เนื้อหาตอนที่ 3
https://pantip.com/topic/43867845?sc=XmgQzIj
การปะทะกันระหว่างชุดความคิดกับอำนาจที่ไร้โครงสร้าง
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 การเมืองไทยไม่ได้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างสองอุดมการณ์ที่ชัดเจนเหมือนโลกตะวันตก หากแต่เป็นการปะทะกันอย่างไม่สมมาตรระหว่างฝ่ายหนึ่งที่มีตรรกะและโครงสร้างความคิด กับอีกฝ่ายที่ไร้กรอบอุดมการณ์และดำรงอยู่เพียงเพื่อรักษาอำนาจของเครือข่ายตนเองเท่านั้น
1. ไทยมีเพียง “ขั้วความคิดเดียว” ที่เป็นอุดมการณ์จริง
ในรอบเกือบร้อยปี มีเพียงขั้วเดียวเท่านั้นที่สามารถนิยามตัวเองว่าเป็นอุดมการณ์ตามหลักสากล ได้แก่ ขั้วเสรีนิยมประชาธิปไตยและฝ่ายซ้าย ซึ่งมีชุดความคิดชัดเจน มีตรรกะ และมีเป้าหมายเชิงพัฒนา เช่น การสร้างสถาบันประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคเชิงโครงสร้าง
ขั้วนี้จึงเป็น “แรงผลักดันเชิงปรัชญา” ที่ต้องการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ระบบการเมืองสมัยใหม่
2. ขั้วตรงข้ามของไทยไม่ใช่ฝ่ายขวาตามความหมายสากล
ในรัฐศาสตร์สากล “ฝ่ายขวา” ต้องมีองค์ประกอบสามอย่าง ได้แก่ ระเบียบวินัย สถาบันที่เข้มแข็ง และแนวคิดความมั่นคงของชาติบนฐานเหตุผลเชิงพัฒนา แต่สิ่งที่มีในไทยคือกลุ่มอำนาจเก่าที่อาศัยพิธีกรรม ศรัทธา และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมเป็นฐานอำนาจ โดยไม่มีวิสัยทัศน์หรือโครงสร้างทางความคิดใดๆ ที่จะพัฒนาประเทศ
ผลลัพธ์คือ การเมืองไทยไม่มี “ขวา” จริง มีเพียงเครือข่ายอำนาจที่สวมฉลากฝ่ายขวา แต่ไร้แก่นทางอุดมการณ์โดยสิ้นเชิง
3. ความต่างระหว่าง “ตรรกะเชิงพัฒนา” กับ “ตรรกะรักษาอำนาจ”
ประเทศที่มีเผด็จการขวาจริง เช่นยุโรปและเอเชียบางประเทศในอดีต แสดงความสามารถในการสร้างชาติผ่านโครงสร้างที่มีตรรกะ เช่น การสร้างอุตสาหกรรมทางยุทธศาสตร์ ระเบียบวินัย การวางแผนระยะยาว และโครงการพัฒนาเชิงรัฐชาติ
แต่กลุ่มอำนาจเก่าไทยกลับขับเคลื่อนการตัดสินใจบนฐานผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม การป้องกันภัยคุกคามต่อเครือข่าย และการสร้างความมั่นคงทางอำนาจ มากกว่าการพัฒนาชาติ ผลลัพธ์ที่วัดได้จึงเป็นความล้มเหลวทางโครงสร้าง ความเหลื่อมล้ำ และการถ่วงความก้าวหน้า
4. ทำไมจึงเกิดภาวะสูญญากาศทางอุดมการณ์
เมื่อขั้วที่มีตรรกะเชิงพัฒนาอยู่เพียงฝั่งเดียว ขณะที่ฝั่งรัฐไม่มีอุดมการณ์ใดรองรับการดำรงอยู่ของตนเอง จึงเกิดช่องว่างทางความคิดขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ภาวะสูญญากาศทางอุดมการณ์ #ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของการเมืองไทยช่องว่างนี้ทำให้
ไม่มีเสาหลักทางปรัชญา
ไม่มีวิสัยทัศน์ระดับชาติ
ไม่มีตรรกะทางนโยบาย
ไม่มีระบบคานอำนาจระหว่างซ้าย–ขวา
#ประเทศจึงเข้าสู่สภาวะไม่เสถียรอย่างเรื้อรัง เพราะมีเพียงอำนาจที่ไร้กรอบทางความคิดคอยต้านการเปลี่ยนแปลง
5. เหตุผลเชิงประจักษ์ว่า “ประเทศไทยไม่มีฝ่ายขวา”
หากไทยมีฝ่ายขวาจริง จะต้องเห็นผลลัพธ์บางประการ เช่น
