ขบวน การเมือง การแปร′ประชาชน′ ให้เป็น ′มวลชน′ วิเคราะห์ มติชนออนไลน์

กระทู้สนทนา
แม้จะย้ายเวทีจากบริเวณสถานีรถไฟสามเสนมาปักหลัก ณ รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ถนนราชดำเนิน แต่ข้อเรียกร้องของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ

ยังอยู่ที่ร่าง พ.ร.บ."นิรโทษกรรม"

ถึงจะมีคำปราศรัยดุ-ดุ ในท่วงทำนอง "ขอเตือน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ว่าหากยังดื้อดึงก็ให้เตรียมไปอยู่กับพี่ชาย"

เหมือนกับที่เคยพูดว่า "ระวัง! ไม่มีแผ่นดินจะอยู่"

กระนั้น คำปราศรัยดุ-ดุ นี้ คำขู่อันเฉียบขาดและมั่นคงนี้
ก็ยังดำรงอยู่ภายใต้กรอบของข้อเรียกร้องที่ว่า

ต้อง "ถอย" ร่าง พ.ร.บ. "นิรโทษกรรม"

จากนี้จึงเห็นได้ว่า การเคลื่อนไหวของ "ประชาธิปัตย์" ภายใต้การนำของ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ดำเนินไปอย่างมีขอบเขต รู้ประมาณ

เหมือนกับว่าหากรัฐบาลยอมถอย ก็จะหยุด

คำถามอยู่ที่ว่า 1 พรรคประชาธิปัตย์สามารถ "เบรก" ได้อย่างฉับพลันทันใดหรือไม่
1 มวลชนยินยอมพร้อมให้หยุดได้ตามต้องการหรือไม่

"มวลชน" ต่างหากคือ "ปัจจัย" ชี้ขาด

เมื่อเอ่ยถึง "มวลชน" อย่าคิดว่าจะมีแต่มวลชนซึ่งร่วมชุมนุมอยู่กับ
เวทีพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าที่สามเสน ไม่ว่าที่ลานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเท่านั้น

อย่าลืม "มวลชน" ที่แยกอุรุพงษ์

อย่าลืม "มวลชน" ที่เสมออยู่วงนอกอย่างเช่น คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คณะผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยรังสิต

มวลชนเหล่านี้อาจไม่ต่อต้านเฉพาะร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

หากติดตามคำกล่าวของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อมองอย่างเปรียบเทียบ
ระหว่างเวทีของพรรคประชาธิปัตย์กับเวทีของ คปท.

"คปท. พร้อมจะสู้ทุกอย่าง"

คำว่าทุกอย่างในที่นี้กินความหมายครอบคลุมเฉพาะหน้า
1 คือร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แต่อีก 1 ซึ่งยาวไกลมากกว่า

คือ การเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง

ภายใต้เหตุผลที่ว่า "ขณะนี้ระบบของบ้านเมืองล้มเหลว ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนแปลง"

อย่าได้แปลกใจหากพาดหัวของสื่อ "ประชาธิปัตย์" จะเน้นไปถึงขั้น
ยึดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไล่ "โจร" บ้าง ขับไล่ "ยิ้ม" บ้าง

"ธง" อย่างนี้ต่างหากที่มิควร "มองข้าม"

พลันที่มีการชุมนุม พลันที่มีการปลุกระดมให้ประชาชนแปรตัวเองกลายเป็น
"มวลชน" และเข้าร่วมการเคลื่อนไหว

ย่อมเห็น "พัฒนาการ" ได้เป็นลำดับ

ลำดับแรกคือการสะสมในเชิง "ปริมาณ" ลำดับต่อไปคือการยกระดับในทาง
"คุณภาพ" ให้มวลชนมีลักษณะกัมมันต์

กัมมันต์อันตรงกับ ACTIVE ในภาษาอังกฤษ

หากไม่มีอารมณ์และความรู้สึกก็ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะเกิดการแปรเปลี่ยนในลักษณะพัฒนาการ

เป็นการแปรเปลี่ยน "ความคิด" เป็นกระบวนการแสดงออกทาง "การเมือง"

กระบวนการอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์กระทำอยู่ ณ เวทีสามเสน จากวันที่ 31 ตุลาคม
ถึงวันที่ 3 พฤศจิกายน คือตัวอย่างของการสะสมในทางปริมาณของความคิด ในที่สุด
ก็ยกระดับเป็นปฏิบัติการอีกขั้นหนึ่งนับแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน

แปร "ประชาชน" ให้กลายเป็น "มวลชน"

เมื่อประชาชนพัฒนาการเข้าสู่ระดับแห่ง "มวลชน" ก็จะกลายเป็นพลังอย่างมหาศาล
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามมาได้

"ความคิด" ก็จะนำไปสู่ "การลงมือทำ"

สถานการณ์จากเมื่อปี 2549 เรื่อยมาจนถึงในปี 2556 เป็นเวลา
7 ปีแห่งการสัประยุทธ์ทางการเมือง

เราอาศัยรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 เป็นเครื่องมือ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ก็ใช้กระบวนการตุลาการภิวัฒน์ในเดือนธันวาคม 2551 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

จึงเกิดการเคลื่อนไหวในเดือนพฤศจิกายน 2556



(ที่มา:มติชนรายวัน 6 พ.ย.2556)

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊กกับมติชนออนไลน์
www.facebook.com/MatichonOnline

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1383747383&grpid=01&catid=&subcatid=


มาคอยดูกันต่อไป   คราวนี้ รัฐบาลจะทำงานต่อไปอย่างไร  เมื่อดูเหมือนทุกภาคส่วน
ของหน่วยงานราชการ  ต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม  จาก ปี 49   จนถึงปี  56  แม้จะชนะ
มาตลอด   แต่วันนี้  ถือว่า   เพื่อไทยสะดุดขาตัวเอง  หกล้ม  ได้ไหม
แล้ว   ต่อไป  นักการเมืองกับข้าราชการ  จะมองหน้า  ทำงานกันอย่างไว้เนื้อเชื่อใจกัน
ต่อไปได้ไหม ......เมื่อขัดแย้ง กันซะขนาดนี้ ?   ยิ้ม


สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่