคดีพระวิหารแล้ว...
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ในรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ว่า การยื่นเรื่องให้ศาลโลกตีความกรณีปราสาทพระวิหาร ไม่มีความจำเป็นเลย เพราะหลังจากที่ศาลตัดสินไปเมื่อปี พ.ศ.2505 ไทยได้ถอนทหารออกจากบริเวณดังกล่าว และมาอยู่บริเวณหลังรั้วเรียบร้อย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2505 โดยทีมไทยได้นำเรื่องแผนที่มาใช้ในการหักล้างได้เป็นอย่างดี และขอบคุณคนไทยทุกคน กับคำเสนอแนะต่างๆ ที่ทางเจ้าหน้าที่ไทยได้นำทุกข้อมาชี้แจงต่อศาลในครั้งนี้ ถึงแม้บางครั้งไม่สามารถตอบคำถามอะไรได้ เพราะทุกอย่างต้องเก็บเป็นความลับสุดยอด เพื่อไม่ให้ทางกัมพูชาได้ตั้งตัว และจนถึงวันนี้ทีมทนายความของเราได้ต่อสู้อย่างเต็มที่ และยังเป็นทีมทนายความชุดเดิม ถึงแม้จะมาจากทีมทนายความของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา
ขณะที่ความกังวล เรื่องที่หนึ่งในผู้พิพากษาศาลโลก ชาวโซมาเลีย ได้ร้องขอให้ทั้งไทยและกัมพูชา ชี้พิกัดอาณาบริเวณปราสาทพระวิหารว่าอยู่ในพื้นที่ของฝ่ายใดนั้น เป็นเพียงการขอหลักฐานในนามส่วนตัว ไม่ใช่ทั้งคณะของตุลาการศาลโลก และเชื่อว่าน่าจะเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย เมื่อทั้งสองฝ่ายได้ส่งหลักฐานแล้ว ทางผู้พิพาษาชาวโซมาเลียก็จะทำสำเนาเพื่อแจกจ่ายให้กับองค์คณะผู้พิพากษาทั้งหมดให้มีความเข้าใจในรายละเอียดของคดีมากยิ่งขึ้นด้วย พร้อมกันนี้ นายสุรพงษ์ ยังได้กล่าวถึงผลของคดีว่า หากศาลยึดคำพิพากษาปี พ.ศ.2505 ที่ตีความเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารว่าเป็นของกัมพูชา ก็เท่ากับว่าคดีนี้เสมอตัว ทางฝ่ายไทยก็ถือว่าได้รับชัยชนะในคดีนี้แล้ว ส่วนปัญหาเรื่องพื้นที่พิพาทก็สามารถใช้การเจรจาแบบทวิภาคี หาทางออกต่อไป เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ทั้งนี้ รมว.ต่างประเทศ ยังได้กล่าวปฏิเสธเรื่องข้อกล่าวหาที่ว่า รัฐบาลมีส่วนได้เสียกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับกัมพูชาด้วยว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดอีกด้วย
ด้าน นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ยอมรับว่า คดีนี้ที่ทำให้ต้องขึ้นศาลโลก เพราะทางการกัมพูชาต้องการนำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก แต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งที่เคยตกลงกันไว้ว่า จะยื่นร่วมกัน และทางการกัมพูชายังได้ใช้เอกสารกินเนื้อที่ไทย ไปยื่นประกอบกับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้วย ทั้งนี้สิ่งที่เป็นจุดแข็งของไทยครั้งนี้ คือแผนที่ ที่ฝ่ายไทยมีผู้เชี่ยวชาญมากกว่า และในปี พ.ศ.2505 ศาลโลกก็ได้ตัดสินเพียงข้อเดียวคืออำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของใคร ไม่เกี่ยวกับการรุกล้ำพื้นที่
ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์
20 เมษายน 2556, 10:35 น.
http://www.thairath.co.th/content/pol/339895
ปึ้ง ชี้ เจ๊าเขมร ถือว่าไทยชนะคดีพระวิหารแล้ว...................... เรื่องนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้คะแนนบวก
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ชี้ หากศาลโลกยึดคำพิพากษาปี พ.ศ.2505 ไม่ตีความพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร ก็เท่ากับเจ๊า ถือว่าไทยชนะคดีพระวิหารแล้ว...
