เราเป็นผู้หญิง ที่รักผู้หญิงแก่กว่าถึง 24 ปี ทำยังไงดีให้เราพิชิตใจเขาได้หรือให้เขาแสดงท่าทีออกมาบ้างว่าคิดอย่างไร

กระทู้สนทนา
เราเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง อายุ25ปีแล้ว มีความรักมาก็หลายครั้ง ตามที่ควรจะเป็น

เมื่อตอนที่เราอายุ 14ปี เราเคยรักผู้ชายคนหนึ่งมาก เขาเป็นครูที่ปรึกษาของเรา อายุมากกว่าเรา 15 ปี เรายอมรับว่าตอนนั้นเรายังเด็กและทำเรื่องที่เกือบจะผิดพลาดไปหลายครั้ง แต่เพราะครูคนนั้นคือสุภาพบุรุษที่สอนเราให้เข้าใจมากกว่าคำว่ารัก แต่เราก็ทุกข์ทรมานอย่างที่สุดเพราะเราหยุดรักเขาไม่ได้เลย เราคิดว่าแรกๆอาจเป็นเพราะความหลงใหล แต่เรากลับเชื่อมั่นว่ามันคือรักแท้...แล้วมันก็คือรักแท้จริงๆ เรากับครูคนนั้น สุดท้ายจากกันด้วยไม่ดี เพราะมีคนสองคนที่ทำให้เรากับเขาผิดใจกันจนเข้าหน้ากันไม่ติด

4 ปีต่อมา เราเสียใจและผิดหวังกับความรักครั้งนั้นอย่างสุดหัวใจ เมื่อจู่ๆครูที่เรารักก็ประกาศแต่งงานกับไม่มีปี่ไม่มี่ขลุ่ย เรามีเวลาทำใจแค่ประมาณ 1 เดือน เราไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเขาเลยว่าเรื่องที่เขาเข้าใจเราผิด เกิดจากอะไร เรานั่งร้องไห้แทบจะทุกวัน จนกระทั่งวันที่เขาแต่งงาน เรายิ้มทั้งวัน เพราะวันนั้นคือวันส่งคนที่เรารักไปมีความสุข

เมื่อเราอายุได้ 18 ปี เราเดินทางไปศึกษาต่อที่อื่น จนได้พบกับผู้ชายแสนดีคนหนึ่ง เขาขอเราแต่งงานทันที แต่เพราะเราไม่เคยลืมอาจารย์คนนั้น จนปฏิเสธเขาครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งเรายังเด็กมากๆ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในขณะที่เราไม่รู้เรื่องเลย มารู้ในวันต่อมา ก่อนเขาตาย เขาให้พี่ชายมาถามเราว่า ถ้าลืมผู้ชายคนนั้น เราจะรักเขาได้ไหม เราเสียใจที่เราไม่ถนอมใจเขาให้ดีๆ

จากนั้นชีวิตเราก็มีผู้ชายเข้ามาเรื่อยๆ เราเรียนรู้นิสัยผู้ชายแต่ละคนไปเรื่อยๆ แต่เราก็ไม่สามารถลืมเลือนครูคนนั้นที่เรารักได้เลย จนกระทั่งเราอายุ 21 ปี เราหมั้นหมายกับชายคนหนึ่ง และเตรียมตัวจะแต่งงานกัน เขาหล่อและเก่งมาก เขาเก่งด้านภาษาและประวัติศาสตร์ เจอกันครั้งแรกเขาสนใจเราในทันทีเพราะเขาไม่เคยคิดว่าจะมีผู้หญิงอายุยังน้อยแต่สนใจประวัติศาสตร์ตั้งแต่เด็กๆ  แต่เราก็คิดว่าเรายังเด็กไป เราขอเวลาเขาสัก 3 ปี พอให้เราตั้งตัวได้ ให้น้องสาวคนเล็กของเราเข้าชั้นมัธยม น้องจะได้ช่วยดูแลแม่เวลาที่เราต้องไปอยู่บ้านของว่าที่สามีที่อยู่ไกลมากๆ เดินทางลำบาก จริงๆเราก็ไม่ได้รักเขามากหรอก ค่อนข้างจะอยากหาอะไรให้ลืมครูคนนั้นมากกว่า

