“สวัสดีครับท่านผู้ชม พบกับรายการ ‘ลิตเติ้ล เชฟ’ ผมเชฟเจื้อครับ”
“สวัสดีค่ะ เชฟเตยหอมค่า อือ...พี่เชฟเจื้อคะ วันนี้เราจะทำเมนูอะไรกันดีล่ะคะ”
“ขนมครกหน้าเห็ดแชมปิญองกับชีสครับ”
.
.
.
เสียงผู้ประกาศรายการเล่าข่าวเช้าของสถานีวิทยุชุมชนแห่งหนึ่งกล่าวล่ำลาผู้ฟังแว่วมาจากทางระเบียงหลังบ้าน เป็นสัญญาณบอกเวลาว่าขณะนี้จวนเจ็ดโมงเช้าเต็มที หญิงสาวผู้อยู่ในห้องครัวขนาดกะทัดรัดทว่าครบครันด้วยอุปกรณ์ทำอาหารนานาชนิดเร่งมือผัดข้าวใส่ปิ่นโต เรียบร้อยแล้วก็รี่ไปที่อีกฝั่งหนึ่งของครัว ผนังเป็นไม้ระแนงตีลายข้าวหลามตัดระบายอากาศ มือแคล่วคล่องขยับพลิกปลาดุกห่อฟอยล์ที่ย่างบนเตาอั้งโล่ส่งกลิ่นหอมฉุย ปลาตัวเขื่องยังไม่สุกดีระหว่างนั้นเธอจึงคีบลูกฟักอ่อนที่หมกอยู่กับขี้เถ้าใต้เตาขึ้นมาลอกเปลือกเกรียมๆ ทิ้ง หั่นเนื้อนิ่มฉ่ำเป็นชิ้นพอคำ จัดลงจานเคียงกับถั่วฝักยาว มะเขือเปราะเจ้าพระยาและกะหล่ำปลีต้มจนสุกนุ่ม สำหรับกินกับน้ำพริกดำรสไม่เผ็ดจัดจ้านนักซึ่งหลานสาวตั้งใจปรุงให้กลมกล่อมถูกปากผู้เป็นย่าโดยเฉพาะ
“เตยหอม วันนี้เข้าออฟฟิซเหรอลูก” สตรีวัยกลางคน ผิวขาวนวล รูปร่างค่อนไปทางผอมบางในชุดนอนลายดอกชบาสีน้ำตาลแดงเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นลูกสาวเตรียมอาหารใส่ปิ่นโตเมลามีนประจำตัว ตามปกติคอลัมนิสต์อาหารอย่างมัชฌิมาต้องเที่ยวเสาะแสวงหาเมนูเด็ดรสเลิศนำเสนอในนิตยสารต้นสังกัด ออกตะลอนร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแทบไม่ว่างเว้นเสียจนคนเป็นแม่อดห่วงไม่ได้ ครั้นเห็นวี่แววว่าวันนี้ลูกสาวตนคงไม่ต้องเดินทางออกไปไหนไกลให้ต้องกลับบ้านค่ำมืดน้ำเสียงถามไถ่จึงมีความโล่งใจแฝงอยู่มากพอดู
“ค่ะแม่ เอากล้องไปซ่อมแล้วก็จะเข้าไปเคลียร์งานสักหน่อย ไม่ได้เข้าออฟฟิซตั้งหลายวันแล้วค่ะ” มัชฌิมาหันไปส่งเสียงใสแจ๋วตอบมารดาที่กำลังหิ้วตะกร้าผ้าห่มไปทางราวตากหลังบ้าน “อ้อ เตยแบ่งข้าวผัดไว้ให้แม่กับพ่อด้วย เอาไว้ในตู้กับข้าวนะคะ” เธอพยักพเยิดบอกอย่างอารมณ์ดีก่อนหันไปจัดการกับปลาที่ย่างค้างไว้บนตะแกรงเหล็ก
