ผมอ่านแล้วตรงประเด็น ถอดบทเรียนได้ถูกต้องมาก รบกวนพี่ๆน้องๆ ช่วยอ่านดูนะครับ อาชญากรรม : คอลัมน์เด็ด วันพุธที่ 20 มีนาคม 2556
ตำรวจทำงานไร้ประสิทธิภาพ?
โลกตำรวจ โดย ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข
สถานการณ์ยาเสพติดมิได้เบาบางลง แม้ยอดการจับกุมจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเท่าตัว!! คือ ความจริงที่ผู้นำตำรวจที่มีหน้ารับผิดชอบด้านการปราบ
ปรามยาเสพติดยอมรับอย่างเปิดใจและควรได้รับการชื่นชม
การยอมรับความจริงถึงความรุนแรงของสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น นับได้ว่าเป็นประตูแรกที่สำคัญของการเริ่มต้นทำงานให้บรรลุเป้าหมายในที่สุด
เป็นการก้าวพ้นธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติเดิมๆ ที่มักนิยมกระทำกัน ไม่ว่าจะเป็นโลกของตำรวจ โลกของหมอ โลกของนักปกครอง หรือโลก
ของครู...นั่นคือธรรมเนียมการตกแต่งรายงานให้ตรงตามเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นแต่ไม่ตรงตามความเป็นจริง(ถ้าไม่เชื่อต้องรอพิสูจน์การรายงานสถิติ
การบาดเจ็บการเสียชีวิตและการเกิดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ว่า ตำรวจ ฝ่ายปกครอง หรือหมอ ที่จะมีความสามารถปกปิดและ
ตบแต่งตัวเลขได้แนบเนียนที่สุด?)
ยาเสพติด อุบัติเหตุจราจร และปัญหาเด็กแว้นมีทางตันอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความหลงผิดที่เหมือนกันในประการสำคัญคือ “คนส่วนใหญ่
โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจ (ทั้งอำนาจในการปกครองและอำนาจทางวิชาชีพ) เชื่อว่าการติดยาเสพติด การไม่สวมหมวกกันน็อก การไม่คาดเข็มขัด
นิรภัย การเมาสุราขณะขับรถและการขับรถเร็วและเด็กแว้นจะหมดไปถ้า....ตำรวจขยันจับ” ?!? การดำรงอยู่ของปัญหาเลยกลายเป็นมีคำตอบ
เพียงเพราะตำรวจขยันหรือไม่ขยันทำงาน ? แต่เพียงเท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นวิธีคิดที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง และจำเป็นต้องรื้อ(วิธีคิดเดิม)และสร้างวิธี
คิดใหม่ขึ้นมาเพื่อให้ปัญหาได้รับการแก้ไขที่ตรงจุดตรงสาเหตุ ตรงกลุ่มคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบ
หากตำรวจยอมรับและยอมจำนนต่อวิธีคิดเดิมดังกล่าวโดยไม่โต้แย้งอย่างเขhมแข็ง...ความหลงผิดเช่นนี้ก็ยังจะยังคงดำรงอยู่โดยเฉพาะใน
กลุ่มที่ใช้ชื่อว่าเป็นภาคีในการทำงานร่วมกับตำรวจ?
ยาเสพติดเยอะ เพราะตำรวจไม่จับ? คนตายจากอุบัติเหตุจราจรมากขึ้น เพราะตำรวจไม่จับ? เด็กแว้นเกลื่อนเมือง เพราะตำรวจไม่จับ? ฯลฯ
การดำรงอยู่ของปัญหาถูกนำไปผูกโยงอย่างง่ายๆในรูปแบบเหตุเดียวผลเดียวที่เน้นเรื่องจับ(ทั้งๆ ที่ปัญหาทางสังคมมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนกว่านั้น
มากนัก)...และเมื่อสถานการณ์ของปัญหานี้ไม่คลี่คลายลงไป ส่งผลให้ตำรวจกลายเป็น “แพะ” ผู้ไร้ประสิทธิภาพในการทำงานทันที
จับเยอะขึ้นแต่ปัญหายังมากขึ้น คือบทพิสูจน์อย่างชัดเจนว่าเป็นความผิดพลาดของวิธีคิดในการป้องกันและแก้ไขปัญหาตั้งแต่เริ่มต้น...วิธีการ
อื่นที่ต้องทำควบคู่และเข้มแข็งไปพร้อมๆ กับการจับ!! คืออะไร? และเป็นหน้าที่ของหน่วยงานใด(คงไม่ตอบว่าตำรวจต้องไปสอนหน้าเสาธง
ทุกๆ เรื่อง หรือตอบเพียงการรณรงค์)
ตลอดเวลากว่าทศวรรษที่ตำรวจพยายามแสดงให้เห็นว่า ตำรวจจริงจังและเข้มแข็งในการจับกุมผู้กระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นคดียาเสพติด
การละเมิดกฎจราจร หรือแม้กระทั่งกรณีการคิดค้นเครื่องมือ ซิ่งสั่งลาเพื่อมาปราบเด็กแว้น...สามารถแสดงสถิติการจับกุมที่เพิ่มขึ้นและปรากฏ
พยานหลักฐานชัดเจน แต่ทำไมชาวบ้านยังเดือดร้อนเรื่องยาเสพติด เรื่องเด็กแว้น และการบาดเจ็บหรือการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรจึงไม่ได้
ลดจำนวนลง?