เราเปิดร้านอินเตอร์เน็ตในหมู่บ้านเล็กๆแถบชานเมือง ตามประสาคนไม่ชอบทำงานประจำ เราทำงานหลักๆแค่ 3 อย่างคือเฝ้าร้านอินเตอร์เน็ต เขียนหนังสือ แล้วก็อีกอย่างคือดูดวง แต่เราไม่คิดเลยว่าจุดเปลี่ยนของชีวิตเราจะมาไวมากขนาดนี้

อาคารพาณิชย์ที่เราเช่าทำร้านอินเตอร์เน็ตขนาบไปด้วยร้านแก๊ซและตึกสำนักงานประกัน ซึ่งบอกตามตรงว่าเราเกลียดการขายประกันมาก ไม่รู้ว่าทำไม แต่เราค่อนข้างจะอคติมากโข เราแทบไม่อยากข้องเกี่ยวกับประกันเลย เคยถูกเพื่อนรุ่นพี่ลากไปสอบขายประกัน เราก็ทำให้รุ่นพี่ไปโดยไม่สนใจ ทำๆทิ้งไว้อย่างนั้น  แต่เพราะช่างที่เจาะกำแพงเพื่อทำปลั๊กไฟ ดันเจาะลึกเวอร์จนไปทะลุเอากำแพงตึกสำนักงานประกัน ฮืม...เราอยากจะด่าช่างสักครึ่งชั่วโมงจริงๆ เพราะนั้นทำให้เราต้องเสียเงินค่าทำพนังสำนักงานประกันที่ปูนแตกทะลุถึงกัน

เราได้ยินคนบ้านอื่นๆที่อยู่รอบๆเล่าให้ฟังว่าเจ้าของสำนักงานประกันโหดมากๆ หน้าดุ นิสัยเสีย ไม่เป็นมิตร สารพัด เราก็เป็นพวกไม่ค่อยเชื่อ เลยรอพิสูจน์ จนกระทั่งเราเจอผู้หญิงผมสั้นหน้าหมวยๆคนหนึ่ง จู่ๆก็เดินออกจากสำนักงานประกันแล้วยิ้มให้เรา ตอนหลังมารู้ว่าเขาเป็นเจ้าของที่นี่แหละ...ผิดกับที่คนอื่นเล่าเลย

เราคิดว่าเขาก็น่ารักดีนะ ถึงจะเงียบไปนิดหนึ่งก็เถอะ เราเรียกเขาว่าน้า ตามความอาวุโส แต่จริงๆต้องเรียกว่าป้า เพราะเขาแก่กว่าแม่ของเรา แต่เราถนัดเรียกแบบนี้ ก็เรียกจนเคยชิน เขายิ้มง่าย แต่ก็เย็นชาในบางครั้ง

แต่ที่น่าสนใจคือที่ office นี้ จะมีผู้หญิงคนหนึ่งเทียวเดินเข้าเดินออกตลอด ทั้งๆที่ไม่ใช่พนักงาน ตอนแรกเราก็คิดว่าคงเป็นเพื่อนเจ้าของสำนักงาน จนกระทั่งเขาเรียกเราไปดูดวงให้หลายๆครั้งจนเริ่มไว้ใจเรา และเราก็ได้ยินผู้หญิงคนนั้นถามเราว่า

เจ้าของสำนักงานประกัน รักเขาไหม?

เราไม่รู้จะตอบอะไร เพราะไพ่บอกว่า สี่เหรียญ เราเลยบอกว่าก็ ไพ่คนงก ก็แสดงว่ารักนั่นแหละ  ผู้หญิงคนนั้นคงได้ใจอย่างสุดๆ เราจึงรู้ว่าเขาคงเป็นแฟนกัน

ไม่รู้ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเรา เจ้าของสำนักงานประกันไม่ค่อยโผล่มาที่สำนักงานเลย นานๆจะมาสักครั้ง เรากลับรู้สึกอยากเห็นหน้าเขา แม้ว่าจะดึกดื่นสี่ห้าทุ่ม ต่อให้เราปิดประตูเหล็กลงแล้วก็ตาม ถ้าเราได้ยินเสียงรดน้ำต้นไม้ตอนดึก เราจะต้องเปิดประตูเหล็กออกมาคุยกับเขาให้จนได้ เพราะเขาไม่ค่อยว่าง ทำให้ต้องกลับมารดน้ำต้นไม้ตอนดึก แถมยังไม่ค่อยจะมาซะด้วย