ปลาดุกตัวใหญ่สุกได้ที่แล้ว กลิ่นหอมโชยชายชวนหิว หญิงสาวรีบจัดลงสำรับรวมกับจานข้าวสวยและอาหารที่ทำเสร็จก่อนหน้า แล้วยกไปหาผู้อาวุโสของบ้านที่นั่งเอนหลังฟังวิทยุรออยู่ตรงระเบียง มัชฌิมาบรรจงวางถาดอลูมิเนียมลงบนโต๊ะไม้ขัดมันทรงกลมอย่างเบามือ ผู้ชราบนเก้าอี้โยกค่อยๆ ชันตัวขึ้นเพ่งมองของในสำรับ ใบหน้าท่านประดับด้วยรอยยิ้มแจ่มใสแลกระชุ่มกระชวยสวนทางกับวัยเจ็ดสิบเศษ
“หอมจังนะ ท่าทางน่าอร่อย...” ย่าสวยเอ่ยชมแม่ครัวคนเก่ง รอยยิ้มปริ่มเปรมยังไม่เลือนหายไปจากดวงหน้าผู้ชราซ้ำจะปรากฏชัดตาขึ้นกว่าเดิม น้ำพริกดำ ฟักอ่อนหมกและปลาดุกย่างเป็นสิ่งที่ท่านเคยเปรยเอาไว้เมื่อสองสามวันก่อนว่าไม่ได้กินเสียนาน ครั้นเช้านี้หลานสาวลุกมาเข้าครัวแต่ฟ้าสาง ตั้งใจทำให้ไม่ขาดตกบกพร่องแม้สักน้อย อย่างนี้แล้วจะไม่ให้คนแก่เป็นปลื้มอย่างไรไหว
“อร่อยชัวร์อยู่แล้วค่ะ เตยตั้งใจทำสุดฝีมือเลย ย่าสวยต้องกินเยอะๆ นะคะ ไม่งั้นเตยน้อยใจจริงๆ ด้วย” หลานสาวแกล้งทำเสียงกระเง้ากระงอดออดอ้อนพลางถอดหมวกคลุมผมกันกลิ่นอาหารออกวางบนตัก เรือนผมอ่อนนุ่มหยิกเป็นลอนตามธรรมชาติทิ้งตัวลงเคลียพวงแก้มปลั่งและหัวไหล่กลมกลึงที่โผล่พ้นเสื้อแขนกุดสีครีมตัวยาว เธอขยับเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้ย่า ลงมือแกะเนื้อปลาที่ยังอุ่นๆ ระวังไม่ให้มีก้างแล้วจึงค่อยวางใส่จานให้ผู้อาวุโสอย่างเอาอกเอาใจ
เสียงหัวเราะเบาๆ และบทสนทนากะหนุงกะหนิงของสองย่าหลาน เรียกความสนใจคนที่กำลังตั้งหน้าคลี่ผ้าห่มตากบนราว ขวัญหทัยหันมองบุตรสาวปรนนิบัติผู้เป็นย่าแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แม้มัชฌิมาจะเรียนจบมีงานการทำเป็นหลักแหล่งนับว่าก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัว ทว่าบุตรสาวก็ไม่เคยละเลยเหินห่างคนในครอบครัว มีเวลาว่างเมื่อไรเป็นได้ขลุกอยู่กับย่าสวยบ้าง ช่วยหยิบจับทำกับข้าวกับปลาบ้าง บางทีก็ออกไปช่วยบิดาขายผักสดในตลาดตั้งแต่เช้ายันบ่ายไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย
“จัดปิ่นโตเสร็จแล้วหรือยังลูก เอาแครกเกอร์ไส้แยมไปกินด้วยไหมล่ะ แม่จะทำให้” เมื่อสะบัดผ้าห่มผืนสุดท้ายพาดผึ่งแดดบนราวเรียบร้อย ขวัญหทัยก็ร้องถามคนที่กำลังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ แก้มพองอย่างเอร็ดอร่อย
หญิงสาวผงกศีรษะเร็วจี๋ ดวงตาสีนิลส่งประกายสดใสแจ่มแจ๋วราวเด็กน้อย “ขอบคุณค่ะแม่ รักแม่ที่สุดเลย!”
