[CR] <<Review>> Big Ass : "แดนเนรมิต" EP



"การแยกทางกัน" เป็นสิ่งที่เกิดได้ทุกที่ ทุกขณะ ทุกคนไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นใคร จะเป็นทีมดัง ที่มีศูนย์หน้าตัวเก่งเป็นหัวหอกมายาวนาน แต่จู่ ๆ ก็แขวนสตั๊ด ไม่ก็ย้ายทีมออกไป หรือจะเป็นเพื่อนมัธยม ที่เป็นแกงค์หัวโจกก๊วนเดียวกัน แต่กลับทะเลาะกัน แล้วมีคนหนึ่งไปอยู่กับแกงค์ใหม่ หรือจะเป็นคู่รักที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลิกรา หรือแม้กระทั่งวงดนตรีที่มีการเปลี่ยนแปลงสมาชิก

วงดนตรี Big Ass ก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขาได้แยกทางกันกับ แด๊กซ์-เอกรัตน์ วงศ์ฉลาด หลังจากร่วมงานกันมานานประมาณ 15 ปี โดยมีอัลบั้ม "Love" เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เป็นอัลบั้มสุดท้ายของวง ที่แด็กซ์ให้เสียงร้องเอาไว้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดในการแยกทางกัน สมาชิก 4 คนที่เหลือ; อ๊อฟ-พูนศักดิ์ จตุระบุล (กีตาร์,ร้องนำ,คอรัส), หมู-อภิชาติ พรมรักษา (กีตาร์,คอรัส), โอ๊ค-พงศ์พันธ์ พลสิทธิ์ (เบส) และ กบ-ขจรเดช พรมรักษา (กลอง); ก็ได้เลือกเดินหน้าตามเส้นทางดนตรีต่อไป แล้ววันหนึ่ง พวกเขาก็ได้พบกับ เจ๋ง-เดชา โคนาโล (ซึ่งขณะนั้นเป็นนักร้องนำวง Silent Hill ที่เล่นตามผับ) และชักชวนมาร่วมเส้นทางเดียวกัน จนได้เป็นอัลบั้มล่าสุด "แดนเนรมิต"



สิ่งแรกที่ถูกเปรียบเทียบระหว่างอัลบั้มนี้ กับอัลบั้มที่ผ่าน ๆ มา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ นักร้องนำ ซึ่งก็ต้องยอมรับในความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดของทั้งสองคน สิ่งแรกคือ เนื้อเสียง ซึ่งเนื้อเสียงของเจ๋ง จะบางกว่า ป๊อบกว่า และบางคนมองว่ายังขาดเอกลักษณ์ ถึงขนาดเปรียบเทียบว่าเหมือนนำ ปั๊บ Potato มาร้องเพลงของ Big Ass เลยก็มี แต่สิ่งที่ได้เปรียบของเจ๋ง คือเสียงที่สูงกว่า ไปได้ทุกโน้ตกว่า เต็มเสียงกว่า สดใหม่กว่า อีกทั้งเสียงที่ป๊อบกว่า หรือบางกว่านั้น ก็ไม่นับว่าเป็นข้อด้อยเสียทีเดียว เพราะข้อดีหนึ่งคือทำให้ภาคดนตรีของวงมีการเรียบเรียงเพลงและผสมเสียงต่างจากเดิมเพื่อสอดรับกับเสียงของเจ๋ง เห็นได้ชัดคือเสียงกีตาร์ที่ชัดขึ้น เผยรายละเอียดมากขึ้น ริฟและโซโล่ชัดขึ้น มีลูกเล่นประสานกันมากขึ้น