ส่วนแฟนของเราที่เราขอเวลาเขาไว้ 3 ปี เราพยายามเลี่ยงการอยู่กับเขามาโดยตลอด เพราะเรารู้สึกว่าเรารักครูคนนั้นมากจนไม่อยากโกหกหลอกลวงหัวใจ เขาเป็นคนต่างศาสนากับเรา แต่เมื่อเขาได้ศึกษาพระธรรม เขาก็รู้สึกอยากออกบวช เขาจึงมาขอเลิกกับเรา ซึ่งเราก็รู้สึกดีใจและโล่งใจมาก อนุโมทนาสาธุด้วย ขอให้เขาบวชอย่างมีความสุข ส่วนเราก็จะใช้ชีวิตแบบไม่ต้องมีใคร ปัจจุบันนี้แฟนเก่าของเราบวชอยู่ที่วัดหลวงชื่อวัดราชอะไรสักอย่าง เราก็จำชื่อไม่ได้ เพราะมันมีชื่อวัดที่คล้ายๆกันเยอะ เราจำได้แค่เป็นท่ารถสาย 64และ33

เมื่อปลายปี 55 เกิดเรื่องกับเจ้าของสำนักงานประกันจนเราสังเกตได้ เขากลับมาที่สำนักงานอยู่บ่อยครั้ง เราสงสัยและอยากจะไถ่ถาม แต่เขากลับเรียกเราไปดูดวง หลายๆครั้งเข้าเขาก็เล่าให้เราฟัง เราจึงได้รู้ว่าปัญหาของเขากับผู้หญิงคนนั้นเกิดขึ้นแล้ว ผู้หญิงคนนั้นทำเรื่องเลวร้ายกับเขาสารพัด และเราก็เห็นจริงอย่างนั้น เพราะเหตุการณ์บางเวลา เราก็เคยอยู่ด้วย
หลายเดือนที่อยู่กับเขา เราสังเกตได้ว่าเรามีความสุขตลอด เรานั่งคุยกับเขา จากวันหนึ่งถึงอีกวันแบบไม่สนใจใคร ไม่สนใจเวลา เป็นอะไรที่เรามีความสุขมากๆ เราลืมไปเลยว่าเราเคยมีครูคนนั้นอยู่ในหัวสมอง

แล้วจู่ๆวันหนึ่ง เจ้าของสำนักงานประกันก็หายไปแบบไร้วี่แวว เราอยู่ไม่สุขเลยแม้แต่น้อย เรานั่งเฝ้ารอเขาหลายวันเขาก็ไม่มา เรายิ่งรู้สึกไม่มีความสุขเข้าไปอีกเมื่อคิดว่า เขาอาจจะกลับไปคืนดีกับผู้หญิงคนนั้น เราพยายามข่มใจ แต่ก็ทำไม่ได้ เราโทรหาเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ไม่รับสาย เราห่วงเขามาก จนกระทั่งเขากลับมา เรารู้สึกโล่งใจอย่างมาก

เราเป็นคนดวงแข็ง และเราสวมแหวนงูสองหัวสี่วง ซึ่งทำการปลุกเสกไว้เพื่อป้องกันภัย เราถอดแล้วสวมให้เขาใส่ไว้กับตัว เพราะมันอาจจะช่วยดึงสติของเขากลับมาได้หากว่าเขาถูกคุณไสยอะไรในยามที่เขาอยู่คนเดียว ตามความเชื่อของครอบครัวเรา และไม่นาน เขาก็เอากลับมาคืน แต่เขาก็เล่าให้ฟังว่า เหมือนสติเขาหลุดๆในบางช่วง ตอนขับรถหลงไปหลงมาอยู่หลายรอบ เมื่อเขาเอาแหวนงูของเรามาคืน เราจึงกลับไปที่บ้าน ไปเอาพระที่ฝังเหล็กไหลน้ำหนึ่งมาให้เขาเอาติดรถไว้แทน
แฟนเก่าของเราที่บวชเป็นพระ ท่านก็ให้คนขับรถพาแวะมาหาเราแค่ 2 ครั้งหลังจากออกบวชไปแล้ว แวะมาเพราะเป็นทางผ่านจากการไปทำธุระ ก็แวะมาให้พร มาเยี่ยมเยือน และมาบอกลาอย่างถาวร ท่านจะบวชตลอดชีวิต หากว่าเราอยากพบเจอพูดคุย ถกปัญหาด้านประวัติศาสตร์สากลกับท่าน ก็ให้ไปพบท่านที่วัด และพาเพื่อนๆที่สนิทสนมแวะไปหาท่านบ้างตามสมควร ท่านอยู่วัดก็ไม่รู้จะถกเรื่องราวประวัติศาสตร์กับใคร แต่ก็มั่นใจแล้วว่าคงไม่สึก เราก็อนุโมทนาสาธุกับท่านด้วย
มาถึงจุดนี้ เราเริ่มคิดได้แล้วว่า ความสุขของเราคืออะไร แรกๆเราไม่ค่อยแน่ใจ เพราะไม่คิดว่าความรู้สึกแบบนี้จะเกิดกับเราได้ ตีสามตีสี่ของแทบจะทุกวัน เรานั่งคุยกับเขาที่ร้านเน็ตของเราบ้าง สำนักงานประกันของเขาบ้าง กลายเป็นความสนิทเคยชิน  