มารดาหัวเราะอย่างทั้งขันทั้งเอ็นดู...ก็มัวแต่
‘รักแม่ที่สุด’ อย่างนี้สิเล่า จนป่านนี้นางถึงยังไม่เห็นวี่แวว
‘ว่าที่ลูกเขย’ กับเขาสักที ผู้ชายทุกคนที่มัชฌิมารู้จักมักจี่เจ้าตัวก็คบหาสนิทใจฉันเพื่อนพ้องน้องพี่ ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้นสักรายเดียว เวลาพูดถึงใครก็ไม่มีสัญญาณความพึงพอใจให้ระแคะระคายสักนิด
อ้อ เห็นจะมีผู้ชายอยู่คนหนึ่งที่บุตรสาวมักพูดถึงอยู่เนืองๆ ดวงตาเป็นประกายสดใสได้ทุกครั้งยามเอ่ยชื่อ พี่ชายข้างบ้านสมัยเด็กคนนั้น ถึงจะห่างหายขาดการติดต่อกันไปนานร่วมสิบกว่าปีแต่
‘จารุภักดิ์’ ดูจะไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำของบุตรสาวสักขณะใจเดียว ความผูกพันรักใคร่นั้นอาจลึกซึ้งกว่า ‘มรรค’ ซึ่งเป็นพี่ชายตัวจริงเสียด้วยซ้ำ ก็แน่ล่ะขณะที่พี่แท้ๆ แอบหนีออกไปเฮกับแก๊งหัวโจกวัยเดียวกัน ทิ้งน้องนั่งจ๋องร้องไห้โยเยอยู่บ้าน ครั้นมีพี่ชายใจดีมาชวนเล่นคลายเหงาเด็กหญิงจึงติดเขาแจเป็นธรรมดา ส่วนตัวนางเองก็รักและเอ็นดูจารุภักดิ์ดั่งลูกชายอีกคนหนึ่ง ด้วยกิริยามารยาทเรียบร้อย นิสัยใจคออ่อนโยน แถมยังคล่องงานครัวตั้งแต่ตัวน้อยๆ ฝีมือทำอาหารดีกว่าผู้ใหญ่บางคนถมไป
เสียงหัวเราะแช่มชื่นดังลอยมาอีกระลอก คนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหลุดจากภวังค์ เหลียวมองคู่ย่าหลานพะเน้าพะนอกันตรงระเบียงหลังบ้าน เห็นภาพความอบอุ่นในครอบครัวอย่างนี้แล้ว พอนึกว่าสักวันมัชฌิมาต้องออกเรือนไปก็ใจหาย บ้านคงเงียบเหงาขาดชีวิตชีวาไปเยอะทีเดียว
ขวัญหทัยส่ายศีรษะเบาๆ ลอบถอนหายใจที่ตนกังวลเกินเหตุ เพราะดูจากลาดเลาแล้วคงอีกนานเชียวล่ะกว่าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนจะตกลงปลงใจกับใครสักคน...หากเมื่อคิดเรื่องนี้แล้ว คำถามติดปากของเหล่าเพื่อนบ้านและบรรดาคนรู้จักมักคุ้นทั้งหลายแหล่ก็มีอันเวียนแวะเข้ามารกหัวอีกจนได้
‘นี่แม่ขวัญ เมื่อไรลูกสาวเธอจะแต่งงานแต่งการเสียทีล่ะจ๊ะ’
‘โอย หวงค่ะ ยังไม่อยากให้แต่งเลย ที่บ้านคงเหงาแย่ แล้วอีกอย่าง...เตยหอมเขาเพิ่งจะยี่สิบสี่เท่านั้นเอง’
‘อุ๊ยต้าย! ยี่สิบสี่นี่ก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนา ระวังเถอะจ้ะ ทำโสดนานไปคนเขาจะเหมาเอาว่าลูกสาวบ้านนี้ขึ้นคาน ขายไม่ออกนะจ๊ะ!’
นางยังจำสีหน้าท่าทางวิตกกังวลนั่นได้ดี...น่าขันตรงที่คนถามดูจะเดือดร้อนจริงจังกว่าแม่บังเกิดเกล้ามากโข มัชฌิมาน่ะคนแท้ๆ นะ ใช่ผักปลาเสียที่ไหน สองสามวันขายไม่ออกแล้วจะได้เน่าเหม็นคลุ้งบ้าน ให้ขึ้นคานอยู่ออเซาะพ่อแม่นานอีกหน่อยจะเป็นไรไปเชียว ในเมื่อเจ้าตัวยังไม่สะทกสะท้านกับสถานภาพโสดค้างเติ่งของตนเองเลยแม้แต่น้อย
ขวัญหทัยขับไล่คำถามไร้สาระออกจากสมอง เก็บตะกร้าหวายไว้ในร่มแล้วสาวเท้าเข้าครัว จดจ่อกับการป้ายแยมผลไม้เนื้อข้นลงบนแผ่นขนมปังอบกรอบสีเหลืองทอง ประกบคู่ เรียงใส่ปิ่นโตเป็นเสบียงให้ลูกสาวสุดรัก แทนการวิตกหวั่นไหวไปกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงหรือคิดติดใจในเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์
Love fudge: ปรุงใจใส่จานรัก บทที่ ๑
“สวัสดีครับท่านผู้ชม พบกับรายการ ‘ลิตเติ้ล เชฟ’ ผมเชฟเจื้อครับ”
“สวัสดีค่ะ เชฟเตยหอมค่า อือ...พี่เชฟเจื้อคะ วันนี้เราจะทำเมนูอะไรกันดีล่ะคะ”
“ขนมครกหน้าเห็ดแชมปิญองกับชีสครับ”
.