อีกสิ่งที่แตกต่างกัน แม้จะไม่ชัดเจนเท่าอย่างแรก แต่ถ้าใครเป็นแฟนพันธุ์เหนียวแน่นตั้งแต่สมัยอัลบั้ม Not Bad ยันอัลบั้มล่าสุด น่าจะรู้สึกได้ คือ บุคลิกที่ออกมาจากการร้องหรือตัวเพลง แด๊กซ์จะมีบุคลิกที่เก๋า ใจนักเลง กวนโอ๊ยพอเป็นพิธี ใครนึกภาพไม่ออก แนะนำให้ลองฟังอัลบั้ม XL เช่นเพลง บ๋อย, ศักดิ์เอ๋ย, ชายมือสอง จะเข้าใจได้ง่ายขึ้นครับ และความกวนโอ๊ยแบบนี้ก็ยังคงส่งต่อไปยังหลายอัลบั้มถัดมา แต่จะลดลงไปบ้าง เช่น เล่นของสูง, ข้าน้อยสมควรตาย, ส่งท้ายคนเก่าต้อนรับคนใหม่ แต่กับเจ๋ง บุคลิกที่ออกมา ทั้งตัวเพลง และตัวบุคลิกภายนอก จะเป็นแนวลูกผู้ชาย เท่ เป็นคนตรง ๆ ไม่มีลูกเล่น ลูกกวนโอ๊ย แต่พุ่งฝ่าสถานการณ์ที่ไม่ดีต่าง ๆ ไปอย่างตรง ๆ ทำให้อารมณ์ที่ออกมาต่างกัน และซึ่งส่งผลต่อเวลาเจ๋งร้องเพลงเก่ายุคแด๊กซ์ แล้วคนฟังรู้สึกต่างกัน สาเหตุหนึ่งอาจเพราะเรื่องนี้ครับ แต่หากมองแยกกัน ว่าเป็นงานคนละชิ้น ไม่ต้องนึกถึงนักร้องนำเก่า มาดแบบลูกผู้ชาย เท่ ๆ ตรง ๆ ของเจ๋ง ก็ไม่ใช่ข้อด้อยอยู่ดี



อัลบั้มนี้ถูกทำเป็น EP แค่ 5 เพลง ซึ่งเป็นเพลงที่ได้จากช่วงเวลาที่ห้าคนเริ่มรวมตัวกัน เข้าห้องซ้อมด้วยกัน จึงได้วัตถุดิบที่สดใหม่ และคิดว่าถ้ายืดเวลาไปอีก เพื่อให้เพลงมันเยอะกว่านั้นจนเต็มอัลบั้ม พลัง ความสด หรืออะไรต่าง ๆ ก็จะต่างจาก 5 เพลงนี้ไป เลยมีแค่นี้แหละ แต่ตัวอัลบั้มก็จะแถม DVD ที่มี Music Video เบื้องหลัง บทสัมภาษณ์ มาเป็นตัวเสริมแทน โดย 5 เพลงนี้ถูกเดินทางจากห้องซ้อม ไปบันทึกเสียงที่ Karma Sound Studio สถานที่บันทึกเสียงที่ดีที่สุดที่หนึ่งของไทย ที่เคยมีศิลปินต่างชาติเข้ามาใช้งานมากมาย ด้วยพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง ทำให้กบสามารถอัดกลองในห้องใหญ่ พร้อมกับให้ทั้งวงเล่นสดไปพร้อมกัน โดยอัดแค่เสียงกลองอย่างเดียว เพื่อให้ได้อารมณ์ร่วมเหมือนเล่นสด ส่งผลต่อซาวด์กลองในอัลบั้มนี้ ที่สด หนักหน่วง และมัน ส่วนเครื่องดนตรีอื่น และนักร้อง แม้จะอัดแยกกันภายหลัง แต่ก่อนอัด พวกเขาก็ซักซ้อมกันมาอย่างดี โดยเฉพาะกีตาร์ทั้งสองและเบส ที่เล่นประสานรับส่ง แบ่งวรรคแบ่งท่อนกันได้ดี ทำให้ภาคดนตรีชุดนี้มี Dynamic มากขึ้น ประกอบกับเสียงกีตาร์ที่ชัด และเผยรายละเอียดขึ้น ทำให้ภาคดนตรีอัลบั้มนี้ก็โดดเด่นขึ้นไม่แพ้เนื้อหาเพลง และเสียงร้องเลย