ทำไม...ถึงไม่สามารถยอมรับว่าการกดดันให้ตำรวจแสดงผลงานการจับกุมอย่างเข้มแข็งมิใช่ทางออกสำหรับปัญหานี้ในสังคมไทย? ทำไม...ไม่
ตั้งคำถามถึงหน่วยงานอื่นที่ควรเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเข้มแข็งในการทำงานเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกระทำผิดทั้งในเชิงป้องกันและบำบัด
แก้ไขหลังการจับกุมเพื่อไม่ให้เกิดการกระทำผิดซ้ำ?
ลองทบทวนอย่างไตร่ตรองว่า ก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นผู้เสพยา ผู้ค้ายา ผู้ขับรถละเมิดกฎจราจร หรือก่อนจะมาเป็นเด็กแว้นนั้นเป็นหน้าที่ของ
หน่วยงานใดในการป้องกันมิให้เขาเข้ามาสู่โลกสีเทาสีดำที่ตำรวจมีหน้าที่ในการลงโทษด้วยวิธีการจับ
ลองทบทวนไตร่ตรองดูว่าเมื่อตำรวจจับไปแล้ว ทำไมจึงมีการกระทำผิดในระหว่างการประกันตัว? ทำไมจึงมีการกระทำผิดซ้ำที่รุนแรงมากขึ้น?
รวมถึงมีวิธีการที่แนบเนียนและมีผู้สนับสนุนหลักที่เข้มแข็งจนทำให้ตำรวจทำงานยากมากขึ้นและมีความเสี่ยงในการทำงานมากยิ่งขึ้นด้วย
คำถามนี้รัฐบาลต้องเป็นผู้ตอบและรื้อสร้าง(re-construct) วิธีคิดในการทำงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นปัญหาสังคม(เช่นยาเสพติด อุบัติเหตุ
จราจร และเด็กแว้นท์)อย่างเร่งด่วนและไม่ควรติดกรอบวิธีการของต่างชาติ(ที่นักวิชาการที่เลื่อนลอยชอบอ้างถึง)เพราะปัญหาพฤติกรรมของ
คนไทยเกี่ยวข้องกับบริบทสังคมวัฒนธรรมแบบไทยซึ่งการถอดบทเรียนจากต่างประเทศอาจไม่ใช่คำตอบที่เหมาะสม
อย่าปล่อยให้ความหลงผิดกดดันการทำงานของตำรวจอย่างผิดทิศผิดทางโดยเต้นตามกระแสการตำหนิเพ่งโทษว่า “ตำรวจไร้ประสิทธิภาพใน
การทำงานโดยหลงลืมที่จะตั้งคำถามถึงวิธีคิดที่ถูกต้องในการแก้ปัญหาให้ตรงจุดตรงสาเหตุ” และกลายเป็นเกิดปัญหาใหม่ในลักษณะที่ตำรวจ
ไม่ได้ทำหน้าที่ในส่วนที่ตนเองควรทำเพราะมัวแต่ไปทำหน้าที่ของหน่วยงานอื่น
“ถึงแม้ว่าปัญหามีไว้ให้พุ่งชน แต่การตั้งสติก่อนสตาร์ทก็สำคัญมากๆ มิเช่นนั้นแล้วตำรวจผู้ปฏิบัติจะอ่อนล้าหมดแรง จนต้องใส่เกียร์ว่างเพราะ
ไม่สามารถทนทานต่อภาระงาน(ของหน่วยอื่น)ที่ถาโถมลงมาอย่างไม่ยั้ง !!