.
.
เสียงผู้ประกาศรายการเล่าข่าวเช้าของสถานีวิทยุชุมชนแห่งหนึ่งกล่าวล่ำลาผู้ฟังแว่วมาจากทางระเบียงหลังบ้าน เป็นสัญญาณบอกเวลาว่าขณะนี้จวนเจ็ดโมงเช้าเต็มที หญิงสาวผู้อยู่ในห้องครัวขนาดกะทัดรัดทว่าครบครันด้วยอุปกรณ์ทำอาหารนานาชนิดเร่งมือผัดข้าวใส่ปิ่นโต เรียบร้อยแล้วก็รี่ไปที่อีกฝั่งหนึ่งของครัว ผนังเป็นไม้ระแนงตีลายข้าวหลามตัดระบายอากาศ มือแคล่วคล่องขยับพลิกปลาดุกห่อฟอยล์ที่ย่างบนเตาอั้งโล่ส่งกลิ่นหอมฉุย ปลาตัวเขื่องยังไม่สุกดีระหว่างนั้นเธอจึงคีบลูกฟักอ่อนที่หมกอยู่กับขี้เถ้าใต้เตาขึ้นมาลอกเปลือกเกรียมๆ ทิ้ง หั่นเนื้อนิ่มฉ่ำเป็นชิ้นพอคำ จัดลงจานเคียงกับถั่วฝักยาว มะเขือเปราะเจ้าพระยาและกะหล่ำปลีต้มจนสุกนุ่ม สำหรับกินกับน้ำพริกดำรสไม่เผ็ดจัดจ้านนักซึ่งหลานสาวตั้งใจปรุงให้กลมกล่อมถูกปากผู้เป็นย่าโดยเฉพาะ
“เตยหอม วันนี้เข้าออฟฟิซเหรอลูก” สตรีวัยกลางคน ผิวขาวนวล รูปร่างค่อนไปทางผอมบางในชุดนอนลายดอกชบาสีน้ำตาลแดงเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นลูกสาวเตรียมอาหารใส่ปิ่นโตเมลามีนประจำตัว ตามปกติคอลัมนิสต์อาหารอย่างมัชฌิมาต้องเที่ยวเสาะแสวงหาเมนูเด็ดรสเลิศนำเสนอในนิตยสารต้นสังกัด ออกตะลอนร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแทบไม่ว่างเว้นเสียจนคนเป็นแม่อดห่วงไม่ได้ ครั้นเห็นวี่แววว่าวันนี้ลูกสาวตนคงไม่ต้องเดินทางออกไปไหนไกลให้ต้องกลับบ้านค่ำมืดน้ำเสียงถามไถ่จึงมีความโล่งใจแฝงอยู่มากพอดู
“ค่ะแม่ เอากล้องไปซ่อมแล้วก็จะเข้าไปเคลียร์งานสักหน่อย ไม่ได้เข้าออฟฟิซตั้งหลายวันแล้วค่ะ” มัชฌิมาหันไปส่งเสียงใสแจ๋วตอบมารดาที่กำลังหิ้วตะกร้าผ้าห่มไปทางราวตากหลังบ้าน “อ้อ เตยแบ่งข้าวผัดไว้ให้แม่กับพ่อด้วย เอาไว้ในตู้กับข้าวนะคะ” เธอพยักพเยิดบอกอย่างอารมณ์ดีก่อนหันไปจัดการกับปลาที่ย่างค้างไว้บนตะแกรงเหล็ก
ปลาดุกตัวใหญ่สุกได้ที่แล้ว กลิ่นหอมโชยชายชวนหิว หญิงสาวรีบจัดลงสำรับรวมกับจานข้าวสวยและอาหารที่ทำเสร็จก่อนหน้า แล้วยกไปหาผู้อาวุโสของบ้านที่นั่งเอนหลังฟังวิทยุรออยู่ตรงระเบียง มัชฌิมาบรรจงวางถาดอลูมิเนียมลงบนโต๊ะไม้ขัดมันทรงกลมอย่างเบามือ ผู้ชราบนเก้าอี้โยกค่อยๆ ชันตัวขึ้นเพ่งมองของในสำรับ ใบหน้าท่านประดับด้วยรอยยิ้มแจ่มใสแลกระชุ่มกระชวยสวนทางกับวัยเจ็ดสิบเศษ