EP นี้เริ่มด้วย แดนเนรมิต ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวการกลับมาของพวกเขาเช่นกัน ดนตรีเป็นเพลงร็อกแบบที่คุ้นชิน ทั้งแนวเพลง และเมโลดี้ ที่ส่วนตัวแล้วฟังครั้งแรก ก็ไม่รู้สึกแปลกหูกับเสียงของเจ๋งเลย ถึงจะมีความแตกต่างทั้งด้านเสียงร้อง และการเรียบเรียงดนตรีบ้าง ตามที่กล่าวในย่อหน้าที่แล้ว แต่ฟังปุ๊บรู้ว่า นี่แหละ เพลงแบบ Big Ass และส่วนที่แตกต่าง ก็ทำให้เพลงนี้โดดเด้งขึ้นมา เหมือนเป็นหนังม้วนใหม่ แถมด้วยเนื้อหาที่สื่อถึงการเริ่มต้นสร้างสิ่งใหม่ คำว่า "แดน" นั้น มันไม่ใช่แค่ดินแดนที่เห็นภาพเป็นพื้นที่ หรือสิ่งก่อสร้างเท่านั้น แต่อาจเป็นการสร้างความผูกพันสัมพันธ์ สร้างชีวิตใหม่ให้มั่นคง เหมือนกับวงที่คล้ายจะนับหนึ่งใหม่อีกครั้งกับอัลบั้มนี้ ทำให้เหมาะกับการเป็นเพลงเปิดตัวและเปิดอัลบั้ม

ต่อด้วย เท่าที่มี เพลงที่ขยายความต่อ ถึงตัวตนของวง ณ ตอนนี้ ว่าถึงแม้จะเพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ อาจไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเก่า แต่เท่าที่มีอยู่ก็จะทำให้ดีที่สุด ถึงแม้จริง ๆ เพลงนี้กบจะแต่งจากชีวิตจริงของเจ๋ง แต่ถ้ามองต่อจาก แดนเนรมิต แล้ว เพลงนี้ก็เล่าแทนวงได้เหมือนกัน ดนตรีและกรูฟชวนให้นึกถึงเพลง ความลับของคนธรรมดา จากอัลบั้มก่อน แต่เพลงนี้มาได้สุดกว่า มีริฟกีตาร์ที่ติดหูมากกว่า ทั้งในช่วงอินโทร และท่อนเชื่อม

เพลงที่สาม ทนไม่ไหว เป็นเพลงช้าอกหักในแบบถนัดของวง พูดถึงความรัก ที่มาถึงจุดที่ฝ่ายหนึ่งหมดความอดทน แม้จะรักกันแค่ไหน และกบก็แต่งออกมาได้ดี ติดหู เป็นเพลงที่กบเขียนออกมาด้วยคำตรง ๆ และถูกเล่าอย่างตรง ๆ จากคาแรกเตอร์ของเจ๋ง ที่ดูนิ่ง เท่ เข้มแข็ง ทำให้การทนไม่ไหวของเจ๋งนั้นดูเป็นเรื่องที่สุดขีดจริง ๆ แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมกว่าเนื้อหาเพลงนี้ คือท่อนเชื่อมระหว่างฮุคที่สอง กับท่อนโซโล่ ที่พวกเขาเลือกปรับเร่งจังหวะ ค่อย ๆ เปลี่ยนจังหวะรัวกลอง ดันอารมณ์เพลงให้พีคขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะสุดแล้วปล่อยด้วยโซโล่ของอ๊อฟ เหมือนคนที่โดนถาโถมด้วยสิ่งที่เริ่มทนไม่ได้มากขึ้น จนสุดท้ายก็ระเบิดอารมณ์ตัวเองออกมา ซึ่งท่อนนี้ทำให้เพลงนี้พิเศษขึ้น พัฒนาขึ้นมากจากเพลงอกหักเดิม ๆ ของวง อีกสิ่งที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันคือเสียงร้องของเจ๋งในเพลงนี้ คือเสียงที่สูง และไปได้ทุกเมโลดี้ที่อ๊อฟแต่งไว้อย่างสมบูรณ์ทั้งอารมณ์และตัวโน้ต แม้ว่าจะยาก จะขึ้นสูงลงต่ำไปมาแค่ไหนก็ตาม