เราหลงรักผู้หญิงด้วยกัน ผู้หญิงที่ไม่ใช่ทอม ดี้ แต่เป็นผู้หญิงเหมือนกันจริงๆ เราคงมองข้ามอุปสรรคของคำว่าเพศไปแล้ว

เราคิดไม่ตกอยู่หลายวัน แต่สุดท้ายเราก็เลือกที่จะถามความคิดเห็นของเขา เราพยายามบอกเขาเป็นนัยๆ ว่าเราชอบผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วเราก็พยายามบอกเขาอีกหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่รู้ตัว จนกระทั่งวันนั้นวันเสาร์ เขาก็อยู่ที่สำนักงานประกันเพียงคนเดียว แล้วเราก็รอเวลาที่จะบอกเขา เราพาเขาไปที่ตลาด ระหว่างทาง มันมีกระจกดำๆอยู่ เราก็ชี้ให้เขาดูว่า นั่นในคนที่เรารัก แต่เขากลับคิดว่าเป็นคนที่อยู่ในร้านซึ่งปิดกั้นด้วยกระจกดำ เราก็เลยรอให้เวลาผ่านไปอีก 1 ชั่วโมง เขาก็นั่งทำงานในสำนักงานต่อ เราก็เดินเข้ามาหาเขา แล้วไปยืนที่หลังเก้าอี้ของเขา เราเอามือสองข้างวางไว้ที่ไหล่ของเขาแล้วพูดว่า

"คนที่หนูหลงรักคือน้าค่ะ"

เขาอึ้งไปสักพัก เขาหันกลับมามองหน้าเรา เราจึงเดินไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้อีกตัวที่ห่างออกไปเมตรกว่าๆ แล้วเขาก็ถามเรากลับว่า
“ไอ้ที่ว่าคนผมสั้นๆ ที่เจอทุกวัน คนที่หมายถึงนั่นคือน้าเหรอ?”
ฉันก็ยิ้มๆให้เขา จากนั้นเขาก็เดินไปหยิบเบียร์มากับไวน์ เขากิน 1 กระป๋อง เรากิน 1 ขวด พอกินหมด เราก็ชวนเขาไปกินสเต็ก เขาก็บอกว่า ขออีกกระป๋อง แล้วเขาก็ไปหยิบเบียร์มาอีกกระป๋องพร้อมไวน์อีกขวด เราเลยบอกไปว่า

"หนูไม่เอาแล้วค่ะ เดี๋ยวหนูเมา หนูไม่สามารถรับผิดชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับน้าได้นะคะ"