“หอมจังนะ ท่าทางน่าอร่อย...” ย่าสวยเอ่ยชมแม่ครัวคนเก่ง รอยยิ้มปริ่มเปรมยังไม่เลือนหายไปจากดวงหน้าผู้ชราซ้ำจะปรากฏชัดตาขึ้นกว่าเดิม น้ำพริกดำ ฟักอ่อนหมกและปลาดุกย่างเป็นสิ่งที่ท่านเคยเปรยเอาไว้เมื่อสองสามวันก่อนว่าไม่ได้กินเสียนาน ครั้นเช้านี้หลานสาวลุกมาเข้าครัวแต่ฟ้าสาง ตั้งใจทำให้ไม่ขาดตกบกพร่องแม้สักน้อย อย่างนี้แล้วจะไม่ให้คนแก่เป็นปลื้มอย่างไรไหว
“อร่อยชัวร์อยู่แล้วค่ะ เตยตั้งใจทำสุดฝีมือเลย ย่าสวยต้องกินเยอะๆ นะคะ ไม่งั้นเตยน้อยใจจริงๆ ด้วย” หลานสาวแกล้งทำเสียงกระเง้ากระงอดออดอ้อนพลางถอดหมวกคลุมผมกันกลิ่นอาหารออกวางบนตัก เรือนผมอ่อนนุ่มหยิกเป็นลอนตามธรรมชาติทิ้งตัวลงเคลียพวงแก้มปลั่งและหัวไหล่กลมกลึงที่โผล่พ้นเสื้อแขนกุดสีครีมตัวยาว เธอขยับเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้ย่า ลงมือแกะเนื้อปลาที่ยังอุ่นๆ ระวังไม่ให้มีก้างแล้วจึงค่อยวางใส่จานให้ผู้อาวุโสอย่างเอาอกเอาใจ
เสียงหัวเราะเบาๆ และบทสนทนากะหนุงกะหนิงของสองย่าหลาน เรียกความสนใจคนที่กำลังตั้งหน้าคลี่ผ้าห่มตากบนราว ขวัญหทัยหันมองบุตรสาวปรนนิบัติผู้เป็นย่าแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แม้มัชฌิมาจะเรียนจบมีงานการทำเป็นหลักแหล่งนับว่าก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัว ทว่าบุตรสาวก็ไม่เคยละเลยเหินห่างคนในครอบครัว มีเวลาว่างเมื่อไรเป็นได้ขลุกอยู่กับย่าสวยบ้าง ช่วยหยิบจับทำกับข้าวกับปลาบ้าง บางทีก็ออกไปช่วยบิดาขายผักสดในตลาดตั้งแต่เช้ายันบ่ายไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย
“จัดปิ่นโตเสร็จแล้วหรือยังลูก เอาแครกเกอร์ไส้แยมไปกินด้วยไหมล่ะ แม่จะทำให้” เมื่อสะบัดผ้าห่มผืนสุดท้ายพาดผึ่งแดดบนราวเรียบร้อย ขวัญหทัยก็ร้องถามคนที่กำลังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ แก้มพองอย่างเอร็ดอร่อย
หญิงสาวผงกศีรษะเร็วจี๋ ดวงตาสีนิลส่งประกายสดใสแจ่มแจ๋วราวเด็กน้อย “ขอบคุณค่ะแม่ รักแม่ที่สุดเลย!”