ส่วนเพลง ดนตรี...เพื่อชีวิต เป็นเพลงที่สรุปตัวตนของพวกเขา ว่าดนตรีนี่แหละ คือชีวิตของพวกเขา พร้อมทั้งเป็นบทสรุปเรื่องราวในอัลบั้มนี้ไปในตัว เสียงกีตาร์เพลงนี้ฟังเพลินและมันมาก มีลูกเล่นรับส่งกันไปมา โซโล่กีตาร์ของหมูในเพลงนี้ ก็โดดเด่นไม่แพ้ของอ๊อฟในเพลงก่อนหน้า ปิดท้ายเพลงด้วย Outro ที่เป็นการประสานเสียงของสมาชิกทุกคนในวง ฟังแล้วฮึกเหิม

ปิดท้ายอย่างผ่อนคลายด้วย ลมเปลี่ยนทิศ อคูสติกป๊อบ มีเสียงกีตาร์โปร่ง และเสียงเครื่องสาย ซึ่งเพลงนี้ได้คุณสราวุธ เลิศปัญญานุช ที่เคยดูแลวงออร์เคสตรา ในคอนเสิร์ต Bodyslam นั่งเล่น ที่กบ, อ๊อฟ และ หมู ก็เป็นหนึ่งในนักดนตรีสนับสนุนคอนเสิร์ตครั้งนั้น มาช่วยเขียนโน้ตเชลโลให้ เนื้อหาเพลงพูดถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้เสมอ เหมือนลมที่เปลี่ยนทิศทาง การที่คนๆหนึ่ง ที่เคยร่วมทางกันมา ต้องจากไปนั้น เราต้องยอมรับว่ากว่าจะมาได้ถึงวันนี้ มันไกลเกินคาด เป็นช่วงเวลาที่ดีมากแล้ว และต้องยอมรับหากต้องจากกัน



เมื่อมองโดยรวมแล้ว เนื้อหาห้าเพลงในอัลบั้มนี้ มีความเป็นกลุ่มก้อน ทิศทางเดียวกัน ต่อเนื่องกันคล้ายหนังจบในตอน พูดถึงการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งของคนสองคน (หรือมากกว่า) หลังการเปลี่ยนแปลง การจากลาซึ่งเกิดจากการเดินมาจนสุดทาง ทั้งด้านความคิดและอารมณ์ แต่สุดท้าย ต่างฝ่ายต่างมีทางใหม่ที่ต้องเริ่มเดินต่อไป แม้จะกระท่อนกระแท่น แต่ถ้าเต็มที่กับเส้นทางนั้น และมีเป้าหมายและแรงยึดเหนี่ยวในชีวิต ก็จะผ่านมันไป ซึ่งอาจไม่ใช่แค่เรื่องของ Big Ass อย่างเดียว แต่มันจะหมายถึงใครก็ได้  ส่วนดนตรี มีจุดที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ก็ยังมีความเป็น Big Ass อยู่ นักร้องนำใหม่ ถึงจะสร้างความแตกต่างบ้าง แต่ก็เข้ากันกับสี่คนที่เหลือเป็นอย่างดี และทำให้ได้ความสดใหม่กลับมาคู่กับความเก๋า โดยส่วนตัวแล้ว ชอบไม่แพ้อัลบั้ม XL งานที่ชอบที่สุดของวงนี้ เพราะมีจุดกึ่งกลางระหว่างความสดกับความเก๋า อย่างลงตัวพอกัน และเป็นอัลบั้มเพลงไทยที่ดีมากชุดหนึ่งของปีนี้ ที่ไม่อยากให้พลาดครับ



ขอบคุณภาพประกอบจาก Facebook : Big Ass

-นักเลงเพลงสยาม-
facebook.com/thaisongmania

ชื่อสินค้า:   Big Ass อัลบั้ม แดนเนรมิต
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่