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
วินัยสาธารณะ
รัฐราชการที่มีประสิทธิภาพ
ความเข้มแข็งของสถาบัน
ความชัดเจนของเป้าหมายชาติ
แต่สิ่งที่ปรากฏคือ
ขาดวินัย
ขาดวิสัยทัศน์
ขาดความเข้มแข็งของรัฐ
ขาดโครงการพัฒนาระยะยาว
และเต็มไปด้วยวัฒนธรรมแบบศรัทธาและพิธีกรรม
นี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่า ขั้วที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมในไทย ไม่ได้เป็นอนุรักษ์นิยมตามนิยามเลยแม้แต่น้อย
6. ความหมายเชิงโครงสร้างของสิ่งที่ผมค้นพบ
ข้อสรุปนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความคิดเห็น แต่เป็นกรอบวิเคราะห์ใหม่ที่สามารถอธิบายได้ว่า
ทำไมประเทศไม่มีเสถียรภาพ
ทำไมระบบคิดไทยไม่พัฒนา
ทำไมการเมืองไทยไม่สามารถยกระดับคุณภาพประชากร
ทำไมรัฐไทยไม่สามารถแข่งขันในเวทีโลก
และทำไมอำนาจรัฐไทยไม่เคยมี “เป้าหมายระดับชาติ”
ทั้งหมดนี้เกิดจากการขาดขั้วอุดมการณ์เชิงพัฒนา หรือฝ่ายขวาที่แท้จริง ทำให้ไทยอยู่ในภาวะสูญญากาศ ที่อำนาจดำรงอยู่โดยไม่มีกรอบความคิดค้ำยัน
สรุป
ประเทศไทยไม่มีฝ่ายขวาตามความหมายสากลตั้งแต่แรก
สิ่งที่มีคือเครือข่ายอำนาจที่สวมบทฝ่ายขวา
#แต่ไร้ความหมายเชิงอุดมการณ์
ไร้ตรรกะ
ไร้วิสัยทัศน์
และไร้เป้าหมายเพื่อการพัฒนาชาติ
#นี่คือปัญหาเชิงประจักษ์ของภาวะสูญญากาศทางตรรกะในระบบการเมืองไทย
และเป็นคำอธิบายเดียวที่สามารถตีความข้อเท็จจริงทั้งประวัติศาสตร์และปัจจุบันได้สอดคล้องที่สุด
#ภาวะสุญญากาศทางอุดมการณ์ #ตรรกะปลอม #SpeciousReasoning #Thailand #Politics
⚡⚡ภาวะสูญญากาศทางตรรกะในการเมืองไทย🇹🇭
การปะทะกันระหว่างชุดความคิดกับอำนาจที่ไร้โครงสร้าง
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 การเมืองไทยไม่ได้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างสองอุดมการณ์ที่ชัดเจนเหมือนโลกตะวันตก หากแต่เป็นการปะทะกันอย่างไม่สมมาตรระหว่างฝ่ายหนึ่งที่มีตรรกะและโครงสร้างความคิด กับอีกฝ่ายที่ไร้กรอบอุดมการณ์และดำรงอยู่เพียงเพื่อรักษาอำนาจของเครือข่ายตนเองเท่านั้น
1. ไทยมีเพียง “ขั้วความคิดเดียว” ที่เป็นอุดมการณ์จริง
ในรอบเกือบร้อยปี มีเพียงขั้วเดียวเท่านั้นที่สามารถนิยามตัวเองว่าเป็นอุดมการณ์ตามหลักสากล ได้แก่ ขั้วเสรีนิยมประชาธิปไตยและฝ่ายซ้าย ซึ่งมีชุดความคิดชัดเจน มีตรรกะ และมีเป้าหมายเชิงพัฒนา เช่น การสร้างสถาบันประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคเชิงโครงสร้าง
ขั้วนี้จึงเป็น “แรงผลักดันเชิงปรัชญา” ที่ต้องการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ระบบการเมืองสมัยใหม่
2. ขั้วตรงข้ามของไทยไม่ใช่ฝ่ายขวาตามความหมายสากล
ในรัฐศาสตร์สากล “ฝ่ายขวา” ต้องมีองค์ประกอบสามอย่าง ได้แก่ ระเบียบวินัย สถาบันที่เข้มแข็ง และแนวคิดความมั่นคงของชาติบนฐานเหตุผลเชิงพัฒนา แต่สิ่งที่มีในไทยคือกลุ่มอำนาจเก่าที่อาศัยพิธีกรรม ศรัทธา และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมเป็นฐานอำนาจ โดยไม่มีวิสัยทัศน์หรือโครงสร้างทางความคิดใดๆ ที่จะพัฒนาประเทศ
