ทำไม ดร.โกร่งถึงบอกว่า "เบอร์นันเก้ควรลาออก" ได้แล้ว !!

จากมติชนออนไลน์

โดย วีรพงษ์ รามางกูร

เบอร์นันเก้ควรลาออก /วีรพงษ์ รามางกูร  (มติชนรายวัน 26 ก.ย.2556)

เมื่อวันพุธที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา นายเบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาออกมาแถลงว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐมีมติไม่ลดจำนวนเงินที่ธนาคารจะนำออกมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และตราสารหนี้ระยะยาวของเอกชนที่มีหลักทรัพย์หนุนหลัง รวมแล้วเดือนละ 85,000 ล้านเหรียญต่อเดือน ตามมาตรการคิวอี ที่เป็นที่ทราบกันทั่วโลกแล้ว

ทันทีที่นายเบอร์นันเก้ประกาศ ก็เกิดความปั่นป่วนขึ้นในตลาดเงินและตลาดทุนทันที เงินดอลลาร์ที่ทยอยไหลออกจากภูมิภาคต่างๆ กลับไปตลาดสหรัฐ ก็เปลี่ยนทิศทางไหลกลับ ค่าเงินดอลลาร์เทียบกับสกุลต่างๆ รวมทั้งเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นทันที ราคาพันธบัตรและตราสารหนี้ในตลาดสหรัฐก็ถีบตัวสูงขึ้น ซึ่งก็เท่ากับว่าผลตอบแทนต่อตราสารหนี้ระยะยาวหรือดอกเบี้ยระยะยาวเหล่านี้ลดลงทันที ทิศทางของการเคลื่อนย้ายเงินทุนเปลี่ยนทิศทางตามคำแถลงนั้นทันที

เหตุการณ์เช่นนี้ต้องถือว่าเป็นการ "ช็อก" ตลาด เพราะเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตัวนายเบอร์นันเก้เองเป็นคนให้สัญญาณว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะเริ่มลดการปริมาณเงินที่จะเข้าสู่ตลาดตามมาตรการคิวอี เพียงแต่จะลดปริมาณลงจาก 85,000 ล้านเหรียญเป็นจำนวนเท่าใดต่อเดือนขอยังไม่บอก

ตลาดการเงินในสหรัฐและทั่วโลกก็ปรับตัวตามสัญญาณที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐบอก เพราะทุกคนเชื่อในเกียรติภูมิของตำแหน่งประธานธนาคารกลาง การปรับเมื่อตลาดทราบล่วงหน้าว่าจะเกิดการเปลี่ยนนโยบายเป็นเรื่องปกติ ตามหลัก "การคาดการณ์อย่างมีเหตุผล" หรือทฤษฎี Rational Expectation

เมื่อถึงเวลา มติของคณะกรรมการไม่เป็นไปตามสัญญาณ เพราะคณะกรรมการมีมติไม่ลดวงเงินที่ธนาคารกลางจะนำออกมาซื้อพันธบัตร ไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย แม้นายเบอร์นันเก้จะออกมาแก้ตัวอย่างไร เครดิตความเชื่อถือในตัวนายเบอร์นันเก้และในฐานะประธานธนาคารกลางก็เสียหายเป็นอย่างมาก ต่อไปประธานธนาคารกลางจะพูดอะไรความเชื่อถือก็น่าจะน้อยลง เพราะถ้าตัวยังไม่แน่ใจก็ไม่ควรออกมาพูด เมื่อพูดอย่างไรแล้วต้องเป็นไปตามสัญญาณที่ตัวให้

เหตุผลที่คณะกรรมการไม่ยอมลดปริมาณเงินที่จะเข้าไปในตลาดตามมาตรการคิวอี ก็คือ เศรษฐกิจอเมริกายังเปราะบางอยู่มาก อัตราการว่างงานเกือบ 7 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่ยอมลดลง อัตราเงินเฟ้อและอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่าเป้าหมาย ดังนั้น คณะกรรมการจึงยังคงนโยบายเดิมไปก่อนโดยไม่มีกำหนด

การเกิด "ช็อก" ตลาดอย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะจะเป็นผลเสียหายต่อการเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจของสหรัฐและของโลกในระยะยาว ด้วยเหตุนี้เมื่อจะมีการเปลี่ยนนโยบายจึงมักจะมีการให้สัญญาณก่อน เพื่อให้มีการปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ความจริงแล้วนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของสหรัฐ อาทิ นายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส ก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับมาตรการ คิวอีของธนาคารกลางมาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในทางทฤษฎีและในทางปฏิบัติ ในยามเศรษฐกิจซบเซา นโยบายการเงินหรือการเพิ่มปริมาณเงินเข้าไปในระบบ จะไม่มีผลต่อการลงทุนและการขยายตัวในทางเศรษฐกิจ แต่จะมีผลเสียในระยะยาวกล่าวคือจะมีผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักต่างๆ และจะมีผลต่อภาวะเงินเฟ้อในระยะยาว

ธนาคารกลางคงจะมีความเห็นว่า ผลต่อการยับยั้งภาวะเศรษฐกิจซบเซาและปัญหาการว่างงานของคนอเมริกันคงจะมีความสำคัญต่อการขยายตัวและปัญหาเงินเฟ้อในระยะยาว