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ในรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ว่า การยื่นเรื่องให้ศาลโลกตีความกรณีปราสาทพระวิหาร ไม่มีความจำเป็นเลย เพราะหลังจากที่ศาลตัดสินไปเมื่อปี พ.ศ.2505 ไทยได้ถอนทหารออกจากบริเวณดังกล่าว และมาอยู่บริเวณหลังรั้วเรียบร้อย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2505 โดยทีมไทยได้นำเรื่องแผนที่มาใช้ในการหักล้างได้เป็นอย่างดี และขอบคุณคนไทยทุกคน กับคำเสนอแนะต่างๆ ที่ทางเจ้าหน้าที่ไทยได้นำทุกข้อมาชี้แจงต่อศาลในครั้งนี้ ถึงแม้บางครั้งไม่สามารถตอบคำถามอะไรได้ เพราะทุกอย่างต้องเก็บเป็นความลับสุดยอด เพื่อไม่ให้ทางกัมพูชาได้ตั้งตัว และจนถึงวันนี้ทีมทนายความของเราได้ต่อสู้อย่างเต็มที่ และยังเป็นทีมทนายความชุดเดิม ถึงแม้จะมาจากทีมทนายความของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา
ขณะที่ความกังวล เรื่องที่หนึ่งในผู้พิพากษาศาลโลก ชาวโซมาเลีย ได้ร้องขอให้ทั้งไทยและกัมพูชา ชี้พิกัดอาณาบริเวณปราสาทพระวิหารว่าอยู่ในพื้นที่ของฝ่ายใดนั้น เป็นเพียงการขอหลักฐานในนามส่วนตัว ไม่ใช่ทั้งคณะของตุลาการศาลโลก และเชื่อว่าน่าจะเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย เมื่อทั้งสองฝ่ายได้ส่งหลักฐานแล้ว ทางผู้พิพาษาชาวโซมาเลียก็จะทำสำเนาเพื่อแจกจ่ายให้กับองค์คณะผู้พิพากษาทั้งหมดให้มีความเข้าใจในรายละเอียดของคดีมากยิ่งขึ้นด้วย พร้อมกันนี้ นายสุรพงษ์ ยังได้กล่าวถึงผลของคดีว่า หากศาลยึดคำพิพากษาปี พ.ศ.2505 ที่ตีความเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารว่าเป็นของกัมพูชา ก็เท่ากับว่าคดีนี้เสมอตัว ทางฝ่ายไทยก็ถือว่าได้รับชัยชนะในคดีนี้แล้ว ส่วนปัญหาเรื่องพื้นที่พิพาทก็สามารถใช้การเจรจาแบบทวิภาคี หาทางออกต่อไป เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ทั้งนี้ รมว.ต่างประเทศ ยังได้กล่าวปฏิเสธเรื่องข้อกล่าวหาที่ว่า รัฐบาลมีส่วนได้เสียกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับกัมพูชาด้วยว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดอีกด้วย
ด้าน นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ยอมรับว่า คดีนี้ที่ทำให้ต้องขึ้นศาลโลก เพราะทางการกัมพูชาต้องการนำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก แต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งที่เคยตกลงกันไว้ว่า จะยื่นร่วมกัน และทางการกัมพูชายังได้ใช้เอกสารกินเนื้อที่ไทย ไปยื่นประกอบกับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้วย ทั้งนี้สิ่งที่เป็นจุดแข็งของไทยครั้งนี้ คือแผนที่ ที่ฝ่ายไทยมีผู้เชี่ยวชาญมากกว่า และในปี พ.ศ.2505 ศาลโลกก็ได้ตัดสินเพียงข้อเดียวคืออำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของใคร ไม่เกี่ยวกับการรุกล้ำพื้นที่
ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์
20 เมษายน 2556, 10:35 น.
http://www.thairath.co.th/content/pol/339895