ปล.จากเฟซบุ๊ค ขออนุญาตนำมาแชร์ต่อนะครับ
ตำรวจทำงานไร้ประสิทธิภาพ?
ตำรวจทำงานไร้ประสิทธิภาพ?
โลกตำรวจ โดย ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข
สถานการณ์ยาเสพติดมิได้เบาบางลง แม้ยอดการจับกุมจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเท่าตัว!! คือ ความจริงที่ผู้นำตำรวจที่มีหน้ารับผิดชอบด้านการปราบ
ปรามยาเสพติดยอมรับอย่างเปิดใจและควรได้รับการชื่นชม
การยอมรับความจริงถึงความรุนแรงของสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น นับได้ว่าเป็นประตูแรกที่สำคัญของการเริ่มต้นทำงานให้บรรลุเป้าหมายในที่สุด
เป็นการก้าวพ้นธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติเดิมๆ ที่มักนิยมกระทำกัน ไม่ว่าจะเป็นโลกของตำรวจ โลกของหมอ โลกของนักปกครอง หรือโลก
ของครู...นั่นคือธรรมเนียมการตกแต่งรายงานให้ตรงตามเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นแต่ไม่ตรงตามความเป็นจริง(ถ้าไม่เชื่อต้องรอพิสูจน์การรายงานสถิติ
การบาดเจ็บการเสียชีวิตและการเกิดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ว่า ตำรวจ ฝ่ายปกครอง หรือหมอ ที่จะมีความสามารถปกปิดและ
ตบแต่งตัวเลขได้แนบเนียนที่สุด?)
ยาเสพติด อุบัติเหตุจราจร และปัญหาเด็กแว้นมีทางตันอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความหลงผิดที่เหมือนกันในประการสำคัญคือ “คนส่วนใหญ่
โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจ (ทั้งอำนาจในการปกครองและอำนาจทางวิชาชีพ) เชื่อว่าการติดยาเสพติด การไม่สวมหมวกกันน็อก การไม่คาดเข็มขัด
นิรภัย การเมาสุราขณะขับรถและการขับรถเร็วและเด็กแว้นจะหมดไปถ้า....ตำรวจขยันจับ” ?!? การดำรงอยู่ของปัญหาเลยกลายเป็นมีคำตอบ
เพียงเพราะตำรวจขยันหรือไม่ขยันทำงาน ? แต่เพียงเท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นวิธีคิดที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง และจำเป็นต้องรื้อ(วิธีคิดเดิม)และสร้างวิธี
คิดใหม่ขึ้นมาเพื่อให้ปัญหาได้รับการแก้ไขที่ตรงจุดตรงสาเหตุ ตรงกลุ่มคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบ
หากตำรวจยอมรับและยอมจำนนต่อวิธีคิดเดิมดังกล่าวโดยไม่โต้แย้งอย่างเขhมแข็ง...ความหลงผิดเช่นนี้ก็ยังจะยังคงดำรงอยู่โดยเฉพาะใน
กลุ่มที่ใช้ชื่อว่าเป็นภาคีในการทำงานร่วมกับตำรวจ?
ยาเสพติดเยอะ เพราะตำรวจไม่จับ? คนตายจากอุบัติเหตุจราจรมากขึ้น เพราะตำรวจไม่จับ? เด็กแว้นเกลื่อนเมือง เพราะตำรวจไม่จับ? ฯลฯ
การดำรงอยู่ของปัญหาถูกนำไปผูกโยงอย่างง่ายๆในรูปแบบเหตุเดียวผลเดียวที่เน้นเรื่องจับ(ทั้งๆ ที่ปัญหาทางสังคมมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนกว่านั้น
มากนัก)...และเมื่อสถานการณ์ของปัญหานี้ไม่คลี่คลายลงไป ส่งผลให้ตำรวจกลายเป็น “แพะ” ผู้ไร้ประสิทธิภาพในการทำงานทันที
จับเยอะขึ้นแต่ปัญหายังมากขึ้น คือบทพิสูจน์อย่างชัดเจนว่าเป็นความผิดพลาดของวิธีคิดในการป้องกันและแก้ไขปัญหาตั้งแต่เริ่มต้น...วิธีการ
อื่นที่ต้องทำควบคู่และเข้มแข็งไปพร้อมๆ กับการจับ!! คืออะไร? และเป็นหน้าที่ของหน่วยงานใด(คงไม่ตอบว่าตำรวจต้องไปสอนหน้าเสาธง
ทุกๆ เรื่อง หรือตอบเพียงการรณรงค์)
ตลอดเวลากว่าทศวรรษที่ตำรวจพยายามแสดงให้เห็นว่า ตำรวจจริงจังและเข้มแข็งในการจับกุมผู้กระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นคดียาเสพติด
การละเมิดกฎจราจร หรือแม้กระทั่งกรณีการคิดค้นเครื่องมือ ซิ่งสั่งลาเพื่อมาปราบเด็กแว้น...สามารถแสดงสถิติการจับกุมที่เพิ่มขึ้นและปรากฏ
พยานหลักฐานชัดเจน แต่ทำไมชาวบ้านยังเดือดร้อนเรื่องยาเสพติด เรื่องเด็กแว้น และการบาดเจ็บหรือการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรจึงไม่ได้
ลดจำนวนลง?