ผลลัพธ์คือ การเมืองไทยไม่มี “ขวา” จริง มีเพียงเครือข่ายอำนาจที่สวมฉลากฝ่ายขวา แต่ไร้แก่นทางอุดมการณ์โดยสิ้นเชิง
3. ความต่างระหว่าง “ตรรกะเชิงพัฒนา” กับ “ตรรกะรักษาอำนาจ”
ประเทศที่มีเผด็จการขวาจริง เช่นยุโรปและเอเชียบางประเทศในอดีต แสดงความสามารถในการสร้างชาติผ่านโครงสร้างที่มีตรรกะ เช่น การสร้างอุตสาหกรรมทางยุทธศาสตร์ ระเบียบวินัย การวางแผนระยะยาว และโครงการพัฒนาเชิงรัฐชาติ
แต่กลุ่มอำนาจเก่าไทยกลับขับเคลื่อนการตัดสินใจบนฐานผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม การป้องกันภัยคุกคามต่อเครือข่าย และการสร้างความมั่นคงทางอำนาจ มากกว่าการพัฒนาชาติ ผลลัพธ์ที่วัดได้จึงเป็นความล้มเหลวทางโครงสร้าง ความเหลื่อมล้ำ และการถ่วงความก้าวหน้า
4. ทำไมจึงเกิดภาวะสูญญากาศทางอุดมการณ์
เมื่อขั้วที่มีตรรกะเชิงพัฒนาอยู่เพียงฝั่งเดียว ขณะที่ฝั่งรัฐไม่มีอุดมการณ์ใดรองรับการดำรงอยู่ของตนเอง จึงเกิดช่องว่างทางความคิดขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ภาวะสูญญากาศทางอุดมการณ์ #ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของการเมืองไทยช่องว่างนี้ทำให้
ไม่มีเสาหลักทางปรัชญา
ไม่มีวิสัยทัศน์ระดับชาติ
ไม่มีตรรกะทางนโยบาย
ไม่มีระบบคานอำนาจระหว่างซ้าย–ขวา
#ประเทศจึงเข้าสู่สภาวะไม่เสถียรอย่างเรื้อรัง เพราะมีเพียงอำนาจที่ไร้กรอบทางความคิดคอยต้านการเปลี่ยนแปลง
5. เหตุผลเชิงประจักษ์ว่า “ประเทศไทยไม่มีฝ่ายขวา”
หากไทยมีฝ่ายขวาจริง จะต้องเห็นผลลัพธ์บางประการ เช่น
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
วินัยสาธารณะ
รัฐราชการที่มีประสิทธิภาพ
ความเข้มแข็งของสถาบัน
ความชัดเจนของเป้าหมายชาติ
แต่สิ่งที่ปรากฏคือ
ขาดวินัย
ขาดวิสัยทัศน์
ขาดความเข้มแข็งของรัฐ
ขาดโครงการพัฒนาระยะยาว
และเต็มไปด้วยวัฒนธรรมแบบศรัทธาและพิธีกรรม
นี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่า ขั้วที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมในไทย ไม่ได้เป็นอนุรักษ์นิยมตามนิยามเลยแม้แต่น้อย
6. ความหมายเชิงโครงสร้างของสิ่งที่ผมค้นพบ
ข้อสรุปนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความคิดเห็น แต่เป็นกรอบวิเคราะห์ใหม่ที่สามารถอธิบายได้ว่า
ทำไมประเทศไม่มีเสถียรภาพ
ทำไมระบบคิดไทยไม่พัฒนา
ทำไมการเมืองไทยไม่สามารถยกระดับคุณภาพประชากร
ทำไมรัฐไทยไม่สามารถแข่งขันในเวทีโลก
และทำไมอำนาจรัฐไทยไม่เคยมี “เป้าหมายระดับชาติ”
ทั้งหมดนี้เกิดจากการขาดขั้วอุดมการณ์เชิงพัฒนา หรือฝ่ายขวาที่แท้จริง ทำให้ไทยอยู่ในภาวะสูญญากาศ ที่อำนาจดำรงอยู่โดยไม่มีกรอบความคิดค้ำยัน
สรุป
ประเทศไทยไม่มีฝ่ายขวาตามความหมายสากลตั้งแต่แรก
สิ่งที่มีคือเครือข่ายอำนาจที่สวมบทฝ่ายขวา
#แต่ไร้ความหมายเชิงอุดมการณ์
ไร้ตรรกะ
ไร้วิสัยทัศน์
และไร้เป้าหมายเพื่อการพัฒนาชาติ
#นี่คือปัญหาเชิงประจักษ์ของภาวะสูญญากาศทางตรรกะในระบบการเมืองไทย
และเป็นคำอธิบายเดียวที่สามารถตีความข้อเท็จจริงทั้งประวัติศาสตร์และปัจจุบันได้สอดคล้องที่สุด
#ภาวะสุญญากาศทางอุดมการณ์ #ตรรกะปลอม #SpeciousReasoning #Thailand #Politics