อีกทั้งสหรัฐได้พยายามใช้นโยบายการคลังโดยการตั้งงบประมาณขาดดุลมาเป็นเวลานาน ก็ไม่สามารถยับยั้งการซบเซาภาวะเศรษฐกิจของอเมริกาได้ จนรัฐสภาอเมริกาให้ออกกฎหมายจำกัดเพดานยอดหนี้สาธารณะของรัฐบาลอเมริกันไว้ ไม่ยอมให้รัฐบาลสหรัฐสร้างหนี้สาธารณะ อันมีผลทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องลดการขาดดุลงบประมาณลงจนเป็นที่เกรงกลัวกันว่าจะเกิดปัญหา "หน้าผาการคลัง" หรือ "Fiscal Policy" และจะไม่สามารถชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเพื่อไถ่ถอนพันธบัตรของรัฐบาลได้ จนกระทั่งต้องมีการเจรจาประนีประนอมระหว่างรัฐบาลกับรัฐสภาอย่างที่เป็นข่าวมาแล้ว จนรัฐบาลไม่อาจจะกู้เงินเพิ่มขึ้นได้มาก ทางที่ถูกก็ควรขึ้นภาษีอากรเพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐบาล แต่รัฐบาลก็ไม่กล้าทำ จนต้องปิดหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล ปลดข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจออกเป็นจำนวนมากก็ยังไม่เพียงพอ

เศรษฐกิจของอเมริกาที่สื่อมวลชนในอเมริกาตีข่าวว่าจะเริ่มฟื้นแล้ว จึงไม่เป็นความจริง แต่ยังมีโอกาสล้มเหลวต่อไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะ 3-5 ปีจากนี้ไป เหตุการณ์ในสหรัฐกับการใช้นโยบายการเงินเป็นเครื่องมือพลิกฟื้นเศรษฐกิจจึงน่าติดตามเพราะเป็นการเปลี่ยนความคิดทางทฤษฎีใหม่

การที่ธนาคารกลางสร้างเงินขึ้นมาเพื่อนำไปซื้อพันธบัตรและหุ้นกู้ รวมทั้งตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน นอกจากจะเป็นการเพิ่มเงินเข้ามาในระบบแล้ว ก็เท่ากับเป็นการเปลี่ยนเจ้าหนี้ของรัฐบาลอเมริกัน รัฐบาลท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ รวมทั้งบริษัทใหญ่ๆ จากประชาชนมาเป็นธนาคารกลาง เมื่อธนาคารกลางมาเป็นเจ้าหนี้แทน เท่ากับเป็นการช่วยรัฐบาลเจ้าของพันธบัตรและตราสารหนี้ต่างๆ ไปในตัว เมื่อผู้ออกพันธบัตรไม่สามารถไถ่ถอนพันธบัตรและตราสารหนี้ได้ก็อาจจะสามารถเจรจากับธนาคารกลางได้ ซึ่งเป็นการเสีย "วินัยทางการเงิน" อย่างร้ายแรง ประเทศอื่นๆ ไม่ควรจะนำมาใช้ แม้ว่ายุโรปและญี่ปุ่นจะดำเนินการตามธนาคารกลางสหรัฐก็ตาม

การคัดค้านนโยบาย คิวอีของนายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส จึงมีเหตุผลทางวิชาการอย่างยิ่ง แต่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของรัฐสภา โดยเฉพาะวุฒิสภา ธุรกิจเอกชนและสื่อมวลชนของสหรัฐ จนกระทั่งมีเสียงเล็ดลอดออกมาจากวุฒิสภาว่า ถ้าหากประธานาธิบดีโอบามาจะเสนอนายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส มาเป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐ วุฒิสภาจะลงมติไม่รับรองจนนายซัมเมอร์สประกาศถอนตัว เท่ากับนายเบอร์นันเก้และคณะกรรมการนโยบายเงินของธนาคารกลางสหรัฐเอนเอียงไปตามกระแสการเมือง ขาดความเป็นอิสระตามหลักการของการเป็นธนาคารอย่างยิ่ง

เมื่อธนาคารกลางสหรัฐกลับคำ ไม่เป็นไปตามสัญญาณที่ตนให้เองอย่างนี้ ธนาคารกลางของโลกก็ต้องระมัดระวัง เพราะเมื่อเงินดอลลาร์ไหลกลับมาอีก ค่าเงินดอลลาร์ก็คงอ่อนตัวลง ค่าเงินบาทก็คงต้องแข็งค่าขึ้น และคงจะกระทบต่อการส่งออกและภาวะเศรษฐกิจของโลก ซึ่งขณะนี้ก็แย่อยู่แล้ว เพราะอยู่ในช่วงขาลง แต่คงจะหวังอะไรไม่ได้ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจคงจะต้องช่วยตัวเอง โอกาสที่ค่าเงินบาทจะกลับแข็งอย่างรวดเร็วก็มี สถานการณ์ตีกลับเพียงชั่วข้ามคืน

แต่ที่แน่ๆ นายเบอร์นันเก้ควรลาออกได้แล้ว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่