ทำไม...ถึงไม่สามารถยอมรับว่าการกดดันให้ตำรวจแสดงผลงานการจับกุมอย่างเข้มแข็งมิใช่ทางออกสำหรับปัญหานี้ในสังคมไทย? ทำไม...ไม่
ตั้งคำถามถึงหน่วยงานอื่นที่ควรเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเข้มแข็งในการทำงานเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกระทำผิดทั้งในเชิงป้องกันและบำบัด
แก้ไขหลังการจับกุมเพื่อไม่ให้เกิดการกระทำผิดซ้ำ?
ลองทบทวนอย่างไตร่ตรองว่า ก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นผู้เสพยา ผู้ค้ายา ผู้ขับรถละเมิดกฎจราจร หรือก่อนจะมาเป็นเด็กแว้นนั้นเป็นหน้าที่ของ
หน่วยงานใดในการป้องกันมิให้เขาเข้ามาสู่โลกสีเทาสีดำที่ตำรวจมีหน้าที่ในการลงโทษด้วยวิธีการจับ
ลองทบทวนไตร่ตรองดูว่าเมื่อตำรวจจับไปแล้ว ทำไมจึงมีการกระทำผิดในระหว่างการประกันตัว? ทำไมจึงมีการกระทำผิดซ้ำที่รุนแรงมากขึ้น?
รวมถึงมีวิธีการที่แนบเนียนและมีผู้สนับสนุนหลักที่เข้มแข็งจนทำให้ตำรวจทำงานยากมากขึ้นและมีความเสี่ยงในการทำงานมากยิ่งขึ้นด้วย
คำถามนี้รัฐบาลต้องเป็นผู้ตอบและรื้อสร้าง(re-construct) วิธีคิดในการทำงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นปัญหาสังคม(เช่นยาเสพติด อุบัติเหตุ
จราจร และเด็กแว้นท์)อย่างเร่งด่วนและไม่ควรติดกรอบวิธีการของต่างชาติ(ที่นักวิชาการที่เลื่อนลอยชอบอ้างถึง)เพราะปัญหาพฤติกรรมของ
คนไทยเกี่ยวข้องกับบริบทสังคมวัฒนธรรมแบบไทยซึ่งการถอดบทเรียนจากต่างประเทศอาจไม่ใช่คำตอบที่เหมาะสม
อย่าปล่อยให้ความหลงผิดกดดันการทำงานของตำรวจอย่างผิดทิศผิดทางโดยเต้นตามกระแสการตำหนิเพ่งโทษว่า “ตำรวจไร้ประสิทธิภาพใน
การทำงานโดยหลงลืมที่จะตั้งคำถามถึงวิธีคิดที่ถูกต้องในการแก้ปัญหาให้ตรงจุดตรงสาเหตุ” และกลายเป็นเกิดปัญหาใหม่ในลักษณะที่ตำรวจ
ไม่ได้ทำหน้าที่ในส่วนที่ตนเองควรทำเพราะมัวแต่ไปทำหน้าที่ของหน่วยงานอื่น
“ถึงแม้ว่าปัญหามีไว้ให้พุ่งชน แต่การตั้งสติก่อนสตาร์ทก็สำคัญมากๆ มิเช่นนั้นแล้วตำรวจผู้ปฏิบัติจะอ่อนล้าหมดแรง จนต้องใส่เกียร์ว่างเพราะ
ไม่สามารถทนทานต่อภาระงาน(ของหน่วยอื่น)ที่ถาโถมลงมาอย่างไม่ยั้ง !!
ปล.จากเฟซบุ๊ค ขออนุญาตนำมาแชร์ต่อนะครับ