เขาก็อึ้งๆไปหน่อย แต่ก็หยิบเบียร์มากินเรื่อยๆ เผลอแปบเดียวก็ไปแล้ว 4 กระป๋อง เราจึงบอกให้หยุดแล้วก็ไปกินสเต็กกับเรา เพราะเราออกจะดูเหมือนบังคับ เขาก็เลยยอมไป ปกติเขาขับรถเร็ว แต่ไม่เร็วขนาดที่เราเจอในวันนั้น เหมือนเขากึ่งๆจะเมานิดๆ จนกระทั่งกินเสร็จแล้วกลับมา พอเราลงจากรถ เขาก็พูดขึ้นมาว่า
“มานี่ซิ...มาให้ซักหน่อย” จุดประสงค์หลักๆคือซักไซ้ไล่เลียง อยากรู้ว่าเพราะอะไรเราถึงหลงรักเขา
และคืนนั้นเกือบทั้งคืนเรากับเขาก็มานั่งอยู่ที่สำนักงานของเขา เขาก็บอกให้เราสารภาพมาทั้งหมดว่าหลงรักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เราไม่อยากปิดบัง ก็เลยบอกไปทั้งหมด จู่ๆเขาก็ลุกขึ้น แล้วก็ปิดไฟ เราสองคนนั่งอยู่บนโซฟาเดียวกัน  โรแมนติคมากสำหรับเรา แต่สำหรับเขาคงจะรู้สึกแปลกใจไม่หาย
พอถึงเวลาที่จะกลับบ้าน เราคิดว่า พรุ่งนี้ทุกอย่างคงเปลี่ยนไป เขาคงจะไม่พูดคุยกับเราเหมือนเดิมอีกแล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้น 7 โมงกว่าๆ เขาโทรปลุกเราตั้งแต่ตอนเช้า เรียกเราลงมานั่งกินข้าวกับเขาที่สำนักงาน แถมเขารู้ว่าเราไม่ชอบกินผัก เขาก็ตักผักออกไปไว้ที่จานเขา แล้วตักกับข้าวให้เราเน้นๆเนื้อๆเป็นหลัก เราคิดว่าเขาคงพยายามทำให้เราเลิกคิดจะรักเขา เป็นเพื่อนต่างวัยกันต่อไปอาจจะดีกว่า

แต่หลายวันต่อจากนั้น เขาก็มักจะชวนเรากินข้าวเช้า เที่ยง เย็น มากขึ้นเรื่อยๆ จนเราติดนิสัย กินข้าวกับเขา และกลายเป็นเราชวนเขาบ้าง ซื้อกับข้าวมาทำกินกันสองคนบ้าง เพราะเขาทำกับข้าวไม่เป็น เราเลยทำให้เขา  ตอนนี้เราเลยคิดว่าเขาก็อาจจะมิใจให้เรา แต่พอเราขอจับมือของเขา เขากลับไม่ยอมให้จับ

แต่จู่ๆ ผู้หญิงคนนั้นที่เคยเป็นแฟนเขา ก็ดันมายกเอารถที่เขาใช้อยู่ไป(ตอนซื้อรถ เขาใช้ชื่อแฟนเก่าซื้อ) ในรถนั้นมีของมีค่ามากมาย รวมถึงพระของเราด้วย ทั้งเราและเขาต่างก็วิ่งวุ่นตามดูเอาว่ารถถูกยกไปที่ไหน และเอาไปทำอะไร

ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่เรากำลังจะย้ายร้านอินเตอร์เน็ต เพราะเจ้าของตึกอยากขายเนื่องจากถูกสามีชาวต่างชาติทอดทิ้งไม่ส่งเสีย เป็นหนี้สินมากมาย ต้องหาเงินไปใช้หนี้ เราก็เลยยอมย้ายออกให้ แต่ช่วงเวลาก่อนจะย้ายออกนี่สุดแสนจะทรมานใจเหลือทน เรากับน้าใกล้ชิดกันมาก เราหวงแหนจนเราอยากจะเป็นเจ้าของเขาเลย
มีอยู่วันหนึ่งน้าเดินเข้ามาหาเราแล้วบอกว่าอยากให้เราไรท์ไฟล์วีดีโอไฟล์หนึ่งให้เขาหน่อย เขาเปิดผ่านๆให้เราดูชั่วคราวเดียว เราก็ชะงัก เขาเลยรีบปิด...
เราเคยบอกแล้วว่าเราเป็นนักเขียน และเราก็ทำงานพิสูจน์อักษรด้วย(แต่เราพลาดบ่อยเวลาเราพิมพ์เร็วๆ หรือพิมพ์แบบรีบๆ) ทำให้เราอ่านปราดเดียวรู้เรื่องในช่วงพริบตา เป็นข้อความที่ผู้หญิงคนนั้นส่งให้เขาเมื่อตอนที่พวกเขายังรักกัน ข้อความไม่กี่บรรทัด แต่เราอ่านแล้วเข้าใจเลย วันนั้นทั้งวัน เราซึมไปนิดหน่อย เขาพยายามให้เราไรท์ไฟล์นั้นลงแผ่นซีดี แต่เราต้องคัดลอกลงเครื่องPC ของเราก่อนแล้วไรท์ จากนั้นเขาก็บังคับให้เราลบออกจากเครื่องเรา คงไม่อยากให้เราเห็น

(มีต่อค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่