มารดาหัวเราะอย่างทั้งขันทั้งเอ็นดู...ก็มัวแต่ ‘รักแม่ที่สุด’ อย่างนี้สิเล่า จนป่านนี้นางถึงยังไม่เห็นวี่แวว ‘ว่าที่ลูกเขย’ กับเขาสักที ผู้ชายทุกคนที่มัชฌิมารู้จักมักจี่เจ้าตัวก็คบหาสนิทใจฉันเพื่อนพ้องน้องพี่ ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้นสักรายเดียว เวลาพูดถึงใครก็ไม่มีสัญญาณความพึงพอใจให้ระแคะระคายสักนิด
อ้อ เห็นจะมีผู้ชายอยู่คนหนึ่งที่บุตรสาวมักพูดถึงอยู่เนืองๆ ดวงตาเป็นประกายสดใสได้ทุกครั้งยามเอ่ยชื่อ พี่ชายข้างบ้านสมัยเด็กคนนั้น ถึงจะห่างหายขาดการติดต่อกันไปนานร่วมสิบกว่าปีแต่ ‘จารุภักดิ์’ ดูจะไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำของบุตรสาวสักขณะใจเดียว ความผูกพันรักใคร่นั้นอาจลึกซึ้งกว่า ‘มรรค’ ซึ่งเป็นพี่ชายตัวจริงเสียด้วยซ้ำ ก็แน่ล่ะขณะที่พี่แท้ๆ แอบหนีออกไปเฮกับแก๊งหัวโจกวัยเดียวกัน ทิ้งน้องนั่งจ๋องร้องไห้โยเยอยู่บ้าน ครั้นมีพี่ชายใจดีมาชวนเล่นคลายเหงาเด็กหญิงจึงติดเขาแจเป็นธรรมดา ส่วนตัวนางเองก็รักและเอ็นดูจารุภักดิ์ดั่งลูกชายอีกคนหนึ่ง ด้วยกิริยามารยาทเรียบร้อย นิสัยใจคออ่อนโยน แถมยังคล่องงานครัวตั้งแต่ตัวน้อยๆ ฝีมือทำอาหารดีกว่าผู้ใหญ่บางคนถมไป
เสียงหัวเราะแช่มชื่นดังลอยมาอีกระลอก คนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหลุดจากภวังค์ เหลียวมองคู่ย่าหลานพะเน้าพะนอกันตรงระเบียงหลังบ้าน เห็นภาพความอบอุ่นในครอบครัวอย่างนี้แล้ว พอนึกว่าสักวันมัชฌิมาต้องออกเรือนไปก็ใจหาย บ้านคงเงียบเหงาขาดชีวิตชีวาไปเยอะทีเดียว
ขวัญหทัยส่ายศีรษะเบาๆ ลอบถอนหายใจที่ตนกังวลเกินเหตุ เพราะดูจากลาดเลาแล้วคงอีกนานเชียวล่ะกว่าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนจะตกลงปลงใจกับใครสักคน...หากเมื่อคิดเรื่องนี้แล้ว คำถามติดปากของเหล่าเพื่อนบ้านและบรรดาคนรู้จักมักคุ้นทั้งหลายแหล่ก็มีอันเวียนแวะเข้ามารกหัวอีกจนได้
‘นี่แม่ขวัญ เมื่อไรลูกสาวเธอจะแต่งงานแต่งการเสียทีล่ะจ๊ะ’
‘โอย หวงค่ะ ยังไม่อยากให้แต่งเลย ที่บ้านคงเหงาแย่ แล้วอีกอย่าง...เตยหอมเขาเพิ่งจะยี่สิบสี่เท่านั้นเอง’
‘อุ๊ยต้าย! ยี่สิบสี่นี่ก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนา ระวังเถอะจ้ะ ทำโสดนานไปคนเขาจะเหมาเอาว่าลูกสาวบ้านนี้ขึ้นคาน ขายไม่ออกนะจ๊ะ!’
นางยังจำสีหน้าท่าทางวิตกกังวลนั่นได้ดี...น่าขันตรงที่คนถามดูจะเดือดร้อนจริงจังกว่าแม่บังเกิดเกล้ามากโข มัชฌิมาน่ะคนแท้ๆ นะ ใช่ผักปลาเสียที่ไหน สองสามวันขายไม่ออกแล้วจะได้เน่าเหม็นคลุ้งบ้าน ให้ขึ้นคานอยู่ออเซาะพ่อแม่นานอีกหน่อยจะเป็นไรไปเชียว ในเมื่อเจ้าตัวยังไม่สะทกสะท้านกับสถานภาพโสดค้างเติ่งของตนเองเลยแม้แต่น้อย
ขวัญหทัยขับไล่คำถามไร้สาระออกจากสมอง เก็บตะกร้าหวายไว้ในร่มแล้วสาวเท้าเข้าครัว จดจ่อกับการป้ายแยมผลไม้เนื้อข้นลงบนแผ่นขนมปังอบกรอบสีเหลืองทอง ประกบคู่ เรียงใส่ปิ่นโตเป็นเสบียงให้ลูกสาวสุดรัก แทนการวิตกหวั่นไหวไปกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงหรือคิดติดใจในเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์